หากมองจากยอดสุดของลานพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหง วันนี้ไม่ใช่วันธรรมดาเฉกเช่นทุกวัน ที่มักจะมีคนมาวิ่งรอบลาน จุดธูปขอพร แต่วันนี้นักศึกษารามคำแหงและประชาชนต่างมารวมตัวกันที่ลานด้านหน้า เพื่อแสดงออกถึงความไม่พอใจที่มีต่อกระบวนการยุติธรรม และการเมืองไทยในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา หรืออาจนานกว่านั้น
แผ่นป้ายที่พวกเขาถือมา ข้อความที่พวกเขาเขียนลงบนผืนผ้า ล้วนเผยสิ่งที่อยู่ในใจ ผ่านท่าทีและอารมณ์ซึ่งเป็นจริตเฉพาะตัว หากแต่มีเนื้อหาสาระไปในทิศทางเดียวกัน คือความไม่พอใจต่อรัฐบาลชุดนี้ ไม่พอใจโครงสร้างทางสังคมและการเมืองของประเทศนี้
“ทุกคนไม่ต้องกลัวนะคะ การชุมนุมคือสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนค่ะ” นักศึกษาหญิงบนเวทีกล่าวกับผู้ชุมนุม พวกเขาร้องเฮเป็นการตอบรับ
รามคำแหงมีคนหลากหลาย มีนักศึกษามุสลิม นักศึกษาพุทธ และอาจรวมถึงนักศึกษาที่ไม่นับถือศาสนาใดเลย เธอกล่าวอีกว่า “รามคำแหงไม่ได้มีแต่กลุ่มคนที่เคยทำลายประชาธิปไตย รามคำแหงคือคนรุ่นใหม่ค่ะ”
เธอช่วงชิงการนิยามตัวตนของรามคำแหงเสียใหม่
นักศึกษาตัวแทนของกลุ่มลูกพ่อขุนโค่นล้มเผด็จการเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นไปอ่านแถลงการณ์ ใจความดังนี้
“การยึดอำนาจรัฐประหารในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 กระทั่งมีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 เป็นเวลา 5 ปี ตอกย้ำชัดเจนว่าการรัฐประหาร ไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศได้ อำนาจเบ็ดเสร็จผ่านกระบอกปืนนอกจากจะไม่ช่วยให้ประเทศพัฒนาในระยะยาวแล้ว ยังเป็นการฉุดรั้งประชาธิปไตยด้วย รัฐประหารไม่ช่วยให้เกิดการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ แต่เป็นการเปิดช่องทางให้กลุ่มทุน นายทหาร เข้ามามีส่วนในการกอบโกยผลประโยชน์มหาศาล
“รัฐประหาร ได้ลิดรอนสิทธิ เสรีภาพ ประชาชน มีการจับกุมนักศึกษาประชาชนที่เห็นต่างในหลายกรณี รัฐประหารสืบทอดอำนาจผ่านกลไกรัฐธรรมนูญ 2560 มีบทเฉพาะกาลให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกของคณะรัฐประหารมีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรี รัฐประหารก่อให้เกิดความบิดเบี้ยวของกระบวนการยุติธรรม เช่น กรณีนาฬิกายืมเพื่อนไม่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สิน หรือกระทั่งล่าสุดที่มีการสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ เพราะการกู้เงิน
“แม้วันนี้ประเทศจะมีการเลือกตั้งเสมือนว่าเข้าสู่กระบวนการทางประชาธิปไตย แต่ผลพวงของการรัฐประหาร สืบทอดอำนาจผ่านรัฐธรรมนูญ ได้รัฐบาลที่ไม่ตรงกับเจตจำนงของประชาชน ไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชน ทำให้การบริหารประเทศไม่ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างอารยะประเทศ ไม่มีวิสัยทัศน์ในการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุลการทำงานตามกลไกต่างๆ ได้อย่างแท้จริง รัฐประหารได้แต่งตั้งคนของตนเองเข้าไปทำหน้าที่ในองค์กรต่างๆ ขาดการตรวจสอบอย่างยุติธรรม และยังได้ใช้องค์กรต่างๆ กลั่นแกล้งผู้ที่เห็นต่างอีกด้วย
“นักศึกษา ประชาชน ได้ติดตาม เฝ้ามองการทำงานของคณะรัฐประหารมาอย่างต่อเนื่อง ถึงเวลาแล้วที่นักศึกษา ประชาชน ไม่ควรนิ่งเฉยต่อสภาพที่ดำรงอยู่ ต้องลุกขึ้นมาทวงถามรัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่ ต้องร่วมกันเสนอทางออกให้ประเทศ จึงขอเรียกร้อง ดังนี้
1. ให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยมีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มีการรับฟังความคิดเห็นอย่างอิสระ และให้มีการทำประชามติก่อนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ
2. ให้นายกรัฐมนตรีลาออก เปิดทางให้รัฐสภาเลือกนายกรัฐมนตรีที่จะนำพาประเทศข้ามพ้นวิกฤติ มีความเชื่อมั่น และมีศักยภาพ ในการแก้ปัญหาปากท้องประชาชนได้
3. ให้ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระที่ได้รับการแต่งตั้งในสมัยรัฐประหารลาออก และให้มีการสรรหาบุคคลใหม่เข้าไปแทนที่ เพื่อที่จะสร้างความเชื่อมั่นต่อองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ”
แถลงการณ์ฉบับนี้ลงท้ายว่า
นี่ไม่ใช่การสั่นกระดิ่งร้องทุกข์ต่อพ่อขุน แต่นี่คือการสั่นกระดิ่งให้รู้ว่ารามคำแหงจะไม่นิ่งอีกต่อไป
หลังจากร้องเพลงชาติจบ นักศึกษาหญิงกล่าวเป็นต้นเสียงว่า “เผด็จการ” ผู้ร่วมชุมนุมร้องรับว่า “จงพินาศ” “ประชาธิปไตย” “จงเจริญ” และทั้งหมดก็เหยียดแขนขึ้นฟ้า – ชูสามนิ้ว
“แล้วพบกันใหม่ที่ราชดำเนิน” เธอกล่าวผ่านไมโครโฟน