โตมร ศุขปรีชา
ภาพประกอบ : Nola Nolee
ผมคิดว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องแมว
ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะที่บ้านเลี้ยงแมวมาตั้งแต่ผมจำความได้ แม่เป็นคนที่รักแมวมาก และถ่ายทอดความรักแมวให้กับลูกๆ บ้านของเราจึงมีแมวไม่ขาดสายตลอดระยะเวลาที่จำความได้จนกระทั่งโตขึ้น
แมวที่ผมจำได้มีอาทิ เจ้าเสือ ซึ่งเป็นแมวลายเหมือนเสือ ตัวของมันเป็นลายสีเหลืองๆ จะบอกว่าเหมือนแมวไมเคิลในการ์ตูนก็พอได้ แต่หน้าตาของมันไม่ได้น่ารักน่าเอ็นดูเหมือนไมเคิลหรอกนะครับ
เพราะมันเป็นแมวธรรมดาๆ
มันมาปรากฏตัวที่ประตูรั้วบ้านในวันหนึ่ง ตอนนั้นบ้านของเราอยู่แถวบางกะปิ ผมจำได้ว่าตื่นขึ้นมาตอนเช้า แล้วเห็นเจ้าแมวตัวนี้นั่งอยู่บนเสารั้ว ร้องแง้วๆ-ไม่ใช่แบบถือดีสั่งโน่นสั่งนี่นะครับ แต่เป็นแง้วๆ แบบขออยู่ด้วย
ใช่! แบบขออยู่ด้วย!
เพราะหลังจากนั้นแล้ว มันก็ยึดบ้านเป็นนิวาสถานอยู่อย่างไม่อายฟ้าอายดิน จนกระทั่งเจ้า ‘สามสี’ (ตัวนี้ผมตั้งชื่อให้เอง ตามชื่อหมาของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ค่าที่มันมีสามสีเหมือนกัน) ซึ่งเป็นแมวตัวผู้ประเภทแมวหง่าวแมวโพง ต้องระเห็จหนีออกไปตระเวนอยู่นอกบ้าน บางทีอาจเพราะมันนึกว่าเจ้าเสือเข้ามายึดบ้านของมันเข้าให้แล้ว
ถ้าบอกว่าเจ้าเสือเป็นแมวตัวผู้ที่สามารถ ‘ไล่’ แมวตัวผู้อีกตัวหนึ่งออกจากบ้านไปได้ คุณอาจนึกภาพว่าเจ้าเสือเป็นแมวดุร้ายขาโหดหรือเป็นนักเลงประจำซอย
แต่ไม่เลย
แม้เจ้าเสือจะเป็นแมวตัวผู้ แต่บางทีผมก็ไม่รู้สึกอย่างนั้น
มันเป็นแมวตัวผู้ก็จริง แต่เนื้อหนังและขนของมันนุ่มนิ่ม และชอบร้องออดอ้อนออเซาะ ชอบให้คนเกาคางหางหลังพุง และทุกอวัยวะในตัวของมัน
หลายคนบอกว่ามันเป็นแมวกะเทย ไม่ใช่เพราะมันมี sexual orientation แบบชอบผู้ชายหรือชอบแมวตัวผู้หรอกนะครับ เพราะเรื่องนั้นไม่มีใครเคยพบเห็นว่ามันไปทำอะไรกับใคร แต่มันมี ‘วัฒนธรรม’ (หรืออย่างน้อยๆ ก็วัฒธรรมย่อยละเอ้า!) ต่างๆ ในชีวิตแบบแมวตัวเมียทุกประการ
เรื่องนี้ถ้าใครเคยเลี้ยงหรือคุ้นเคยกับแมวน่าจะพอแยกแยะออกนะครับ ว่าแมวตัวเมียกับแมวตัวผู้นั้นมันแตกต่างกันอย่างไร อย่างง่ายๆ เลยก็คือ แมวตัวผู้นั้นมักจะ ‘ปริ๊ด’ หรือพ่นปัสสาวะออกมาแสดงอาณาเขต แต่เจ้าเสือไม่เคยเลย มันเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้และขี้อ้อนออเซาะ
บางทีอาจเป็นเช่นนี้ก็ได้ที่ทำให้เจ้าสามสีเกิดอาการ ‘รำคาญ’ เลยหนีออกจากบ้านไปเสียเลย
หรือไม่มันก็อาจรู้สึกเสียศักดิ์ศรีความ ‘แมน’ บางประการ ที่ต้องมาอยู่ร่วมบ้านกับแมวกะเทยก็เป็นได้!
เจ้าเสือไม่ได้เป็นแค่แมวนุ่มนิ่มเท่านั้น มันเป็นแมวตัวผู้ แต่เมื่อมีแม่แมวตัวไหนคลอดลูกออกมา มันก็เข้าไปช่วยเลี้ยงดูเป็นอย่างดีด้วย
เปล่าครับ, ไม่ใช่แค่คอยเลียลูกแมวหรืออะไรทำนองนั้น แต่เจ้าเสืออนุญาตให้แมวเด็กทั้งหลายมา ‘ดูดนม’ มัน เหมือนมันเป็นแม่แมว แล้วมันก็ทำสีหน้าสีตาอิ่มเอมราวกับเป็นแม่แมวเด็กเหล่านั้นจริงๆ เสียด้วย
ทั้งที่มันเป็นแมวตัวผู้ที่ยังมีพวงอัณฑะอยู่!
แมวอีกตัวหนึ่งที่ผมประทับใจและจดจำได้ไม่ลืม คือแมวพลัดหลงมาตัวหนึ่ง มันมีชื่อว่า ‘อีบอด’
ที่มันได้ชื่อเช่นนั้นก็เพราะอีบอดตาบอดสนิททั้งสองข้าง มันมองอะไรไม่เห็นเลย ดวงตาของมันเป็นฝ้า เวลาเดินไปไหนต่อไหน มันจะชอบชนนั่นโน่นนี่เสมอ เช่นเวลาลอดใต้โต๊ะกินข้าว มันก็จะต้องเดินชนขาโต๊ะ
แต่ที่น่าทึ่งก็คือ อีบอดยามยังสาวนั้น ถ้าหากอยากเล่นอะไรเหมือนแมวขึ้นมามันก็สามารถเล่นได้นะครับ ถ้าเราเล่นกับมัน เอาไม้ไปเขี่ยไปแหย่มันเหมือนเล่นกับแมวทั่วไป มันก็จะทำหน้าทำตาเหมือนแมวขี้เล่นที่สามารถตะปบตะครุบอะไรๆ ‘พอได้’ แม้ไม่ถึงกับตะปบได้เหมือนแมวตาดีก็ตาม แต่มันก็สนุกสนานเพลิดเพลินไปได้เหมือนกัน
แล้วอยู่มาวันหนึ่ง อีบอดก็ตั้งท้อง เราถึงกับอึ้งไปเลย เพราะไม่รู้ว่ามันไปหาแฟนเจอกันได้อย่างไร แต่คิดว่าคงไม่เหนือบ่ากว่าแรงสักเท่าไหร่หรอกครับ ที่ทำให้เราฉงนสนเท่ห์มากกว่าก็คือ แล้วอีบอดมันจะเลี้ยงลูกได้อย่างไรกันนะ
แล้ววันคลอดก็มาถึง ก่อนคลอด อีบอดไปเสาะหาสถานที่จนได้ เป็นบ่อเลี้ยงปลาเก่าในบริเวณบ้าน ซึ่งเดิมเคยมีช่องกรองน้ำเล็กๆ อยู่ เรียกว่ารั้วรอบขอบชิดดีทีเดียว เป็นชัยภูมิที่เหมาะสมต่อการเลี้ยงดูลูกอย่างยิ่ง
อีบอดคลอดลูกในนั้น เลี้ยงลูกในนั้น และเก่งกล้าสามารถมากเสียจนสามารถคาบลูกกระโดดเข้าๆออกๆ จากบ่อปลาได้เหมือนกับมันเป็นแมวตาดี และลูกของมันก็เติบโตมาเป็นแมวอ้วนที่แข็งแรงดีเสียด้วย เรียกว่าต่อให้พิการทางสายตา แต่อีบอดก็เลี้ยงดูลูกได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้ใครเลยทีเดียว
ยังมีอีกตัวหนึ่งที่ผมจำได้ไม่รู้ลืม คือแมวน้อยที่อายุน่าจะแค่ไม่กี่เดือน มันชื่อเจ้าแบงค์ เจ้าแบงค์เป็นแมวที่สอนให้ผมรู้จักและได้พบเห็นกับความตายอย่างใกล้ชิดด้วยชีวิตของมันเอง
คืนหนึ่ง-ดึกแล้ว, เป็นคืนที่ไม่มีใครอยู่บ้าน ไม่มีรถ (ถึงมีผมก็ขับไม่เป็น เพราะยังเด็กอยู่) ตอนนั้นเราย้ายบ้านไปอยู่ต่างจังหวัดแล้ว แถมไม่ได้อยู่ในเมือง และเป็นจังหวัดที่หลังสองทุ่มก็เงียบสนิทมืดตึ๊ดตื๋อด้วย ปรากฏว่าจู่ๆ เจ้าแบงค์ก็กลับมาบ้านพร้อมกับขาทั้งขาของมันหนังเปิดออกมาหมด ลองนึกถึงขาไก่ย่างที่ลอกหนังออกมานะครับ เลือดท่วมตัวของมัน และมีบาดแผลที่อื่นๆ อีกหลายแห่ง มันน่าจะถูกหมาหรือตัวอะไรทำร้ายมาอย่างสาหัส ที่จริงถ้าดูจากบาดแผล มันน่าจะตายอยู่ตรงที่เกิดเหตุแล้ว แต่ดูเหมือนมันพยายามตะเกียกตะกายกลับบ้าน
แล้วมันก็กลับมาพบกับผม ในบ้านที่ไม่มีคนอื่นอยู่
บอกตามตรงนะครับว่าผมไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่มีรถ ไม่มีใครที่ขับรถได้ ไม่มีเพื่อนบ้านอยู่ใกล้ๆ ไม่มีรถรับจ้าง ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง
เจ้าแบงค์นอนนิ่ง ดวงตาของมันใสแจ๋วเหมือนไม่ได้เจ็บปวดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว มันนอนอยู่อย่างนั้นเหมือนจะบอกผมว่าไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะ มันแค่กลับมาเพื่อลาก็เท่านั้น
มันเป็นแมวฉลาด ขี้เล่น และน่าจะเป็นหนึ่งในแมวที่ผมรักที่สุด
ผมพยายามทำแผลเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้ แต่ที่สุดก็ตระหนักว่าสิ้นหวัง ยิ่งใส่ยาเข้าไปมันก็จะยิ่งแสบ ผมจึงนั่งอยู่กับมัน ลูบขนที่คอของมัน นั่งมองดวงตาใสแจ๋วนั้นพลางรู้สึกถึงความตายที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา
มันตายช้าๆ ทีละส่วน จากขาที่มีบาดแผล ไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงลำตัว คอ และดวงตาใสแจ๋วนั้น
ผมไม่ได้ร้องไห้ แต่บอกมันว่าขอให้มันได้ไปในที่ที่มันจำเป็นจะต้องไป และขอบคุณที่มันเคยอยู่กับผมในช่วงเวลาอันแสนสั้นนั้น
ผมเล่าเรื่องแมวทั้งหลายให้คุณฟัง ก็เพราะผมอยากบอกคุณว่า ตอนนี้ผมมีแมวตัวใหม่เข้ามาในชีวิตแล้ว มันยังเป็นแมวเด็กอยู่ และผมไม่รู้หรอกว่ามันจะอยู่ด้วยกันไปอีกนานแค่ไหน ผมยังไม่รู้ว่านิสัยของมันจะเป็นอย่างไรเมื่อโตขึ้น ไม่รู้ว่ามันจะเก่งกล้าสามารถเหมือนอีบอด จะใจดีเหมือนเจ้าเสือ หรือน่ารักเหมือนไมเคิลในการ์ตูนไหม
ผมรู้แต่ว่า-สักวันหนึ่ง หากไม่ใช่มันนั่งมองดูความตายของผม ก็อาจเป็นผมที่นั่งมองดูความตายของมัน เหมือนที่ผมเคยนั่งดูความตายของเจ้าแบงค์มาแล้วครั้งหนึ่ง
มันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของชีวิต
ที่เราจะผ่านมาพบกันครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อสุดท้ายแล้วจะต้องจากกันไป
แต่เจ้าแบงค์สอนผมเอาไว้แล้วว่า ความตายไม่จำเป็นต้องเจ็บปวดเสมอไป
ผมยังจำดวงตาใสแจ๋วนั้นได้ และน่าจะจดจำไปได้ชั่วชีวิต
**********************************************************************
(หมายเหตุ : ตีพิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์ cramp นิตยสาร way ฉบับที่ 72)