ราวกับเป็นคนคุ้นเคย…เรารู้จักเขามานานผ่านบทบาทการแสดงบนจอแก้วในละครหลังข่าว ชาวบ้านร้านตลาดรู้กันทั่วว่า เขานี่แหละ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ ‘อาหลอง’ – ฉลอง ภักดีวิจิตร ผู้กำกับรุ่นใหญ่ ต้นตำรับหนังบู๊ไทย สไตล์ระเบิดภูเขา เผากระท่อม
นับจากละครเรื่องแรก ระย้า (2541) จวบถึงวันนี้ที่ละครเรื่องล่าสุด เลือดเจ้าพระยา เพิ่งลาจอแก้ว – แอลอีดี ไป หากนับนิ้วดูแล้ว ‘ลูกอาหลอง’ กัญจน์ ภักดีวิจิตร ใช้ชีวิตโลดแล่นอยู่ในวงการมานานถึง 15 ปี ฝากผลงานไว้เกือบ 20 เรื่อง นาน…นานพอที่จะเรียกได้ว่า หากขาดตัวละครอย่างเขาแล้ว หนังบู๊ไทยคงไร้รสชาติ
เราพบกับเขาโดยบังเอิญ หลังจากที่มีคนแอบเมาธ์ถึงเขาในห้องสนทนาของเว็บไซต์พันทิป จนเป็นกระทู้ยอดฮิตที่ใครได้อ่านก็คงอดที่จะอมยิ้มตามไม่ได้
อยู่ในวงการมาทั้งชีวิต ถ้าไม่มีใครเอ่ยถึงนี่สิแปลก แม้จะเป็นในทางจิกกัดขบขัน ตอดนิดตอดหน่อยบ้าง แต่ในแง่หนึ่ง เราปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า อย่างน้อยเขาก็นั่งอยู่ในใจผู้ชมไปแล้ว
แต่ก็นั่นแหละ ใครต่อใครต่างก็พูดถึงเขาราวกับคนคุ้นเคย แต่เอาเข้าจริงอาจไม่เคยรู้จักตัวตนของเขาแม้แต่นิด แล้วก็พากันตัดสินเอาเองจากภาพที่เห็นเพียงผิวเผิน โดยที่ไม่เคยสัมผัสใกล้ชิด
นี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้เราอยากสนทนากับเขาสักครั้งในวันนี้
ผู้ชายธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
คงจะจริงอย่างที่ว่า ละครคือโลกมายา ภาพในจอเราอาจได้เห็นกัญจน์ในคราบของหนุ่มบ้านป่ากับปืนลูกซองแบบโบราณเป็นอาวุธข้างกาย หรือยิ่งกว่านั้นเราอาจได้เห็นสิวเม็ดเป้งๆ กับใบหน้าชุ่มเหงื่อที่ดูสมจริงสมจัง แต่ในโลกจริงนอกจอ เขาก็เป็นเขา เป็นมนุษย์ผู้ชายคนหนึ่งที่มีรูปแบบการใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง
จุดนัดพบที่คลินิกเสริมความงามและสปาย่านเมืองทองธานี กัญจน์ก้าวลงจากเก๋งป้ายแดงแวววับ เสื้อผ้าหน้าผมมาแบบจัดเต็ม พร้อมกลิ่นกายหอมฟุ้งในสไตล์หนุ่มเมโทรฯ นี่หรือ ‘ลูกอาหลอง’ ของจริง
กัญจน์ส่งยิ้มมุมปากให้แว่บหนึ่งก่อนจะออกตัวว่า ในละครเขาอาจสวมบทเป็นหนุ่มมาดแมน ขาลุย จอมบู๊ แต่ชีวิตจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป
“ตัวจริงผมไม่บู๊เลย (หัวเราะ) ไม่ชอบบู๊เลยสักนิด แต่จะเป็นคนแบบว่าขี้เล่น ตลกๆ แต่งตัวก็เนี้ยบๆ หน่อย ชอบแต่งตัว เป็นคนสนุกสนานร่าเริงด้วยซ้ำ บางทีหน้าตาอาจจะดูดุไปนิดนึง เพราะยิ้มไม่ค่อยเก่ง แต่จริงๆ ไม่มีอะไร”
เขาขยายความ
บรรยากาศเย็นๆ กับน้ำแดงหวานฉ่ำเคลื่อนผ่านลำคอ บทสนทนาเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อจะค่อยๆ ทำความรู้จักและปลดเปลือยตัวตนเขาทีละชั้น โดยเฉพาะเรื่องของภาพลักษณ์ที่เห็นในจอโทรทัศน์กับตัวจริงเสียงจริง ยิ่งทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า เหตุใดจึงแตกต่างลิบลับราวกับคนละคน
“ปกติก็จะดูแลตัวเองมากเลยแหละ ค่อนข้างสำอางพอสมควร ออกจากบ้านแต่ละทีต้องเป๊ะ อะไรอย่างงี้ ตอนนี้อายุก็เริ่มมากแล้ว ปีนี้ 37 เลยต้องดูแลตัวเองมากหน่อย”
กัญจน์บอกกับเราว่า เหตุผลที่เขาต้องพิถีพิถันกับตัวเองมากเป็นพิเศษ ทั้งเรื่องเครื่องแต่งกาย ใบหน้า ผิวพรรณ และสุขภาพ เพราะนั่นคือองค์ประกอบสำคัญของอาชีพนักแสดง
เส้นทางชีวิตของกัญจน์ถูกปูทางสำหรับวงการบันเทิงไว้แล้วตั้งแต่ต้น เขาถูกส่งไปเรียนซาวด์เอนจิเนียร์ ที่ออสเตรเลีย เพื่อนำมาใช้กับงานตัดต่อและบันทึกเสียง ก่อนที่สุดท้ายจะได้มายืนหน้ากล้องในฐานะนักแสดงเต็มตัว ด้วยพื้นฐานที่มีใจรักการแสดง ชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก และเคยเป็นนักร้องประจำโรงเรียน
“พอเรียนจบผมก็คุยกับคุณแม่ว่า ถ้าไม่เล่นละครของคุณพ่อแล้วไปเล่นให้คนอื่นจะได้มั้ย คุณแม่ก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นก็เล่นละครของคุณพ่อเลยสิ เพราะตอนนั้นกำลังจะเปิดกล้องเรื่องแรกที่ช่อง 7 ก็เลยเริ่มเล่นละครของคุณพ่อตั้งแต่นั้นมา”
ถึงจะเป็น ‘ลูกรัก’ ของผู้กำกับใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าจะถูกประคบประหงมอย่างที่ใครเข้าใจ ประสบการณ์วันแรกในกองถ่ายเป็นสิ่งที่เขาไม่มีวันลืม
“คุณพ่อจะเป็นคนดุ เสียงดัง พอเข้าไปวันแรกก็โดนเลย ‘เฮ้ย! มึงเล่นอะไรของมึงเนี่ย’ จนผมร้องไห้กลางกองถ่ายเลย ตอนนั้นคิดว่าจะไม่เล่นอีกแล้ว ถอดใจเลย คนอื่นต้องเข้ามาปลอบเราว่า ทนอีกหน่อยเดี๋ยวก็ชินเอง”
หลังจากนั้นเขาถูกส่งไปเรียนการแสดง เพิ่มเติมทักษะ และค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์เรื่อยมา กระทั่งยืนระยะอยู่ในวงการมาได้จนถึงวันนี้…ในคาแร็คเตอร์ที่ทุกคนจดจำได้ดี
รู้จักแล้วจะรักเอง
ในแวดวงซุบซิบดารา ถ้อยคำติติงกึ่งจิกกึ่งหยอกที่เขามักถูกว่าร้ายมาตลอด คงหนีไม่พ้นเรื่องของการเป็นทายาทผู้กำกับชื่อดัง ที่ทั้ง ‘ผลัก’ ทั้ง ‘ดัน’ จนมีผลงานละครอย่างต่อเนื่อง แถมยังเป็นผู้ร้องเพลงประกอบละครเองแทบทุกเรื่อง ราวกับเป็นธุรกิจครอบครัว
แต่จะปฏิเสธได้อย่างไรเล่าว่า นั่นคือชะตาชีวิตที่ถูกลิขิตไว้แล้วด้วยสายใยจากพ่อสู่ลูก และคงจะจริงอย่างที่ใครต่อใครพูดไว้ “ถ้าไม่ดันลูกแล้ว จะให้ดันแมวที่ไหนล่ะ!”
“มันก็อาจจะทำให้เราได้สิทธิพิเศษเหนือกว่าคนอื่นๆ อย่างเวลาเปิดละครขึ้นมาสักเรื่อง มีคนสมัครเข้ามาเยอะมาก บางทีเราก็อยากให้เขาได้เล่นนะ แต่คุณพ่ออยากให้เราเล่นมากกว่า อันนี้ก็…ไม่รู้จะพูดยังไง เลยต้องตามใจพ่อ (หัวเราะ)”
หากทำความเข้าใจถึงหัวอกของคนเป็นพ่อเช่นนี้ได้แล้ว ย่อมเป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วแก่การรับฟัง และเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้หนังของ ‘อาหลอง’ ครบสูตร แต่สำหรับกัญจน์แล้ว เขายังพยายามที่จะพิสูจน์ตัวเองด้วยว่า เขาสามารถร่วมงานกับผู้กำกับค่ายอื่นได้ และแสดงได้หลายบทบาท ทั้งดราม่าและคอเมดี้
“มีคนโพสต์ในอินเทอร์เน็ตแซวผมอยู่เรื่อยว่า เล่นแต่ละครของพ่อ แต่ที่จริงสิ่งที่ทำให้เราอยู่ตรงนี้ได้ส่วนหนึ่งก็เพราะฝีมือการแสดงด้วยนะ แล้วผมเองก็เล่นละครของคนอื่นด้วยนอกเหนือจากละครของพ่อ อย่างปีที่แล้วผมไปเล่นละครของเติ้ล (ตะวัน จารุจินดา) เป็นละครแนวคอเมดี้ แล้วตอนนี้ก็ไปถ่ายละครกับค่ายดีด้า”
แม้นักแสดงอย่างกัญจน์อาจไม่เด่นไม่ดังทะลุจอ แต่การยืนหยัดอยู่ได้จนถึงวันนี้ย่อมไม่ธรรมดา โดยเฉพาะการเป็นนักแสดงคู่บุญของอาหลองที่มักได้รับบทเด่นเป็นถึง ‘พระรอง’ ซึ่งก็ไม่วายถูกค่อนแคะว่าแย่งซีนพระเอกเกือบทุกเรื่อง
“ที่จริงมันก็ไม่เด่นหรอกนะ เพราะตัวละครของพ่อจะมีคาแร็คเตอร์ชัดเจนทุกตัว ทั้งพระเอก นางเอก ผู้ร้าย เพียงแต่ว่าเวลาคับขันบางฉากบางตอน มันก็ต้องมีตัวละครอย่างผมออกมาช่วย (หัวเราะ)”
จากกระทู้หัวข้อ ‘20 เรื่องน่ารู้ของกัญจน์ ภักดีวิจิตร’ โดยสมาชิกหมายเลข 762651 ในพันทิป ยังมีอีกหลายข้อสังเกตประดังเข้ามา เป็นต้นว่าฉากเปิดตัวของเขาจะมาพร้อมวีรกรรมยิ่งใหญ่ ฉากตายของกัญจน์จะเป็นฉากที่รวมนักแสดงแทบจะทั้งเรื่องเอาไว้ กัญจน์เป็นอมตะ เพราะต่อให้เขาตายไปในภาคที่แล้ว ภาคต่อมาเขาจะฟื้นขึ้นมาจากความตายราวนกฟีนิกซ์ ฯลฯ
“ที่ว่ามามันก็ใช่…ก็พ่อเขาวางบทไว้อย่างนั้น แต่บางทีผมเองก็อยากเล่นเป็นตัวร้ายบ้างนะ”
ในเมื่อบทส่งถึงขนาดนี้ ทำไมไม่สวมบทพระเอกเองซะเลยให้รู้แล้วรู้รอด? – เราสงสัย
“ผมคงไม่หล่อถึงขั้นนั้นมั้ง” กัญจน์พูดจบก็หัวเราะร่วน
กัญจน์บอกว่า โดยส่วนตัวแล้วเขาเองก็ได้รับรู้รับฟังเสียงวิจารณ์และคอมเมนท์ทำนองนี้อยู่บ่อยๆ บางครั้งอ่านไปก็ขำไป ไม่รู้สึกโกรธเคืองอะไร เพราะเป็นคาแร็คเตอร์ที่กำหนดให้เขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ยกเว้นบางคอมเมนท์ที่เขาเองรู้สึกรับไม่ได้ และบั่นทอนกำลังใจการทำงาน เช่น…
“บางคนก็ชอบย้ำว่าเราหน้าตาไม่ดี เราก็รู้ตัวแหละว่าเราไม่ได้หล่อแบบพระเอก” เขาตัดพ้อ
คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ ถึงอย่างไรกัญจน์ก็ยังมีแฟนคลับที่เฝ้าติดตามเขาจำนวนไม่น้อย หลายคนดั้นด้นมาจากต่างจังหวัด มีกิจกรรมนัดพบปะกันปีละหน ซึ่งสำหรับคนเป็นนักแสดงอย่างเขาแล้ว ไม่มีอะไรสำคัญยิ่งไปกว่า ‘กำลังใจ’
ถามว่ามีบทไหนที่อยากเล่นมากที่สุดแล้วยังไม่เคยลอง คำตอบที่ได้รับแทบช็อกความรู้สึกกองเชียร์
“ลึกๆ แล้วผมอยากเล่นบทดราม่า รันทดๆ หรือไม่ก็เล่นเป็นเกย์อกหักไปเลย ผมชอบนะแบบนี้ (น้ำเสียงจริงจัง) ไม่ใช่ว่าอะไรก็บู๊ อะไรก็ยิง เอะอะก็ต่อยก็เตะ ถ้ามีละครเรื่องต่อไปที่พ่อจะทำ ผมอยากจะแกล้งบอกพ่อว่า ไม่เอาบทบู๊แล้วนะ ขอแบบดราม่าๆ หน่อย”
กัญจน์ย้ำอีกว่า เขาไม่แคร์หรอกว่าจะเสียภาพลักษณ์หรือไม่หากต้องสวมบทเป็นเกย์อกหัก เพราะนั่นคือความท้าทายของชีวิตนักแสดง และหวังว่าแฟนๆ คงจะเข้าใจ
แต่ปัญหาใหญ่ก็คือ แล้ว ‘อาหลอง’ จะยอมหรือ?
“ผมว่าไม่ยอมหรอก เดี๋ยวคงโดนด่ากลับมาแน่” เสียงของกัญจน์แฝงสำเนียงขำขื่น
แม้ในชีวิตการทำงาน กัญจน์จะยังคงอยู่ใต้ร่มเงาของอาหลอง แต่เขาก็เชื่อมั่นและภาคภูมิใจในผลงานทุกเรื่องของพ่อ เขาเชื่อว่าหนังบู๊ในแบบฉบับของพ่อจะยังคงครองใจมหาชนไปอีกนาน เพราะเป็นสิ่งที่คนดูรู้สึกผูกพัน ซึ่งเรื่องนี้พิสูจน์ได้ไม่ยากจากเรตติ้งที่ติดอันดับต้นๆ อยู่เสมอ
“หนังแต่ละเรื่องที่พ่อทำจะต้องลงทุนมาก ที่สำคัญต้องเน้นความสมจริง ยิงกันสะบั้นหั่นแหลก ระเบิดจริง เผาจริง ไม่ต้องพึ่ง CG แฟนคลับของพ่อก็ชอบแบบนี้แหละ ต้องเป็นอะไรที่อลังการงานสร้าง”
จากนักบู๊ปิ้งไก่สู่ธุรกิจเงินล้าน
กฎเหล็กของหนังบู๊ในแบบฉบับอาหลอง นอกจากฉากยิงสนั่นลั่นจอแล้ว อีกภาพหนึ่งที่ทุกคนคุ้นตากันดีในหน้าจอ คือ ฉาก ‘ปิ้งไก่’ กับจิบกาแฟดำยามเช้า!
กัญจน์บอกกับเราว่า นอกจากเขาจะเป็นนักปิ้งไก่ตัวฉกาจแล้ว ทุกวันนี้เขายังมีงานอดิเรกส่วนตัวที่เขารักเป็นชีวิตจิตใจ คือ ‘ฟาร์มไก่ชน’ ไม่ใช่แค่เลี้ยงไว้ดูเล่น แต่เป็นธุรกิจทำเงินติดอันดับ 1 ใน 5 ฟาร์มไก่ชนระดับประเทศ
เสน่ห์ของไก่ชนอยู่ตรงไหน เขาเองก็ยากจะสาธยาย รู้แต่ว่าถ้าให้เลือกระหว่างไก่กับแฟน เขาเลือกไก่
“ก็มันชอบน่ะ ชอบแบบคลั่งเลย จนแฟนเก่าผม 2 คน ต้องเลิกกันก็เพราะไก่นี่แหละ คือไม่ใช่ไม่มีเวลาให้ แต่สำหรับผม ไก่ต้องมาก่อน ถ้าวันไหนตื่นมาไม่มีงานถ่ายละคร ผมก็จะขลุกอยู่แต่ในฟาร์มทั้งวัน มันเป็นความสุขส่วนตัวที่บอกไม่ถูก”
วงล้อเวลาของกัญจน์หมุนวนอยู่ในกองถ่าย ทั้งงานเบื้องหน้า เบื้องหลัง สลับกับการเลี้ยงไก่ชน อนาคตเขาวางเป้าหมายชีวิตไว้ว่าจะผันตัวไปเป็น ‘ผู้จัด’ ส่วนงานผู้กำกับเขายอมรับว่ายังต้องอาศัยประสบการณ์อีกระดับ แต่สำหรับนาทีนี้แฟนละครไทยคงจะได้เห็นเขาโลดแล่นบนจอไปอีกนาน
ตราบใดที่มี ‘ฉลอง ภักดีวิจิตร’ …ที่นั่นย่อมมีกัญจน์
หมายเหตุ : ตีพิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์ Face of Entertainment นิตยสาร Way ฉบับ 67 (เผยแพร่บนเว็บไซต์ครั้งแรกเมื่อ 20 สิงหาคม 2014) |