อีก 40 ปีข้างหน้า…ดูเหมือนว่าอาหารบางอย่างจะหาได้ยากมากขึ้น อันเนื่องมาจากราคาที่เพิ่มสูงขึ้นและปริมาณที่ลดลง ขณะเดียวกันการปลูกก็ทำได้ยากมากขึ้นเพราะอุณหภูมิและสภาพอากาศที่ผิดปกติมากขึ้นอันเนื่องมาจากสภาวะโลกร้อน
นี่คืออาหารและเครื่องดื่มจำนวนหนึ่งที่กำลังอยู่ในสถานการณ์น่าเป็นห่วง
1. กาแฟ
เม็ดกาแฟอาราบิก้ามาจากต้นกาแฟที่ต้องการการดูแลมากเป็นพิเศษในภูมิภาคแถบศูนย์สูตร (ยังมีพันธุ์อื่นๆ อย่างโรบัสต้า แต่คนส่วนใหญ่มักติเรื่องคุณภาพและรสชาติที่ด้อยกว่า) โดยธรรมชาติอาราบิก้ามีความอ่อนไหวต่อโรคที่เรียกว่า coffee rust คล้ายโรคใบสนิมในพืชที่เกิดจากเชื้อราที่ทำให้ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล เป็นสาเหตุให้ผลผลิตได้น้อยและด้อยคุณภาพ บางต้นถึงกับตาย
ภาวะโลกร้อนถูกมองว่าเป็นต้นเหตุปัญหาการระบาดของโรคใบสนิมในกาแฟ ซึ่งผลกระทบมหาศาลดังกล่าวทำให้ประธานาธิบดีประเทศกัวเตมาลาถึงกับประกาศว่าเรื่องโรคใบสนิมในกาแฟนี้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินของประเทศในปี 2013
การศึกษาของ World Coffee Research Center เรื่องการลดลงของต้นกาแฟอาราบิก้าจำนวนมากในนิคารากัว เวราครูซ และเม็กซิโกในปี 2011 คาดการณ์ว่าถ้าสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นิคารากัวที่เคยผลิตกาแฟได้ 17 เปอร์เซ็นต์ของทั้งโลก จะไม่สามารถผลิตกาแฟได้อีกต่อไป
2. ช็อกโกแลตราคาย่อมเยา
70 เปอร์เซ็นต์ของโกโก้ทั่วโลกเป็นเมล็ดพันธุ์ที่อ่อนไหวต่อความร้อน ซึ่งเจริญเติบโตได้ดีในทวีปแอฟริกาตะวันตก ซึ่งคาดว่าอุณหภูมิของภูมิภาคแห่งนี้ที่สูงอยู่แล้วจะสูงขึ้นอีกในทศวรรษถัดไป แน่นอน เกษตรกรอาจแก้ไขได้ด้วยการย้ายไปปลูกในที่สูงหรือที่ราบสูงเชิงเขา แต่อย่าลืมว่าพื้นที่ของแอฟริกาส่วนใหญ่เป็นที่ราบ
ปี 2011 รายงานจากกองทุนสนับสนุนการปลูกโกโก้ (cocoa farming funded) โดยมูลนิธิบิลล์และเมลินดา เกตส์ คาดการณ์ว่า อุณหภูมิโลกที่จะสูงขึ้น 2.3 องศาภายในปี 2050 จะส่งผลให้ผลผลิตโกโก้เสียหายและราคาสูงขึ้น และพื้นดินจะไม่เหมาะกับการทำเกษตรกรรมมากขึ้นเรื่อยๆ
อาจเป็นข่าวร้ายสำหรับคนรักช็อกโกแลต แต่สำหรับเกษตรกรโกโก้หลายคนอยู่ได้ด้วยการค้าแบบแฟร์เทรด เน้นการปลูกให้ผลผลิตจำนวนไม่มากแต่มีผู้รับซื้อแน่นอน อย่างไรก็ตาม รายงานฉบับนี้แนะวิธีแก้วิกฤตินี้ว่า อาจแก้ได้ด้วยการทุ่มงบประมาณให้กับการวิจัยเรื่องพืชต้านทานความร้อน
3. เนยถั่ว
ตอนนี้ราคาของเนยถั่วปรับสูงขึ้นแล้ว แต่อาจเป็นตัวเลขน้อยจนไม่ผิดสังเกต พืชตระกูลถั่วที่ต้องได้น้ำในปริมาณพอดีที่สม่ำเสมอแน่นอน กล่าวคือถ้าปริมาณน้ำขาดไปนิดเดียวก็จะทำให้เมล็ดถั่วแห้ง แต่ถ้าน้ำมากไปก็เผชิญจะปัญหาเชื้อรา
จากการศึกษาของ Global Change Research Program ในสหรัฐอเมริกา พบว่า ถั่วลิสงในทศวรรษถัดไปจะมีแนวโน้มแห้งลงเรื่อยๆ
4. ไวน์ฝรั่งเศส
30 ปีที่แล้ว ผู้ผลิตไวน์เริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของผลผลิต คือ สุกเร็วกว่าปกติ 2 อาทิตย์ ปริมาณน้ำตาลมากขึ้นแต่ความเป็นกรดน้อยลง การเจริญเติบโตเต็มที่โดนภัยแห้งแล้งคุกคาม ดังนั้นผู้ผลิตไวน์จึงเริ่มพัฒนาพันธุ์องุ่นที่ต้านทานต่อความร้อนมากขึ้น และพยายามปรับเพื่อเตรียมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ถ้าความเปลี่ยนแปลงมาเยือนเร็วกว่าที่คิด ผู้ผลิตไวน์แห่งบอร์โดอาจทิ้งไวน์ของพวกเขาไป และความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดคือ สภาพอากาศในช่วงกลางศตวรรษอาจไม่เหมาะสมกับการผลิตไวน์มีชื่ออย่าง คาเบอร์เนต์และไวน์เมอร์ลอตอีกต่อไป
การศึกษาวงการไวน์ในสหรัฐอเมริกา ปี 2006 คาดว่า สิ้นศตวรรษนี้อาจจะได้เห็นปริมาณองุ่นเกรดพรีเมียมลดลงถึงร้อยละ 81 ซึ่งอุณหภูมิเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตขององุ่นสายพันธุ์ดี ควบคู่ไปกับดินดีและการทำการค้าที่ได้คุณภาพ
5. พายแอปเปิ้ล
ต้นแอปเปิ้ลที่จะผลัดใบทิ้งและหยุดการเจริญเติบโตชั่วคราวในฤดูหนาว เสมือนเก็บแรงไว้เผชิญกับฤดูใบไม้ผลิอันโหดร้าย และเมื่อฤดูหนาวสิ้นสุดลงดอกแอปเปิ้ลก็จะบานเต็มที่แค่ครั้งเดียว นั่นถือเป็นความประสบความสำเร็จเล็กๆ ของต้นแอปเปิ้ลที่ฝ่าฟันฤดูหนาวมาได้
แต่เมื่ออุณหภูมิในหน้าหนาวสูงขึ้น เราอาจเริ่มเห็นลูกแอปเปิ้ลเล็กลงเรื่อยๆ นั่นหมายถึงแอปเปิ้ลจำนวนน้อยลง ราคาแพงขึ้น และรสชาติที่อาจเปลี่ยนไป จากการศึกษาของญี่ปุ่น ภาวะโลกร้อนทำให้แอปเปิ้ลฟูจินุ่มและหวานกว่าในอดีต ตั้งแต่ต้นแอปเปิ้ลเผชิญกับอากาศอุ่นขึ้นและผลิดอกเร็วขึ้นกว่าปกติ
ผลไม้อื่นๆ ก็ได้รับผลกระทบจากหน้าหนาวที่อุ่นขึ้นเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นพีช พลัม แอพพริคอต และ ลูกแพร์
………………………………………………………………………..
(ที่มา : huffingtonpost.com)