ทางการเกาหลีเหนือออกข่าวผ่านทางหนังสือพิมพ์กระบอกเสียงของรัฐเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า นักศึกษาและคนงานทั่วประเทศกว่าเกือบห้าล้านคนลงทะเบียนแสดงความปรารถนาสมัครเข้าเป็นทหาร หรือกลับเข้าประจำการรอบใหม่ในกรมกองของหน่วยป้องกันประเทศจำนวนมากที่ได้ชื่อว่ามีจำนวนกำลังพลติดอาวุธขนาดใหญ่มหาศาลแห่งหนึ่งของโลกแล้ว
การ ‘ระดมพลระดับสุดมโหฬาร’ ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจาก ผู้นำแห่งกรุงเปียงยาง คิม จอง-อึน ส่งเสียงโต้ตอบและขู่ว่า จะ ‘สยบ’ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกาด้วย ‘เพลิงมหาประลัย’
ขณะที่ทางการจีนออกประกาศในวันเดียวกันที่กรุงปักกิ่ง สั่งการให้บริษัทการค้าของเกาหลีเหนือในประเทศจีน รวมถึงหน่วยงานทั้งหลายของผู้ร่วมทุนฝ่ายเกาหลีเหนือในวิสาหกิจสัญชาติจีนทั้งหมดถอนตัวออกไปจากประเทศภายใน 120 วัน หลังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติลงมติคว่ำบาตรเกาหลีเหนือเมื่อ 11 กันยายนที่ผ่านมาด้วยเสียงเอกฉันท์ โดยเส้นตายของการปิดบริษัทเหล่านี้น่าจะอยู่ประมาณต้นเดือนมกราคม ทั้งที่จีนเป็นพันธมิตรสำคัญของเกาหลีเหนือ แต่เท่าที่ผ่านมาก็ได้บอกเลิกการค้าสิ่งทอและงดส่งน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นสินค้าออกข้ามพรมแดนไปแล้ว
ทั้งหมดเป็นมาตรการที่นานาชาติร่วมกันคว่ำบาตร หลังเกาหลีเหนือทดลองระเบิดนิวเคลียร์ขนาดใหญ่ครั้งที่ 6
นักวิเคราะห์ในโลกภายนอกไม่สามารถเสาะหาแหล่งอ้างอิงเพื่อยืนยันรายงานข่าวการระดมพลครั้งใหญ่ของหนังสือพิมพ์ โรดอง ชินมุน ได้ตามที่เคยเป็นมา ก่อนหน้านี้ สื่อเกาหลีเหนือเคยออกข่าวลักษณะคล้ายกันเมื่อเกิดเหตุการณ์เข้าข่ายคับขัน เช่น เมื่อหลายเดือนก่อนก็ออกข่าวอ้างว่า พลเรือน 3.5 ล้านคนพากันลงนามสมัครเข้าเป็นทหาร หลังจากถูกสหประชาชาติลงมติคว่ำบาตรเกาหลีเหนือครั้งก่อน
รายงานข่าวของเกาหลีเหนือระบุว่า คนหนุ่ม 3.4 ล้านพร้อมกับสตรีอีก 1.3 ล้านคนปวารณาตนสมัครเข้าเป็นทหารเพื่อสู้รบกับสหรัฐอเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำนักข่าวยอนฮัพ (YTN) ของเกาหลีใต้รายงานเสริมต่อมาว่า ความเคลื่อนไหวภาคประชาชนครั้งนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องจากคำโฆษณาชวนเชื่อเชิญชวนให้ชาวเกาหลีเหนือสมัครเข้าเป็นทหาร และเพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทั้งประเทศ
ตัวเลขประมาณการส่วนหนึ่งบ่งว่าเกาหลีเหนือมีกำลังพลขนาดมหึมาในทั้งสามกองทัพหลักอย่างผิดปกติเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร 25 ล้านคน กระทรวงต่างประเทศสหรัฐเคยประมาณไว้ในปี 2014 ว่า เกาหลีเหนือมีทหาร 1.18 ล้านคนประจำการในสามกองทัพ จัดว่าเป็นอันดับที่ 4 ในบรรดากองทัพขนาดใหญ่สุดของโลก ตามหลังตั้งแต่ กองทัพจีน (2.37 ล้าน) อินเดีย (1.41 ล้าน) และสหรัฐ (1.43 ล้าน)
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่เคยตกอยู่ในสถานการณ์สงครามที่ผ่านมา ในปี 2003 อิรักมีขนาดกำลังพลทั้งสิ้น 450,000 นาย ขณะที่มีประชากรรวม 26 ล้านคน
จำนวนทหารประจำการระดับมหาศาลนี้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เหตุที่รัฐธรรมนูญเกาหลีเหนือระบุไว้ชัดเจนว่า “การป้องกันประเทศเป็นหน้าที่และเกียรติของพลเมืองแห่งชาติ” กฎหมายจึงบังคับให้ประชาชนทุกคนต้องเข้าเป็นทหารในกองทัพ
รายงานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐที่ส่งต่อรัฐสภาเมื่อปี 2015 แจ้งว่า 4 หรือ 5 เปอร์เซ็นต์ของพลเมืองเกาหลีเหนือเข้าประจำการในกองทัพบกประชาชน (Korean People’s Army: KPA) และ 25 หรือ 30 เปอร์เซ็นต์ถูกจัดให้อยู่ในหน่วยอาสาหรือหน่วยสำรองเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการระดมพล
โลกภายนอกไม่ค่อยล่วงรู้ถึงขีดความสามารถแท้จริงของทหารเกาหลีเหนือแต่ก็เคยมีเรื่องเล่าเดิมๆ ในหมู่ทหารอเมริกันที่ผ่านการสู้รบในสงครามเกาหลีเมื่อหลายทศวรรษก่อนนี้บ่งว่า โดยตัวบุคคลแล้วทหารเกาหลีเหนือมีสมรรถภาพสูง หน่วยรบมักเชี่ยวชาญการเข้าโจมตี และมีจิตใจมุ่งมั่นจะเอาชัยชนะให้ได้
อย่างไรก็ตาม รายงานของเพนตากอนแจ้งว่า KPA ยังคงใช้อาวุธยุทธโธปกรณ์ส่วนใหญ่ที่ล้าสมัยมาก ส่วนใหญ่เป็นเทคโนโลยีโบราณตั้งแต่ทศวรรษ 1950 ซึ่งเป็นรูปแบบเดิมๆ ไม่ของอดีตสหภาพโซเวียตก็เป็นของจีนที่แทบไม่มีใครในโลกภายนอกเหลียวแลหรือพูดถึงกันอีกแล้ว
ในด้านความเป็นอยู่ของประชาชน สำนักข่าวกรองของเกาหลีใต้ระบุว่า แม้ตัวเลขรายงานทางเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือบ่งบอกถึง GDP ที่โตขึ้น 3.9 เปอร์เซ็นต์เมื่อปีที่ผ่านมา และมีสินค้ามากมายตั้งแสดงในร้านกลางเมืองหลวงเปียงยางและพื้นที่โดยรอบ แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความฉาบฉวยที่ทางการได้พยายามมาโดยตลอดเพื่อกลบเกลื่อนความจริง
สื่อมวลชนเกาหลีใต้ระบุว่าเนื่องจากทางการเกาหลีเหนือมุ่งทุ่มเทความสำคัญให้แก่การทหารซึ่งต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล เท่ากับประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ของ GDP พลเมืองทั่วไป โดยเฉพาะในพื้นที่ส่วนใหญ่ของชนบทจึงตกอยู่ในความยากลำบากสาหัส เมื่อต้องเผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรของนานาชาติเข้าแล้วก็ยิ่งย่ำแย่ลงอีกทับทวี
นักสร้างภาพยนตร์ชาวญี่ปุ่น จิโระ อิชิมารุ (Jiro Ishimaru) ซึ่งเป็นผู้ที่สามารถจัดสร้างเครือข่าย ‘นักข่าวพลเมือง’ อย่างเร้นลับสุดยอดในหมู่ผู้คนชาวเกาหลีเหนือได้ (เขาไม่เคยอธิบายถึงวิธีการ) ระบุว่าเนื่องจากสภาวการณ์ขาดแคลนอาหารรุนแรง ทหารประจำการส่วนใหญ่อยู่ในสภาพอ่อนเปลี้ยและไม่น่ามีพลังสู้รบมากมายนัก เมื่อเดือนสิงหาคมนี้เขาให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ Guardian ของอังกฤษ “แหล่งข่าวหนึ่งบอกผมว่ามีการพูดถึงการเตรียมทำสงครามกับสหรัฐ แต่ทหารเกาหลีเหนือส่วนมากมีร่างกายผ่ายผอม และไม่พร้อมสำหรับการรบกะใครเลย”
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญทุกฝ่ายประเมินว่าหากการรบเกิดขึ้นจริง ในระยะแรกกองกำลังส่วนหน้าของเกาหลีเหนือน่าจะก่อความเสียหายขนาดหนักให้แก่ทหารอเมริกันและทหารเกาหลีใต้ได้มากโขทีเดียว ซึ่งคาดกันว่า หน่วยรบพิเศษที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างหนักจำนวนประมาณ 180,000 นายจะต้องเร่งเข้าทำลายส่วนสำคัญทางยุทธศาสตร์ของเกาหลีใต้เป็นอันดับแรก
ขณะที่เกาหลีเหนือเร่งพัฒนาโครงการขีปนาวุธ รวมทั้งอาวุธนิวเคลียร์และอาวุธชีวภาพ ให้ก้าวไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับจัดตั้งปืนใหญ่จำนวนนับหลายพันกระบอกให้เล็งเป้าหมายบริเวณกรุงโซลเมืองหลวงของเกาหลีใต้ไว้อย่างแน่วแน่ หน่วยทหารประจำการขนาดมโหฬารพันลึกไม่เหมือนใครของเกาหลีเหนือเช่นนี้ น่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งอันทรงความสำคัญที่นักวิเคราะห์ทั้งหลายยังไม่เคยชี้บ่งว่า อเมริกาควรลงมือทำสงครามกับเกาหลีเหนือให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไปข้างหนึ่ง
แม้ว่าผู้นำในกรุงเปียงยางจะโวยวายท้าทายและขู่เข็ญด้วยเสียงอันดังขนาดไหน หรือถึงขั้นที่ประณามหยามหมิ่นประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐว่า ‘ไอ้เฒ่าเลอะเลือน’ (dotard) แล้วก็ตาม