ภาพประกอบ: Shhhh
โอบาสิ ชอว์ (Obasi Shaw) นักศึกษาปริญญาตรีปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ใช้เวลาหนึ่งปีในการแต่งอัลบั้มเพลงแร็พ ‘Liminal Minds’ ในฐานะวิทยานิพนธ์ สุดท้ายธีสิสของเขาคว้ารางวัลรองอันดับ 1 ของภาควิชา (Summa Cum Laude) มาครองพร้อมดีกรีบัณฑิตเกียรตินิยม
ถือเป็นวิทยานิพนธ์เพลงแร็พชิ้นแรกในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
แต่ละเพลงของชอว์ จะพูดถึงมุมมองที่ต่างกันของตัวละครในแต่ละบทเพลง ส่วนรูปแบบเนื้อเพลงนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากนักประพันธ์ชื่อดังแห่งศตวรรษที่ 14 เจฟฟรีย์ ชอเซอร์ (Geoffrey Chaucer) บิดาแห่งกวีนิพนธ์ของอังกฤษและผู้เขียน ‘นิยายแคนเทอร์เบอรี’ (Canterbury Tales) – บทกวี เกี่ยวกับการเดินทางของบุคคลที่แตกต่างกันไปยังเมืองแคนเทอร์เบอรี โดยชอเซอร์ถือเป็นกวีคนแรกๆ ที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสร้างสรรค์งานเมื่อ 600 ปีก่อน และเขียนด้วยภาษาที่ธรรมดา เข้าใจง่ายเพื่อเล่าเรื่องของแต่ละคนที่ผ่านพบ
โดยแต่ละบทเพลงของชอว์จะมุ่งเน้นไปที่ ลักษณะเฉพาะต่างๆ ของคนผิวสีในสหรัฐอเมริกา
หนุ่มน้อยวัย 20 ปีคนนี้เกิดที่ Stone Mountain รัฐจอร์เจีย ซึ่งอยู่แถบชานเมืองของแอตแลนตา กล่าวว่า ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าฮาร์วาร์ดจะยอมรับงานของเขา โดยทั่วไป นักศึกษาปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยไม่จำเป็นต้องส่งวิทยานิพนธ์ก็ได้ แต่สำหรับคนที่ต้องการเกียรตินิยม วิทยานิพนธ์คือสิ่งจำเป็น และเพราะต้องการแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ ชอว์จึงทำมากกว่าการเขียนเรียงความหรือรวบรวมบทกวี
คนจุดประกายเรื่องนี้คือแม่ของชอว์ หลังสังเกตเห็นว่าลูกชายเขียนเพลงแร็พจำนวนมากและได้ไปแสดงสดในงาน Open Mic Nights ของมหาวิทยาลัย หากบุคคลสำคัญที่เปลี่ยนความคิดของชอว์ต่อเพลงแร็พคือ เคนดริค ลามาร์ (Kendrick Lamar) แร็พเพอร์ชื่อดัง ศิลปินเบอร์แรกๆ ที่ปรับแนวเพลงแร็พไปสู่การวิจารณ์วรรณกรรม
ก่อนวิทยานิพนธ์แร็พๆ ของชอว์จะเสร็จสิ้น ทั้งนี้อัลบั้ม To Pimp A Butterfly ของ เคนดริค ลามาร์ และ Illmatic ของนาส (Nas) แร็พเพอร์อเมริกันอีกคน เคยถูกบรรจุไว้ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในฐานะตำราและหลักไมล์สำคัญทางวัฒนธรรม
‘Declaration of Independence’ คือแทร็คแรกของชอว์ในอัลบั้ม เขาแต่งเนื้อไว้ว่า
“ดูเถิด สิ่งที่เราแบกไว้มีอยู่ 3 ชั้น คือ ร่างกายและจิตใจ ที่ครอบครองวิญญาณอันอิสระเอาไว้ และตัวเราคือหลักฐาน หยุดการแสดงออกอันนอกลู่นอกทางและกำจัดความชั่วร้ายออกไป เราทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน”
ชอว์ยังได้ใช้ข้อเขียนบางส่วนของ เจมส์ บอลดิน (James Balwdin) (กวีและนักเขียนชาวสหรัฐที่หยิบเอาประเด็นเหยียดสีผิว คุกคามทางเพศ ชนชั้นและความเหลื่อมล้ำในสังคมอเมริกันมาเป็นแก่นสำคัญในการสร้างสรรค์งาน) โดยชอว์นำมาใช้ในเนื้อเพลงที่การพูดถึงทาสและการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจในปัจจุบัน
จอช เบลล์ (Josh Bell) ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของชอว์ เผยว่า เขารู้สึกประทับใจมากกับความสร้างสรรค์ของลูกศิษย์ เบลล์ถึงกับยกย่องว่ามันเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างงานวิชาการและการสรรค์สร้างงานศิลปะ
และหลังจากจบการศึกษา ชอว์จะได้เข้าทำงานในฐานะวิศวกรซอฟท์แวร์ของ Google
ใครอยากฟังวิทยานิพนธ์ของว่าที่วิศวกรคนนี้ คลิกได้ที่ https://soundcloud.com/obasishaw
ที่มา: independent.co.uk