เรื่อง: สิรนันท์ ห่อหุ้ม
ภาพ: ธนพนธ์ องอาจตระกูล
“ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นที่รักของคนไทย และจะอยู่ในความทรงจำของคนไทยตลอดไป นิทรรศการทำให้เรารู้ว่าพระองค์ทรงทำงานหนักขนาดไหน และเราซึ่งเป็นคนที่เกิดในรัชสมัยของพระองค์ก็น่าจะทำอะไรเพื่อประเทศชาติได้มากกว่านี้ เพราะตลอดเวลา 70 ปีที่ทรงครองราชย์ ทรงทำเพื่อคนไทยมามากมาย เนื้อหาในนิทรรศการนี้ทำให้เราทราบถึงพระราชกรณียกิจของพระองค์มากขึ้น ผ่านหนังสือและสิ่งพิมพ์ต่างๆ ที่ตีพิมพ์ในช่วงที่ทรงครองราชย์ บางอย่างไม่เคยรู้ก่อนเลยว่าเป็นโครงการในพระราชดำริของพระองค์” อารีรัตน์ ลิ้นจี่ ให้สัมภาษณ์ระหว่างการชม ‘นิทรรศการความท๙งจำ’ ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 22 ซึ่งกำลังจัดอยู่จนถึงวันที่ 29 ตุลาคมนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ไม่ใช่เพียงอารีรัตน์เท่านั้น ที่รู้สึกเช่นนี้ เพราะหลังจากที่ ‘กรพัฒ รุดดิษฐ์’ ซึ่งตั้งใจว่าการมางานมหกรรมหนังสือ นอกจากจะเพื่อซื้อหนังสือเล่มโปรดกลับไปอ่านแล้ว นิทรรศการหลักของงานอย่าง ‘ความท๙งจำ’ ก็คือสิ่งที่พลาดไม่ได้ “หลังจากได้ดูนิทรรศการก็ได้เห็นว่าที่ผ่านมาพระองค์ท่านทำอะไรเพื่อประชาชน เพื่อประเทศชาติมากขนาดไหน ได้ข้อคิดหลายๆ อย่างจากการอ่านข้อมูลที่จัดแสดง คำหรือประโยคที่คัดเลือกมาก็เป็นแรงบันดาลใจในการทำความดีต่อไป และยังได้ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ ที่นำเสนอเป็นไทม์ไลน์ ทำให้รู้ว่าแต่ละช่วงเวลามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก” กรพัฒกล่าวด้วยรอยยิ้ม
‘นิทรรศการความท๙งจำ’ ซึ่งมีผู้ชมอุ่นหนาฝาคั่งในทุกวันนั้น นำเสนอพระราชกรณียกิจของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ผ่านหนังสือที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์กว่า 7 ทศวรรษ โดย ‘นิทรรศการความท๙งจำ’ เกิดขึ้นเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ด้วยความตระหนักว่า หนังสือเป็น “สิ่งที่จะทำให้มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้” สมดังพระบรมราชวาทที่ได้พระราชทานแก่คณะสมาชิกห้องสมุดทั่วประเทศเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 ว่า
…หนังสือเป็นการสะสมความรู้ และทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้สร้างมา ทำมา คิดมา แต่โบราณกาลจนทุกวันนี้ หนังสือจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นคล้าย ๆธนาคารความรู้และเป็นออมสิน เป็นสิ่งที่จะทำให้มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้…
ตลอด 7 ทศวรรษที่ทรงครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงให้ความสำคัญกับหนังสือในฐานะเครื่องมือในการส่งต่อและสร้างสรรค์ความรู้แก่มวลมนุษยชาติ ดังที่ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ได้ผูกพันกับหนังสือเป็นอย่างมาก มีข้อเขียนในรูปแบบต่างๆ ทั้งหนังสือ บทความ แต่งเพลงพระราชนิพนธ์ การแปล และการสร้างสรรค์อื่น เช่น ภาพถ่าย จิตรกรรม การประดิษฐ์ตัวพิมพ์ ตลอดจนการสนับสนุนให้มีการการทำหนังสือการสร้างสรรค์ความรู้ในรูปแบบต่างๆ เช่น การจัดทำสารานุกรมสำหรับเยาวชน การแปลคัมภีร์ทางศาสนา เช่น พระไตรปิฎก มหาคัมภีร์อัลกุรอาน การสนับสนุนการศึกษาทางไกลผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ
สุชาดา สหัสกุล นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ เล่าว่าในนิทรรศการดังกล่าวได้มีการนำพระราชนิพนธ์เรื่อง ‘เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิทเซอร์แลนด์’ ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์เรื่องแรกเมื่อทรงขึ้นครองราชย์ โดยตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร วงวรรณคดี ฉบับเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2490 เป็นตอนแรก โดยพระบรมราชานุญาตพิเศษเฉพาะหนังสือเล่มนี้มาจัดแสดง ได้รับความอนุเคราะห์จาก ไพศาลย์ เปี่ยมเมตตาวัฒน์ นักสะสมหนังสือและภาพโบราณ เจ้าของนิตยสาร วงวรรณคดี ฉบับเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2490 โดยแสดงร่วมกับหนังสือพระราชนิพนธ์เล่มอื่นๆ หนังสือที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญทั้งในประเทศและต่างประเทศตลอด 7 ทศวรรษในรัชสมัยของพระองค์ นอกจากนี้ยังมีสิ่งพิมพ์และของที่ระลึกต่างๆ ที่จัดทำขึ้นหลังวันสวรรคต 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 จึงถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งนิทรรศการที่รวบรวมหนังสือและสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาแสดงให้ชมมากที่สุด
ในเนื้อหาของนิทรรศการแต่ละทศวรรษ จะแสดงได้ถึงประวัติศาสตร์โดยรวมของสังคมไทยผ่านความทรงจำของเรื่องเล่าในตัวอักษร ทั้งจากผลงานพระราชนิพนธ์ และหนังสืออื่นๆ อาทิ ทศวรรษที่ 1 คือพ.ศ. 2489 – พ.ศ. 2498 ซึ่งรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เริ่มวันที่ 9 มิถุนายน 2489 พระชนมายุเพียง 19 พรรษา หลังจากขึ้นครองราชย์ไม่นานพระองค์จึงต้อง ‘จากสยามสู่สวิทเซอร์แลนด์’ เพื่อศึกษาต่อ ทศวรรษที่ 3 คือ พ.ศ. 2509 – พ.ศ. 2518 เป็นช่วงที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจใกล้ชิดประชาชนมากที่สุดช่วงหนึ่ง และหนังสือที่สำคัญคือการเริ่ม สารานุกรมสำหรับเยาวชน และคัมภีรอัลกุรอาน ที่มีพระราชดำริให้แปลจากภาษาอาหรับ ก็ออกมาในทศวรรษนี้ด้วยเช่นกัน โดยทรงมีพระบรมราโชวาทความว่า
สารานุกรมนี้จุดประสงค์อันแรกอันสำคัญที่สุดก็คือ ให้ผู้ที่ใช้สารานุกรมนี้ให้เกิดความรู้สึกว่า โลกนี้มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โลกหมายถึงโลกความรู้ โลกกลมโลกของวิทยาศาสตร์ และโลกของวิชาต่าง ๆ อันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน…แล้วก็ในเวลาเดียวกันก็ทำให้เห็นว่าในชาติบ้านเมืองหรือในเมืองอื่นๆ ก็ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน
(พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่คณะกรรมการสโมสรไลออนส์สากล ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2512)
ในทศวรรษที่ 5 คือ พ.ศ. 2529 – พ.ศ. 2538 สงครามเย็นที่เริ่มต้นมาในทศวรรษแรกมาสิ้นสุดในทศวรรษที่ 5 ของการครองราชย์ แต่ก็ใช่ว่าภารกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจะสิ้นสุดลง เพราะสิ่งที่พระองค์ต่อสู้คือความยากจนของคนไทย พระองค์มีพระราชดำริให้จัดตั้ง ‘มูลนิธิชัยพัฒนา’ เพื่องานพัฒนาต่างๆ และในทศวรรษนี้เองที่พระราชนิพนธ์ของพระองค์ได้ออกมาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากงานแปล นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ (พ.ศ. 2536) ติโต (พ.ศ. 2537) และท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจในทศวรรษที่ 6 คือ พ.ศ. 2539 – พ.ศ. 2548 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงในฐานะหนึ่งในทางออกจากวิกฤต ขณะที่สถานะนักเขียนของพระองค์เด่นชัดขึ้นเมื่อมีการตีพิมพ์หนังสือ พระมหาชนก (พ.ศ.2539) เรื่อง ทองแดง (พ.ศ. 2545)
นอกจากนี้ในนิทรรศการยังได้หนังสือที่พระองค์ท่านทรงพระราชนิพนธ์ไว้มาให้พสกนิกรได้ชมครบทุกเล่ม พร้อมกับนำนิตยสารหลายฉบับที่จัดพิมพ์บันทึกประวัติศาสตร์วันเสด็จสวรรคตของพระองค์ท่านมาให้ชมเช่นกัน
เป็นความทรงจำอันงดงาม ที่จะสถิตในใจตราบนิรันดร์
หมายเหตุ: ในวันที่ 26 ตุลาคม พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จ