หาก EF หรือ Executive Function รวมความถึงความสามารถในการกำหนดเป้าหมายด้วย ถ้าเช่นนั้นผู้ใหญ่หลายคนดูเหมือนจะสับสนกับคำว่าเป้าหมายของงาน
ปัญหาของรัฐรวมศูนย์และระบบราชการคือ พอทำงานด้วยไปนานๆ เราก็จะงงว่าเราตื่นเช้ามาทำอะไร
เริ่มต้นด้วยงานที่ผมรู้จักดีคืองานของหมอ
ตื่นเช้ามาหมอมีภารกิจอะไร คำตอบคือรักษาผู้ป่วยให้หาย เป็นโชคดีของหมอที่โดยลักษณะของงานที่ทำอยู่ ช่วยให้ตอบคำถามนี้ได้ไม่ยาก ถ้าผู้ป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หายก็ช่วยทำให้เขาดีขึ้นบ้าง และถ้าสมมุติว่าเขาต้องตายแน่ก็ช่วยให้เขาตายอย่างดีที่สุด จะเห็นว่าคำตอบไม่ยากมากนัก
อีกงานที่ผมรู้จักดีคืองานพยาบาล มิใช่เพราะคนข้างๆ ที่อยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิตเป็นพยาบาล แต่เพราะตนเองเคยนอนป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ในโรงพยาบาลหลายเดือน ตื่นเช้ามาพยาบาลมีภารกิจอะไร คำตอบคือไปทำทุกอย่างที่ช่วยให้คุณหมอทำงานได้ และช่วยเหลือผู้ป่วยทุกด้านในส่วนที่คุณหมอทำไม่ได้
ตรงนี้ขออธิบายเพิ่มเติม
ในชีวิตจริงๆ หมอทำงานไม่ได้ถ้าไม่มีผู้ดูแลระบบหรือผู้ช่วยที่ดี ผู้ดูแลระบบในหอผู้ป่วย ที่ห้องผู้ป่วยนอก และเป็นผู้ช่วยในงานหัตถการ หรือแม้กระทั่งงานเอกสารส่วนใหญ่มักจะเป็นหน้าที่ของพยาบาล ถ้าคุณพยาบาลไม่ทำหน้าที่นี้แล้วไปทำหน้าที่อื่น คุณหมอจะลำบากมาก
ยิ่งไปกว่านั้น ระบบงานบริการเกือบทั้งหมดอยู่ในมือพยาบาล ถ้าพยาบาลดูแลระบบไม่ดีงานจะติดขัดมาก เช่น การรับส่งผู้ป่วยติดขัด ความสะอาดของทุกสิ่งทุกอย่างลดลง แม้แต่สภาพจิตใจของผู้ป่วยก็ทรุดลงด้วย เป็นความจริงที่ว่าพยาบาลทำเรื่องทั้งหมดนี้
หมอที่ได้พยาบาลเก่งๆ เป็นทีมทำงานจะเป็นหมอที่โชคดีมาก
หมอและพยาบาลตอบคำถามว่าตื่นเช้ามาจะไปไหนง่ายด้วย คำตอบคือไปโรงพยาบาล ความชัดเจนของเรื่องนี้คือเช้าวันไหนท่านเบี้ยวไม่ไปโรงพยาบาล วันนั้นงานเละ
ผมรู้ดีเรื่องงานของจิตแพทย์ด้วย จิตแพทย์มีภารกิจอะไร
คำตอบคือรักษาผู้ป่วยให้หาย แต่ผู้ป่วยจิตเวชส่วนใหญ่ไม่หาย ซึ่งความข้อนี้ไม่เป็นความจริง
ความจริงคือผู้ป่วยจิตเวชส่วนใหญ่หายได้ เพียงแต่ว่าอาจจะหยุดยามิได้ คล้ายๆ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังทุกชนิด เช่น โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ โรคปอด ฯลฯ ที่จะไม่มีวันหายแต่ดีขึ้นได้แน่นอน อาจจะหายดีได้ด้วย เพียงแต่หยุดยามิได้ ดังนั้นจิตแพทย์มีภารกิจเหมือนหมอสาขาอื่นคือ ตื่นเช้ามีหน้าที่รักษาผู้ป่วยให้หาย แม้แต่ผู้ป่วยโรคจิตเภทหรือโรคไบโพลาร์ซึ่งค่อนข้างยากต่อการรักษา ก็เป็นภารกิจของเราที่ต้องรักษาให้หาย แม้ว่าจะยากแต่ก็เป็นหน้าที่ของเราต้องทำให้เขาหาย
ถ้าไม่ใช่เราทำแล้วใครจะทำ นี่คือภารกิจ ภารกิจมีความหมายว่านี่คืองานของเรา และมีแต่เราเท่านั้นที่ทำได้
คราวนี้จะยกตัวอย่างงานที่ผมรู้ไม่จริง เพราะมิได้ทำเอง
ครูตื่นเช้ามีภารกิจทำอะไร รู้สึกไหมครับว่าคำตอบเริ่มยากกว่าพวกหมอ
สมมุติตอบว่าไปสอนหนังสือ คำถามต่อไปคือสอนให้เป็นอะไร จะพบว่าคำตอบยากกว่าหมอมาก คุณครูตื่นนอนตอนเช้าไปสอนหนังสือที่โรงเรียน สอนเพื่อให้เด็กๆ เป็นอย่างไร ให้เรียนเก่ง ให้เป็นเด็กดี ให้โตขึ้นมีงานทำ
จะเอาคำตอบไหนกันแน่ น่าเห็นใจนะครับ อย่างไรก็ตามจำเป็นมากที่เราต้องตอบคำถามนี้ให้ได้ ตื่นเช้ามาจะไปทำอาชีพของตัวนั้นใช่ แต่ทำเพื่ออะไร
ขออีกตัวอย่างหนึ่ง ซึ่งผมรู้ไม่จริงอีกเช่นกัน เพราะมิได้ทำเอง
ข้าราชการป่าไม้ตื่นเช้ามาไปที่ทำงานไปทำอะไร ภารกิจของเจ้าหน้าที่ป่าไม้คืออะไร หรือเราอาจจะถามใหม่ กรมป่าไม้มีภารกิจอะไร จะเห็นว่ายากมาก ไม่นับว่าท่านตื่นเช้ามาไปไหน ไปออฟฟิศหรือเข้าไปในป่า ในแง่นี้หมอและครูตอบง่ายกว่ามาก หมอไปโรงพยาบาล ครูไปโรงเรียน
สมมุติว่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้ตื่นเช้ามา มีหน้าที่ไปรักษาป่าให้อุดมสมบูรณ์ ถ้าเช่นนั้นก็น่าแปลกใจที่ป่าไม้เมืองไทยร่อยหรอลงมากใน 50 ปีที่ผ่านมา
สมมุติว่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้ตื่นเช้ามา มีหน้าที่ไปทำให้ป่าไม้เป็นที่อยู่ร่วมกันของคนและสัตว์ป่า ถ้าเช่นนั้นก็น่าแปลกใจที่เราได้ข่าวชาวบ้านถูกจับในเขตป่าอยู่เรื่อยๆ
เขียนมานี่เพราะไม่รู้จริงๆ ครับ และเห็นใจจริงๆ ว่าตอบยากมาก ภารกิจของท่านคืออะไร
ลองดูตัวอย่างที่น่าจะง่ายขึ้นนิดหน่อย หน่อยเดียว
พ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวตื่นเช้ามีภารกิจอะไร สมมุติตอบว่าเพื่อขายก๋วยเตี๋ยวให้ได้มากที่สุด วิธีทำงานจะเป็นแบบหนึ่ง สมมุติตอบว่าเพื่อทำก๋วยเตี๋ยวให้อร่อยที่สุด วิธีทำงานจะกลายเป็นอีกแบบหนึ่งทันที แต่จะขายได้มากที่สุดหรือเปล่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ประเด็นคือภารกิจเป็นตัวกำหนดวิธีทำงาน เราจะกำหนดภารกิจถูกหรือผิดเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ภารกิจจะกำหนดวิธีทำงานแน่ๆ
กลับมาที่งานที่ผมรู้ดีอีกงานหนึ่งคือ งานเขียนหนังสือ
ในสถานะของคนที่เขียนหนังสือขาย ภารกิจคืออะไร ถ้าผมกำหนดภารกิจว่าอยากให้ความรู้คนอ่าน ผมจะเขียนแบบหนึ่ง ถ้าผมกำหนดภารกิจว่าอยากเปลี่ยนแปลงสังคม ผมจะเขียนอีกแบบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
มีวันหนึ่งผมกำหนดภารกิจว่า ต้องส่งงานตรงตามกำหนดเวลาทุกครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าผมเขียนหนังสือได้ดีขึ้นมาก และเร็วขึ้นมาก ไม่นับว่าเขียนได้ปริมาณมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นคือมีงานเข้ามาให้ทำมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
เขียนมาตั้งแต่แรกคงสังเกตได้ว่าผมมักเริ่มต้นด้วยคำว่า “ตื่นเช้ามา” เพราะหมายความตามนั้นจริงๆ
กลับไปที่งานของหมอ ตื่นเช้ามาเราต้องไปโรงพยาบาล ป่วยเจียนตายก็ต้องไป อยู่เวรมาแล้ว 24 ชั่วโมงก็ต้องไป เราไม่มีคำถามกับเรื่องพวกนี้เลย หมอโชคดีตรงนี้คือไม่มีอะไรให้คิดมากนักว่า ตื่นเช้ามาจะไปไหนและไปทำอะไร เพราะคำตอบชัดมากคือไปโรงพยาบาล ไปรักษาผู้ป่วย และรักษาผู้ป่วยให้หาย
กลับไปที่คุณครูอีกที คุณครูตื่นเช้ามาต้องไปโรงเรียนแน่ๆ คุณหมอหายตัวผู้ป่วยระส่ำระสายอย่างไร คุณครูหายตัวเด็กๆ ก็ระส่ำระสายพอกัน นี่เป็นอาชีพสองอย่างที่ดีมากเพราะเราเป็นคนสำคัญ
พูดง่ายๆ ว่า เราห้ามหายตัวเพราะจะมีคนเดือดร้อนจำนวนมากมาย ผมรู้สึกเสมอว่าโชคดีที่มาเป็นหมอเพราะเรื่องนี้
แต่แล้ววันหนึ่ง ตอนอายุเท่าไรก็จำไม่ได้ มีอยู่ช่วงหนึ่งของชีวิตที่ผมกำหนดภารกิจตอนเช้าเสียใหม่ว่า ไปตรวจผู้ป่วยให้เร็วที่สุดเพื่อทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากมายหายตัวไปจากโอพีดีเร็วที่สุด วิธีทำงานก็จะเปลี่ยนไปในทันทีอีกเหมือนกัน เหตุที่กำหนดภารกิจเช่นนั้น เพราะว่าในที่สุดตนเองมีผู้ป่วยต้องตรวจวันละมากกว่า 100 คน การตรวจผู้ป่วยจิตเวช 100 คนให้หมดในหนึ่งวันต้องการวิธีทำงานแบบใหม่ วิธีทำงานแบบใหม่นั้นมีคุณภาพหรือไม่จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง สมมุติว่าพบอุปสรรคต่อภารกิจนี้ ตนเองก็จะกำจัดหรือจัดการอุปสรรคนั้นให้หายตัวไปเช่นกัน
ภารกิจผิดหรือเปล่าคุยกันได้ ประเด็นคือภารกิจก็เป็นเรื่องที่เราจำเป็นต้องทวนสอบเป็นระยะๆ ที่สำคัญคือภารกิจมิใช่เรื่องเล่นๆ ที่ควรทำเป็นเล่น มิเช่นนั้นการทำงานก็จะไม่เป็นโล้เป็นพายจริงๆ
ปัญหาของราชการไทยและรัฐรวมศูนย์คือ เมื่อไรที่เราเข้าสู่เส้นทางผู้บริหาร เรามักหลงลืมที่จะกำหนดภารกิจที่ตรงประเด็น ส่วนใหญ่มักจะกำหนดภารกิจเพื่อเก้าอี้ตัวต่อไปที่ใหญ่ขึ้น เลื่อนระดับไปสู่จุดที่สูงขึ้น เข้าสู่วงกลมชั้นในของผู้บริหารระดับสูงที่มี privilege ยิ่งขึ้น มีคอนเน็คชั่นมากขึ้น เพื่อให้ได้สิทธิพิเศษมากยิ่งขึ้น แล้วเราจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ภารกิจนั้นสำเร็จ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
เพราะอะไร เพราะรัฐรวมศูนย์จะดูดทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่ศูนย์กลางและสูงขึ้นไปเสมอ
งานง่ายๆ เช่น การบริการประชาชน ที่ควรกำหนดภารกิจได้ง่ายๆ จึงทำไม่ได้สักที