เรื่อง: ตุ่น บางพรม
ภาพประกอบ: Shhhh
7 พฤศจิกายน ข่าวมรณกรรมของ เลนเนิร์ด โคเอน ถูกกลบอยู่ใต้ตัวอักษรที่เรียงคำว่า Trump และ Clinton ผมพบข่าวนี้ไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา จากหน้าฟีดส์ที่ไหลมาเทมาบนเฟซบุ๊ค มิตรสหายซึ่งเป็นคนรุ่นก่อนผมทิ้งถ้อยคำอาลัยถึงนักร้อง นักเขียนเพลง กวี และนักเขียน ผู้นี้ไว้ไม่น้อย หนึ่งในมิตรสหายรุ่นพี่คนหนึ่งกล่าวว่า
เราเดินทางด้วยกันตลอดเวลา นานหลายสิบปี ผ่านโซนีวอล์คแมนจนถึงไอโฟน บทกวีที่เป็นเสียงเพลงของเพื่อนคนนี้ ทำให้ผมบรรลุสัจธรรมในหลายเรื่อง ช่วยโอบอุ้มชีวิตของผมในยามตกต่ำ หาคุณค่าของความเป็นมนุษย์ไม่เจอ
ด้วยความเคารพ ‘คอมพลีทลีแอนด์เดฟิเนตลี ไม่อินอย่างรุนแรง’ เอาเป็นว่าทั้งชีวิตการฟังเพลง เสียงของ เลนเนิร์ด โคเอน ไม่เคยลอยเข้ามาในหูเลย เมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมรุ่นที่เดินข้ามสะพานยุคสมัยมายังยุคใหม่ เช่น บ็อบ ดีแลน พอล ไซมอน หรือ โจนี มิทเชล ที่คนวัยไม่ถึง 40 ยังฟังและยังคุ้นหู
ค้นในยูทูบ ‘Hallelujah’ มียอดวิวเกิน 41 ล้าน เสียงโทนเบสของโคเอนทุ้มต่ำ เหมือนเงามืดที่โผล่ออกมาจากม่านกำมะหยี่เนื้อละเอียดของกีตาร์สายไนลอน ทับด้วยเสียงคอรัสละเมียดที่ไม่ปรากฏในศิลปินผู้ผ่านยุคบุปผาชน 60-70 จนไม่แทบอาจจัดได้ว่า บ็อบ ดีแลน กับ เลนเนิร์ด โคเอน อยู่บนระนาบเดียวกัน
โคเอนเริ่มต้นความเป็นศิลปินด้วยผลงานกวี ‘Flowers for Hitler’ (1964) และนิยาย The Favourite Game (1963) Beautiful Losers (1966) ก่อนจะมาออกอัลบั้มแรก Songs Of Leonard Cohen ในปี 1967 ปกอัลบั้มเกือบทั้งหมดในหลายศตวรรษใช้สีที่ไม่เคยตกยุค ขาว/ดำ เนื้อเพลงไม่ได้ว่าด้วยเพียงเสรีภาพและความรักตามกระแสสมัย ทว่าอาบความเกลียดชัง เซ็กส์ จิตวิญญาณ คลุ้มคลั่ง หม่นเศร้า และพระผู้เป็นเจ้า ตลอดต่อเนื่องการทำงาน กระทั่งอัลบั้มที่ 14 ต้นปี 2016 ก็ยังชื่อ You Want It Darker
A million candles burning
for the love that never came.
You want it darker
we kill the flame.
“เหตุผลหนึ่งที่ผมออกทัวร์ก็คือการได้พบผู้คน” เว็บไซต์ Bloomberg ยกอีกประโยคของเขาว่า
ผมไม่เคยมองว่าตัวเองเป็นคนเขียนเพลงหรืออะไรเลย แค่การเป็นมนุษย์ก็สุดยอดแล้ว
Rolling Stone อ้างคำพูดของโคเอนหนึ่งเดือนก่อนวันสุดท้ายว่า
ผมตั้งใจจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป
– “I intend to live forever.”
ผมรู้จัก บ็อบ ดีแลน ในฐานะศิลปินติสต์ๆ ผู้เดินทางข้ามกาลเวลาอย่างไม่ตกสมัย – จนได้โนเบล แต่ก็นะ ‘A singer must die’ บางครั้งเวลามองไปยังอีกฟาก เรามักมองเห็นผู้คนเดินผ่านไปมา ทั้งที่สะพานหม่นมืด dark darker และ darkest ทอดยาวอยู่ใต้ฝ่าเท้าของคนเหล่านั้นแท้ๆ มีรอยเท้าถูกทิ้งไว้ บนสะพานที่ยังคงอยู่ในความทรงจำใครหลายคนไปอีกนาน – “Live Forever”
คุ้มใช่ไหม ที่ผมจะลองเดินสำรวจสะพานและเส้นทางเก่าแก่อายุ 82 ปีสายนี้ คุณคงมีคำตอบให้บ้าง