“เป้าหมายในการแสดงออกวันนี้คือ การเดินไปราบ 1 เพื่อขับไล่ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เรามาวันนี้อีกครั้ง เรามาเพื่อยืนยันในเเนวทางสันติวิธี เนื่องจากสถานการณ์การชุมนุมทุกวันนี้มันเกิดความรุนแรง ซึ่งก็เกิดจากทั้งความโมโหของประชาชนที่ไม่อยากทนกับรัฐบาลแล้ว นั่นก็เป็นสิ่งที่เราห้ามไม่ได้ แต่ที่ยังออกมา เพื่อยืนยันว่ามันยังมีแนวทางการต่อสู้แบบสันติวิธีที่พวกเราทำอยู่
“11 สิงหาที่ผ่านมา ทุกคนก็คงเห็นแล้ว วันนั้นเราไม่คิดว่าเจ้าหน้าที่ คฝ. จะสลายการชุมนุมเร็วขนาดนั้น วันนี้เราจึงกลับมาเพื่อเตรียมเคลื่อนขบวนอีกครั้ง เพราะวันนั้นเรายังไม่เริ่มเคลื่อนเลย ส่วนเป้าหมาย เรายังยืนยันเหมือนเดิมว่า ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องลาออกไปอย่างไม่มีเงื่อนไข
“จุดหมายของเราคือราบ 1 แม้ที่ผ่านมาจะยังไปไม่ถึง แต่ในวันนี้ เราไปถึงที่ไหนก็ขีดเส้นไว้ที่นั่นครับ เรามองว่า ไม่ว่าจะที่ไหนเราก็สามารถแสดงออกได้ การปะทะที่เกิดขึ้้นมันเริ่มจากเจ้าหน้าที่รัฐ ที่พยายามกีดกันจำกัดสิทธิของเราเพื่อไม่ให้เราไปถึง จนเกิดความโมโหและการปะทะทั้งสองฝ่าย
“ที่เราออกมาท่ามกลางวิกฤติโรคระบาดที่เลวร้ายเช่นนี้ ก็เพราะการบริหารงานของนายกฯ ที่ล้มเหลว แล้วถ้าประยุทธ์ยังอยู่ต่อ ความล้มเหลวนี้จะไม่จบสิ้น” ทั้งหมดนี้คือ ถ้อยคำของ ‘ยาใจ อันมี’ ผู้ประสานงานกลุ่มทะลุฟ้า
การชุมนุม ‘ศุกร์ 13 ไล่ล่าทรราช’ ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เวลา 15.00 น. ถือเป็นความพยายามอีกครั้งของกลุ่มทะลุฟ้า หลังจากวันที่ 11 สิงหาคม ที่พวกเขาถูกสลายการชุมนุมตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มตั้งขบวน
ในครั้งนี้พวกเขาประกาศเคลื่อนไหวโดยการคล้องแขนเดินไปยังบ้านพักของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ตั้งอยู่ในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ร.1รอ.) ถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกอย่างไม่มีเงื่อนไข
‘ปาสี ไม่ปาขวด ไม่ได้อยากปะทะกับตำรวจ แต่อยากดวลกับประยุทธ์’ – คอนเซ็ปต์ของการชุมนุมในวันนี้ถูกขีดเขียนผ่านป้ายไวนิลขนาดใหญ่ ก่อนนำไปขึงตรึงยังรั้วที่ล้อมรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
ข้อความนี้ นัยหนึ่งคือการส่งสารของกลุ่มทะลุฟ้าไปยังประชาชนที่มาร่วมการชุมนุม และเป็นเครื่องยืนยันถึงวิถีทางการเคลื่อนไหวอย่างสันติวิธีที่กลุ่มของพวกเขายึดถือกันมาตลอด
ลำไยจำนวน 300 กิโลกรัม และมังคุด 300 กิโลกรัม ที่เน่าเสียเพราะขายไม่ออก ถูกนำมาเทลงกลางถนน เพื่อสะท้อนถึงปัญหาปากท้องของเกษตรกรไทยและเศรษฐกิจที่ตกต่ำชนิดที่ว่า ราคาพืชผลทางเกษตรโดยเฉพาะลำไยและมังคุดที่ดิ่งฮวบ
หลังกิจกรรมเผาเผลไม้เน่า มวลชนได้ตั้งขบวนโดยการคล้องแขนพร้อมถือป้าย “ประยุทธ์ต้องออกไปโดยทันที” มุ่งหน้าไปยังบ้านพักของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยมีรถมอเตอร์ไซค์จำนวนมากเป็นกองหนุนอยู่ด้านหลัง
ทุกระยะของการเคลื่อนขบวนจะแทรกด้วยเสียงประกาศของแกนนำทะลุฟ้าถึงแนวทางการต่อสู้อย่างสันติวิถีและใช้การปาสีและผลไม้เน่าเป็นอาวุธเท่านั้น เมื่อขบวนเคลื่อนมายังบริเวณสามเหลี่ยมดินแดงอีกครั้ง ปรากฏตู้คอนเทนเนอร์ตั้งขวางเต็มถนน มวลชนต้องหยุดชะงัก พร้อมๆ กับเสียงประกาศผ่านไมโครโฟนของแกนนำทะลุฟ้าว่า “นี่คือเส้นทางสาธารณะที่พวกเราประชาชนทุกคนมีสิทธิ์ใช้ร่วมกัน มีสิทธิ์แสดงออกร่วมกัน”
“เราจะไม่ใช้ความรุนแรง ถ้ารัฐไม่ลงมือก่อน ถ้ารัฐใช้ความรุนแรง เราจะใช้สีตอบโต้ เพราะสีเปรียบเสมือนเลือดของประชาชนที่ตายวันละ 100-200 คน จากการบริหารที่ล้มเหลวในเรื่องการระบาดโรคโควิด-19 ของรัฐบาล”
เพียงไม่นานนัก ในเวลา 17.10 น. แม้ผู้ชุมนุมจะเดินกันอย่างสันติ ทว่าฝั่งเจ้าหน้าที่กลับเริ่มยิงกระสุนยางและแก๊สน้ำตาสกัดผู้ชุมนุมจากที่สูง ภายหลังจากการเริ่มใช้อาวุธรุนแรงของเจ้าหน้าที่ไม่นาน ในเวลา 17.20 น. ไฮโซลูกนัท-ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย ถูกของแข็งคาดว่าเป็นกระป๋องแก๊สน้ำตากระแทกเข้าบริเวณคิ้วขวา ขณะประกาศให้มวลชนถอยห่างจากเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนบนรถเครื่องขยายเสียง บรรยากาศเริ่มโกลาหล ประชาชนที่มาชุมนุมแตกตื่นกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ในเวลา 17.25 น. กลุ่มทะลุฟ้าประกาศยุติการชุมนุม ท่ามกลางความรู้สึกผิดหวังจากการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่กระทำเกินกว่าเหตุอีกครั้ง
ประมวลสถานการณ์ชุมนุม ‘ศุกร์ 13 ไล่ล่าทรราช’
15.30 น. ผู้ชุมนุมเริ่มลงถนน มีการติดตั้งป้ายข้อความ ‘ปาสีไม่ปาขวด ไม่อยากปะทะกับตำรวจ แต่อยากดวลกับประยุทธ์’ บริเวณรั้วของอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
15.50 น. มังคุดและลำไยอย่างละ 300 กิโลกรัมที่ราคาตก ถูกนำมาเทกระจาดกลางถนนอนุสาวรีย์ชัยฯ เพื่อสะท้อนถึงปัญหาปากท้องของเกษตรกร เศรษฐกิจที่ตกต่ำ และราคาพืชผลการเกษตรที่ดิ่งฮวบ ภายใต้การบริหารประเทศของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
16.00 น. “การขาดทุนของการบินไทย คือความล้มเหลวในการบริหารของผู้มีอำนาจที่ขาดวิสัยทัศน์ สมัยเลือกตั้ง พลังประชารัฐออกโครงการธงฟ้าประชารัฐ หรือกระทั่งบัตรคนจนที่ด้อยค่าพี่น้องประชาชน ตอนนี้คนไทยต้องใช้หนี้ 9 ล้านล้านแล้ว” ถ้อยคำปราศรัยของไฮโซลูกนัท
“เก้าอี้ของรัฐมนตรีสำคัญกว่าห้องไอซียูของพี่น้องประชาชน? อาวุธสงครามสำคัญกว่าหนี้สินของพี่น้องประชาชน? วันนี้พอกันที เผด็จการจงพินาศ ประชาราษฎร์ จงเจริญ!!”
16.20 น. เริ่มมีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์โดยการเผามังคุดและลำไยที่เน่าเสียและขายไม่ออกเนื่องจากราคาตกต่ำ อีกทั้งเศรษฐกิจที่ดิ่งฮวบจากการบริหารประเทศและเศรษฐกิจของรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา
16.25 น. ผู้ชุมนุมยืนคล้องแขนตั้งขบวนพร้อมถือป้าย “ประยุทธ์ต้องออกไปโดยทันที” พร้อมเดินขบวนมุ่งหน้าไปยังบ้านพักของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (ร.1 รอ.) โดยมีรถมอเตอร์ไซค์จำนวนมากเป็นกองหนุนอยู่ด้านหลัง
16.40 น. “ทะลุฟ้าวันนี้จะไปเหยียบหน้าพญาครุฑ” – แอดมินเพจทะลุฟ้า
16.45 น. “ตำรวจและทหาร ถ้าท่านไม่หันมาอยู่ข้างประชาชน ปัญหาทั้งหลายจะไม่สามารถแก้ไขได้ ถ้าท่านใช้กระสุนยาง เราจะปาสีและผลไม้เท่านั้น เราจะไม่ปาขวด ไม่ปาก้อนหิน นี่คือการตอบโต้ด้วยหลักการสันติวิธี” ผู้ปราศรัยประกาศขณะเคลื่อนขบวนใกล้ถึงบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง
16.55 ผู้ชมนุมเคลื่อนขบวนมาถึงสามเหลี่ยมดินแดง บรรยากาศยังไม่มีสัญญาณของการปะทะกับเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด ขณะที่แกนนำประกาศย้ำถึงหลักการสันติวิธีอย่างต่อเนื่อง
“ทำไมเราถึงเอาลำไย เอามังคุดมาเผาทิ้ง มันเป็นเพราะผลการบริหารเศรษฐกิจของประเทศไทยครับ… เศรษฐกิจที่ตกต่ำและถดถอยลงเรื่อยๆ ที่ทุกคนกำลังประสบอยู่ วันนี้เราได้ออกมาเรียกร้องในเรื่องของพ่อแม่พี่น้อง พ่อค้าแม่ขาย พนักงานที่ถูกเลิกจ้าง แม้แต่เงินกินข้าวก็แทบไม่มี เพราะพิษเศรษฐกิจและโควิด” แกนนำกล่าวบนรถเครื่องเสียงขณะเคลื่อนขบวน
17.00 น. ขบวนผู้ชุมนุมหยุดอยู่ที่บริเวณแยกดินแดง เนื่องจากเจ้าหน้าที่วางตู้คอนเทนเนอร์ขวางเส้นทางถนนวิภาวดีรังสิตฝั่งขาออกมุ่งหน้าสู่ ร.1 รอ. ด้านแกนนำได้ประกาศว่า “นี่คือเส้นทางสาธารณะที่พวกเราประชาชนทุกคนมีสิทธิ์ใช้ร่วมกัน มีสิทธิ์แสดงออกร่วมกัน”
“เราจะไม่ใช้ความรุนแรง ถ้ารัฐไม่ลงมือก่อน ถ้ารัฐใช้ความรุนแรง เราจะใช้สีตอบโต้ เพราะสีเปรียบเสมือนเลือดของประชาชนที่ตายวันละ 100-200 คน จากการบริหารที่ล้มเหลวในเรื่องการระบาดโรคโควิด-19 ของรัฐบาล” ผู้ชุมนุมกล่าวบนรถเครื่องเสียงขณะเคลื่อนขบวน
17.10 น. แม้ผู้ชุมนุมจะเดินกันอย่างสันติ แต่ฝ่ายเจ้าหน้าที่กลับเริ่มยิงกระสุนยางและแก๊สน้ำตาสกัดผู้ชุมนุมจากที่สูง “เรามาอย่างสันติวิธี เราไม่ได้ใช้ความรุนแรง เรามีเพียงแค่สี เราไม่ใช้อาวุธ!!” ผู้ชุมนุมตะโกนขณะมีการยิงแก๊สน้ำตาจากฝั่ง คฝ.
17.20 น. ไฮโซลูกนัท-ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย ถูกวัตถุบางอย่างกระแทกเข้าบริเวณศีรษะ ขณะประกาศให้มวลชนถอย จากนั้นถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล
17.25 น. กลุ่มทะลุฟ้าประกาศยุติการชุมนุม
ทั้งนี้ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น แถลงว่า หนึ่งในเหตุผลที่ต้องมีการควบคุมการชุมนุม เนื่องมาจากจำเป็นต้องจัดการกับสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ขณะที่ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า “ที่ผ่านมาเฉพาะเดือนมกราคม มีการจับกุมแล้ว 100 กว่าราย มีการออกหมายจับไปแล้ว 200 กว่าราย อยากเรียนว่า หากเจ้าหน้าที่พิจารณาแล้วมองว่าจะบานปลาย ก็ต้องมีการจับกุมดำเนินคดี เราใช้วิจารณญาณ ใช้เหตุผล ใช้หลักกฎหมาย สามารถตรวจสอบได้อยู่แล้วครับ”
คำต่อคำ…ปราศรัย ‘ลูกนัท-ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย’
“Thai people need help. We are pushed to a brink of desperation, We are pushed to a brink of desperation that the government have no care to the people’s lives. the government only serves their agenda, and their peer. the government willing to let people die on the street, In order to purchase an ineffective chinese vaccine, that doesn’t have a shit. We have the health minister taking credit from President Biden’s donation the Pfizer vaccine… it’s Ridiculous, Ridiculous!
“We, the people will not stand no more to the corrupt and incompetent government.
“We, the people, stand here today to take charge, take back our power for true democracy
“เผด็จการจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ”
“หนี้ครัวเรือนตอนนี้ที่พุ่งกว่า 14 ล้านล้านบาท มันเป็นไปได้ยังไง …ทุกคนรู้จักการบินไทย ที่ตอนนี้ขาดทุนไปแล้วเกือบ 4 แสนล้านบาท สิ่งที่พ่อแม่พี่น้องอาจจะไม่รู้คือ เกือบ 4 แสนล้านบาทนี้ ถูกผลักให้เป็นภาระของพี่น้องประชาชน การขาดทุนของการบินไทย คือความล้มเหลวในการบริหารของผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์ องค์กรอิสระต่างๆ ล้มเหลวในการบริหารตั้งแต่มีทหารเข้าไปเป็นบอร์ด รถเมล์ที่ท่านเห็นวิ่งอยู่ ต้นทุนคันละ 3 ล้านบาท แต่ขาดทุนและสร้างหนี้สินให้กับประเทศคันละ 30 ล้านบาท
“บขส. เป็นรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุนเยอะที่สุดที่หนึ่ง พ่อแม่พี่น้องครับ สมัยเลือกตั้งนั้น พรรคพลังประชารัฐออกโครงการธงฟ้าประชารัฐมา ช่วงก่อนเลือกตั้งพอดี (เน้นเสียง) ทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือที่เขาเรียกกันว่า ‘บัตรคนจน’ มาด้อยค่าพี่น้องประชาชน แบ่งแยกชนชั้นคนรวยคนจน แค่นั้นยังไม่พอ เอางบประมาณภาระหนี้สินของพ่อแม่พี่น้องที่ผลักดันเป็นหนี้สาธารณะ เอาไปใช้อัดฉีดให้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐนั้นไปซื้อของตามร้านสะดวกซื้อ แต่พ่อแม่พี่น้องครับ แทนที่เขาจะแจกเงินสดหรือให้สวัสดิการดีๆ เขาไม่ทำ มันง่ายเกินไปสำหรับรัฐบาล เขาจึงออกอุบายว่า ให้ร้านค้าที่ร่วมรายการเท่านั้นสามารถเบิกเงินกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้
“แล้วเบิกเงินยังไง? ก็ต้องเป็นร้านค้าพรรคพวกเดียวกันกับเขา หากอยากจะค้าขายในร้านธงฟ้า ก็ต้องยอมศิโรราบให้เขา ต้องยอมติดป้ายเชียร์พลังประชารัฐ เพื่อที่จะได้มีเครื่องรูดบัตรสวัสดิการคนจน หนำซ้ำ สินค้านั้นเป็นของผู้ร่วมโต๊ะจีนของพลังประชารัฐทั้งนั้น
“มันกู้เงินและผลักดันไปเป็นหนี้สาธารณะ แล้วเอาเงินนั้นไปอุดหนุนสปอนเซอร์ตัวเองที่ไปนั่งกินโต๊ะจีนแจกเงินให้พรรคพลังประชารัฐ สุดท้ายคนไทยต้องใช้หนี้ วันนี้ถึง 9 ล้านล้านแล้ว
“จริงๆ แล้วในช่วงเริ่มต้น พลเอกประยุทธ์มีรัฐมนตรีการคลังที่มีฝีมือหลายคน แต่อยู่กับแกไม่ได้ แกเป็นคนฉิบหาย ใครทำงานด้วยก็ไม่ได้ ทุกวันนี้หนี้มันท่วมไปหมดแล้ว ใครเป็นหนี้ยกมือขึ้นหน่อยครับ รัฐออกนโยบายว่าให้พักหนี้ แต่ฉิบหาย กูยังต้องจ่ายดอกเบี้ยอยู่
“วันนี้ ถ้าเราไม่มีรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย ถ้าเราไม่มีรัฐบาลที่มาจากประชาชน ไม่มีทางที่ปัญหาเศรษฐกิจจะถูกแก้ไข เพราะเขาไม่เห็นหัวประชาชน
“เก้าอี้ของรัฐมนตรีสำคัญกว่าห้องไอซียูของพี่น้องประชาชน อาวุธสงครามสำคัญว่าหนี้สินของพี่น้องประชาชน
“พอกันที
“เผด็จการจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ”
ลูกนัท-ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย ปราศรัยในกิจกรรมชุมนุมของกลุ่มทะลุฟ้า ‘ศุกร์ 13 ไล่ล่าทรราช’