15 ธันวาคม 2020 — ครบรอบ 130 ปี วันสังหาร ซิตติง บุล ผู้นำชนพื้นเมืองอเมริกัน ชาติพันธุ์ ซู (Sioux) ผู้มีชื่อเสียง
หลังจากหลายปีแห่งการต่อต้านความพยายามของชนผิวขาวที่จะทำลายล้างตัวเขาและชาวซูให้ได้สำเร็จ ผู้นำทางจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และหัวหน้ากลุ่มชาวเผ่าซูผู้ยิ่งใหญ่ ซิตติง บุล ถูกสังหารโหดไปในเหตุการณ์พยายามจับกุมโดยตำรวจอินเดียนที่เขตสงวน Standing Rock ในมลรัฐเซาธ์ดาโกตา เมื่อ 15 ธันวาคม 1890
ซิตติง บุล (Sitting Bull หรือ Tatanka Iyotake) เป็นชาวอเมริกันพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งแห่งศตวรรษที่ 19 เป็นศัตรูระดับนำของชาวอเมริกันผิวขาวมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาเชื่อว่าการติดต่อเกี่ยวข้องกับคนที่ไม่ใช่พื้นเมืองอินเดียนอย่างแน่นแฟ้นจะทำลายความแข็งแกร่งและอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ซู และจะนำไปสู่ความเสื่อมถอยในที่สุด
แต่กลยุทธ์ของ ซิตติง บุล โดยทั่วไปเป็นการป้องกันมากกว่าใช้ความก้าวร้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาโตขึ้นและกลายเป็นผู้นำกลุ่ม โดยพื้นฐาน ซิตติง บุล และบริวารชนเผ่าปรารถนาที่จะถูกปล่อยให้อยู่ตามลำพังเพื่อดำเนินชีวิตตามวิถีดั้งเดิม แต่ผู้ตั้งถิ่นฐานผิวขาวมีแต่ความสนใจและกระหายเข้ายึดครองดินแดนของชาวเผ่าเพิ่มมากขึ้น และผลจากการบีบคั้นชาวพื้นเมืองอินเดียนให้อยู่ในเขตที่ควบคุมโดยรัฐบาลนำไปสู่ความขัดแย้ง การปฏิเสธไม่ทำตามคำสั่งให้นำคนของเขาไปยังเขตสงวนนำไปสู่การสู้รบในสมรภูมิ ลิตเติล บิกฮอร์น (Little Bighorn) อันโด่งดัง ซึ่งนักรบอินเดียน ชาวซูกับไชยแอนน์ย่อยสลายกำลังพลส่วนหนึ่งแห่งกรมทหารม้าที่ 5 ภายใต้การนำของ นายพันโทจอร์จ อาร์มสตรอง คัสเตอร์ (George Armstrong Custer) ลงจนหมดสิ้น
หลังจากสมรภูมิ ลิตเติล บิกฮอร์น หัวหน้า ซิตติง บุล พาลูกน้องหนีไปอยู่แคนาดาเป็นเวลา 4 ปี ต้องเผชิญกับความอดอยาก ในที่สุดเขากลับมายอมจำนน และได้รับมอบหมายให้เข้าอยู่ในพื้นที่ Standing Rock แห่งรัฐเซาธ์ดาโกตา เขายังคงรักษาอำนาจบารมีไว้ได้แม้สำนักงานกิจการอินเดียนพยายามบ่อนทำลายอิทธิพลของเขา และเมื่อขบวนการฟื้นฟูจิตวิญญาณที่เรียกว่า การเต้นปีศาจ (Ghost Dance) แพร่ขยายไปในหมู่ชาวซู เจ้าหน้าที่คนขาวเกรงว่าอาจนำไปสู่การลุกฮือของชาวอินเดียน และเชื่อว่า ซิตติง บุล ออกแรงผลักดันอยู่เบื้องหลังความเชื่อเรื่องเต้นปีศาจนี้ ตัวแทนจึงส่งตำรวจอินเดียนไปจับกุมหัวหน้าที่กระท่อมริมแม่น้ำแกรนด์
ตำรวจอินเดียนพยายามเข้าจับกุม ซิตติง บุล แต่ฝูงชนมารวมตัวกันแล้วนักรบหนุ่มหัวร้อนสองสามคนชักอาวุธออกข่มขู่ตำรวจอินเดียน คนหนึ่งยิงปืนใส่ตำรวจอินเดียนนายหนึ่ง พวกนั้นตอบโต้ด้วยการยิงซิตติงที่หน้าอกและศีรษะ หัวหน้าใหญ่ถูกสังหารทันที ก่อนที่การดวลปืนจะสิ้นสุดลงมีอินเดียนอีก 12 คนเสียชีวิตและบาดเจ็บอีก 3 คน
ศพของชายผู้ต่อต้านการรุกล้ำของคนผิวขาวและวัฒนธรรมของพวกเขามาเกือบสามทศวรรษถูกฝังอยู่ในมุมห่างไกลของสุสานที่ ป้อมเยตส์ (Fort Yates) อีก 2 สัปดาห์ต่อมาทหารของกองทัพสหรัฐก็ได้ลงมือปราบปรามขบวนการเต้นปีศาจลงอย่างไร้ความปรานีด้วยการสังหารหมู่กลุ่มชาวพื้นเมืองซูซึ่งประกอบด้วยชายผู้ไร้อาวุธ คนชรา ผู้หญิง และเด็กน้อย กว่า 300 คน ลงอย่างเหี้ยมโหด ที่บริเวณใกล้กับลำธาร วูนเด็ด นี (Wounded Knee)
ทางการอเมริกันในตอนนั้นพยายามขนานนามเหตุการณ์ว่าเป็นสมรภูมิรบครั้งสุดท้ายในสงครามอินเดียน (Indian Wars) อันยาวนานของสหรัฐอเมริกา แต่นักประวัติศาสตร์จำนวนหนึ่งแย้งว่า นั่นเป็นการสังหารหมู่ (massacre) มากกว่าเป็นการสู้รบในสมรภูมิ