วันที่ 8 พฤษภาคม 2565 ชายชราผมยาวแต่งกายคล้ายฤาษี ถูกทีม ‘หมอปลา’ กับนายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนา เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ บุกจับตัวขณะกำลังนั่งบนแคร่ไม้รายล้อมไปด้วยเหล่าสาวกในพื้นที่อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ
ทราบชื่อภายหลังว่า นายทวี หนันลา หรือ ‘โจเซฟ’ อ้างตัวเป็น ‘พระบิดา’ ผู้ยิ่งใหญ่กว่าศาสดาและพระเจ้าองค์อื่นใดในโลก ร่างกายของเขาเปรียบเสมือนโอสถทิพย์ รักษาโรคได้สารพัดชนิด แม้กระทั่งของเสียที่ขับออกมา เช่น ปัสสาวะ อุจจาระ เสมหะ ขี้ไคล โดยจะขุดบ่อดินขนาดเล็กไว้รองรับ ‘โอสถ’ ของพระบิดา พร้อมช้อนเตรียมไว้ให้ผู้มีจิตศรัทธาตักไปดื่มกินและทาหน้าทาตัว
หลังการตรวจค้นยังพบศพ 11 ศพ บรรจุอยู่ในโลง มีท่อต่อออกมาเพื่อรองรับน้ำเหลืองจากศพ และ ‘บ่อน้ำทิพย์ประกาษิต’ โอ่งดองยาสมุนไพรนับ 100 โอ่ง ภายในมีทั้งซากสัตว์ กระดูกสัตว์ เศษพืชผัก เช่น ลูกมะพร้าว มังคุด เส้นขนคล้ายผมมนุษย์ และก้อนหิน นอกจากนี้เหล่าสาวกแทบทุกคนยังไม่สวมหน้ากากอนามัย เพราะเชื่อว่าอาณาบริเวณของสำนักปฏิบัติธรรมนี้ได้รับการคุ้มครองจากพระบิดา เชื้อโรคร้ายอย่างโควิด-19 ไม่อาจย่างกรายเข้ามาได้
การเปิดสำนักรักษาโรคด้วยวิธีการแปลกประหลาดและไม่ถูกสุขอนามัยเช่นนี้ ขัดต่อความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่ และอาจทำร้ายสุขภาพของผู้เข้ารับการรักษา พระบิดาในฐานะเจ้าสำนักจึงต้องถูกคุมตัวไปสอบสวนเพื่อหาหลักฐานในการดำเนินคดีต่อไป
หนึ่งในลูกศิษย์ให้สัมภาษณ์ว่า เขาป่วยหนัก แต่เข้ารักษากับแพทย์ปัจจุบันแล้วไม่หาย จนเกือบสิ้นเนื้อประดาตัว เมื่อมารักษาในสำนักของพระบิดา โรคร้ายกลับหายสนิท
คำบอกเล่าดังกล่าวเป็นเพียงส่วนเสี้ยวหนึ่งของเรื่องราวที่ลัทธิความเชื่อประหลาดต่างๆ ได้เสนอตัวเป็นการแพทย์ทางเลือกแก่ผู้ป่วยในยามยาก และหากมองย้อนอดีต จะพบว่าความเชื่อแปลกๆ ในการรักษาโรคซึ่งขัดกับความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่ไม่เคยห่างหายไปจากสังคมไทย
ลองมาสำรวจกันว่า ภายใต้ Multiverse of Madness แบบไทยๆ ซุกซ่อนหมอแปลกๆ ที่รักษาโรคต่างจากหมอในโรงพยาบาลทั่วไปกี่กรณีแล้วบ้าง
ปัสสาวะรักษาโรค
แม้จะไม่สุดโต่งอย่างเหล่าสาวกพระบิดา แต่ยังมีคนอีกกลุ่มที่เชื่อมั่นในการรักษาโรคด้วยการดื่มปัสสาวะ ได้แก่ กลุ่มแพทย์วิถีธรรม นำโดย ‘หมอเขียว’ หรือ ใจเพชร กล้าจน ซึ่งนำเสนอการรักษาโรคแบบ ‘ปัสสาวะบำบัด’ (Urine Therapy) โดยอ้างว่าพระพุทธเจ้าเคยอนุญาตเอาไว้ และพระสายธุดงค์ในไทยหลายคนก็ปฏิบัติกันมานาน
โจน จันได หนึ่งในผู้นิยมดื่มปัสสาวะ ให้คำชี้แนะวิธีการดื่มแบบ 101 สำหรับมือใหม่ไว้ว่า ควรเริ่มดื่มทีละน้อย ผสมน้ำเปล่าให้เจือจาง เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัว เริ่มจาก 1 ใน 4 ของแก้ว แล้วค่อยเพิ่มเป็นครึ่งแก้ว ดื่มวันละ 1 ครั้ง จะช่วยให้ร่างกายปรับสมดุล ดื่มวันละ 2 ครั้ง บำรุงรักษาอวัยวะ และหากดื่มวันละ 3 ครั้ง อาการป่วยสารพัดจะหายเป็นปลิดทิ้ง นอกจากนี้ ปัสสาวะยังใช้เป็นยาทาแผลสดเพื่อฆ่าเชื้อ ใช้หยอดหูแก้อาการหูน้ำหนวก และใช้อมในปาก เพื่อรักษาอาการปวดฟัน เจ็บคอ ไซนัส และหวัดรุนแรงได้ด้วย
กลุ่ม ‘นักดื่ม’ เชื่อว่า น้ำปัสสาวะเปี่ยมด้วยแร่ธาตุ วิตามิน ฮอร์โมน เอนไซม์ โปรตีน และสารที่มีประโยชน์อีกมาก สรรพคุณมีตั้งแต่ช่วยละลายลิ่มเลือด รักษาภาวะเส้นเลือดอุดตัน ควบคุมการอักเสบ กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ต้านทานโรคและมะเร็งร้าย โดยเฉพาะน้ำปัสสาวะของเด็กจะยิ่งมีแร่ธาตุครบครัน
นอกจากการดื่มฉี่แล้ว กลุ่มแพทย์วิถีธรรมยังมีหลักการรักษาโรคด้วยการปรับสมดุลการกิน เช่น ใช้สมุนไพรฤทธิ์ร้อน (ขมิ้น ขิง ข่า ตะไคร้) และสมุนไพรฤทธิ์เย็น (ใบย่านาง ใบเตย) งดเว้นการรับประทานเนื้อสัตว์ เพราะจะทำให้เป็นมะเร็ง หมอเขียวยังฝากถึงชาวพุทธว่า “คุณบอกว่าคุณมีความเมตตากับผู้คน กับสัตว์เพื่อนร่วมโลก แต่ปากคุณยังเคี้ยวกลืนชีวิตของผู้อื่นอยู่ คุณมีเมตตาจริงหรือเปล่า”
ถูกต้องแล้ว ยารักษา ‘เม็ดเลิศ’ ของหมอเขียวคือ ธรรมะ นั่นเอง หากคนเราละวางกิเลส ละบาป รักษาศีล ฯลฯ จะทำให้หัวใจไร้ทุกข์ ไร้กังวล จนส่งผลให้อายุยืน โรคภัยต่างๆ จะไม่เบียดเบียน แม้กระทั่งว่าเชื้อโควิดลงปอดก็จะหายได้โดยเร็ว แต่ไม่มีอะไรฮือฮาเท่าการดื่มฉี่แล้วล่ะ
ผู้ป่วยเชิญรับยาที่ช่อง ภูมิปัญญาปัสสาวะบำบัด ค่ะ!
ป้าเช็งและอาณาจักรน้ำหมักชีวภาพ
ในยุคที่ทีวีดาวเทียมกำลังบูม คงไม่มีใครไม่รู้จัก ‘ป้าเช็ง’ ศรวรรณ ศิริสุนทรินทร์ เจ้าของช่อง ‘ซุปเปอร์เช็ง’ ซึ่งเป็นรายการสอนทำ ‘น้ำมหาบำบัด’ น้ำหมักชีวภาพสูตรพิเศษที่อ้างว่ารักษาได้สารพัดโรค
น้ำหมักวิเศษซึ่งใช้เป็นปุ๋ยใส่ต้นไม้ก็ได้ ใช้ล้างผักผลไม้ให้สีสวย สด กรอบ ก็ได้ เป็นน้ำยาทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคก็ได้ รวมทั้งใช้ดื่มเป็นยารักษาโรคก็ยังได้นี้ มีขั้นตอนการทำแสนง่าย กล่าวคือ นำผลไม้ใกล้เน่าเสีย เศษอาหารจำพวกพืชผัก เช่น เปลือกส้ม เปลือกกล้วย และน้ำตาลทรายแดง มาผ่านกระบวนหมักในถัง ผลิตภัณฑ์ของป้าเช็งขายดีมากจนกระทั่งมีประชาชนแห่ซื้อ ‘ถังน้ำหมัก’ จากป้าเช็ง รวมทั้งอุปกรณ์และวัตถุดิบเพื่อมาหมักเอง
ก่อนผันตัวมาเป็นเจ้าแม่น้ำหมัก ป้าเช็งร่ำรวยอยู่แล้วในฐานะเจ้าของกิจการหลายร้อยล้าน มีบริษัทในเครือกว่า 20 บริษัท จุดหักเหของชีวิตคือ การล้มป่วยหนักจนเกือบเสียชีวิต ในตอนนั้นเอง ป้าเช็งได้ลองรักษาด้วยวิธีการของแพทย์ทางเลือกชื่อดังคนหนึ่งคือ ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์วงศ์ แพทย์ผู้จบปริญญาเอกสาขาแพทย์ทางเลือกจากศรีลังกาและผู้ก่อตั้งชมรมบ้านสุขภาพ รักษาคนไข้ด้วยการฝังเข็มปรับสมดุลของร่างกาย และบำบัดด้วยอาหาร อากาศ และอารมณ์ โดยเฉพาะการใช้อาหารเป็นยา เช่น น้ำผักปั่น
ในเวลาต่อมา ป้าเช็งซึ่งหายดีแล้วและติดใจในการแพทย์ทางเลือก กลับล้ำเส้นกว่าคุณหมอที่เธอเข้ารับการรักษามาก ป้าเช็งเริ่มโฆษณาและขายน้ำมหาบำบัดในฐานะยาวิเศษครอบจักรวาลเสียอย่างนั้น ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ป้าเช็งได้ออกน้ำหมักรุ่นพิเศษชื่อ ‘เจียระไนเพชร’ ซึ่งหมักมาหลายปีจนมีสีใส โดยอ้างว่าแค่เพียงหยดใส่ปาก 1-2 หยด จะสามารถกำจัดเชื้อโรคร้ายในร่างกายได้หมดสิ้น และถ้าใช้หยอดตา ดวงตาจะสุกใสเป็นประกาย รักษาโรคตาได้ทั้งปวง ปรากฏว่ายอดขายพุ่งกระฉูด แม้น้ำหมักป้าเช็งขวดเล็กๆ จะมีราคาสูงถึง 1,000 บาท
ทว่ายุครุ่งเรืองของป้าเช็งผ่านไปไม่นานนัก ก็มีคนร้องเรียนว่าน้ำหมักป้าเช็งทำให้เกิดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ ชายคนดังกล่าวใช้เป็นยาหยอดตาตามคำโฆษณา แต่ผลที่เกิดขึ้นคือ ตาข้างหนึ่งของเขาบอด ทำให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้น สั่งตรวจสอบโดยด่วนจนพบว่า น้ำหมักชีวภาพของป้าเช็งมีสภาพเป็นกรดและมีแบคทีเรียปนเปื้อน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงแจ้งความดำเนินคดีป้าเช็งในข้อหาจำหน่ายและโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาต โฆษณาเกินจริง และรักษาโรคโดยไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ ป้าเช็งถูกตัดสินจำคุก 18 เดือน ในปี 2555
หมอสมุนไพรลายพรางเจ้าเสน่ห์
คลิปงานแต่งงานของชาย 1 หญิง 3 ที่แต่ละฝ่ายล้วนชื่นบาน กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ ยิ่งเมื่อมีการเผยประวัติว่าเจ้าบ่าวเป็นหมอสมุนไพรและมีรอยสัก ก็ยิ่งทำให้เจ้าตัวโด่งดังขึ้นมา โดย ‘หมอเสือ’ หรือ ศุภฤกษ์ ชาญเชิดศักดิ์ เล่าว่าเขาสืบทอดความรู้ทางการแพทย์จากบรรพบุรุษ
หมอเสือมีเชื้อสายพราหมณ์ เมื่อพ่อที่เป็นหมอยาเสียชีวิต เขารับสืบทอดโรงหมอต่อ เพราะมีคนไข้ที่ยังอยู่ระหว่างการรักษาติดพันอยู่ แต่เมื่อรักษาหายแล้วก็มีรายใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
หมอที่ใช้ยาสมุนไพรรักษาโดยไม่ใช้ยาแผนปัจจุบันเลยอย่างหมอเสือ เรียกว่า แพทย์แผน ค. ‘โรงหมอ ส.ศุภฤกษ์’ เปิดทำการแค่วันเสาร์-อาทิตย์ เนื่องจากในวันธรรมดา หมอเสือต้องออกไปเก็บยาสมุนไพรจากชายป่า ทุ่งนา และข้างทางด้วยตัวเอง แต่การรักษาของหมอเสือถูกตั้งคำถามจากสังคมเรื่อยมาว่า มีความรู้จริงหรือไม่ จะทำให้ผู้เข้ารับการรักษาเป็นอันตรายหรือไม่
หมอเสือตอบกลับว่า เรื่องนี้ผู้ใช้บริการจะเป็นคนตัดสินเอง ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีใครเสียหาย ผู้ป่วยส่วนใหญ่รับการรักษาแผนปัจจุบันมาแล้วไม่หาย “บางคนมาแบบยับๆ มาแล้ว ถ้าเปรียบเหมือนไก่ เขาเหมือนเหลือแต่นิ้วตีนไก่มาให้ผม แล้วผมต้องทำนิ้วตีนไก่ออกมาให้เป็นไก่ 1 ตัว” หลายรายเสียค่ารักษาพยาบาลจนเกือบสิ้นเนื้อประดาตัว ทำให้บางครั้งหมอเสือเลือกรักษาโดยไม่คิดค่าบริการ ตามหลักการ ‘ห.ม.อ.’ (ให้-มอบไว้-อุทิศ)
ช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หมอเสือได้ออกคลิปนำเสนอสมุนไพร 3 ชนิด อ้างว่ารักษาโควิดได้ ได้แก่ ใบมะนาว ลูกใต้ใบ และเหง้าตะไคร้ นำมาต้มรวมกันแล้วให้ผู้ป่วยดื่มน้ำเพื่อแก้อาการไข้เบื้องต้นได้ ร้อนถึงกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกต้องออกมาปฏิเสธว่า ยังไม่พบการการศึกษาใดยืนยันว่าตำรับยาดังกล่าวสามารถรักษาหรือป้องกันโรคโควิดได้
บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์
ปรากฏการณ์ ‘น้ำผุด’ เกิดขึ้นได้ทั่วไปตามธรรมชาติ แต่หากเกิดขึ้นในไทยเมื่อไหร่ เป็นต้องมีคนแห่แหนกันไปเยือนบ่อน้ำนั้น เนื่องจากเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ หากใครได้ดื่มกินหรือประพรมเนื้อตัว จะสามารถรักษาอาการป่วยไข้ได้ บ้างก็เชื่อว่า น้ำผุดเกิดจากพญานาคคายน้ำจากถ้ำใต้ดินมาให้
ในแต่ละปีเราจะเห็นข่าวคนแห่ดื่มน้ำผุดจากใต้ดินในหลายจังหวัด ล่าสุดวันที่ 11 พฤษภาคม 2565 มีข่าวว่า ชาวบ้านทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และวัยชรา ต่างพากันนำขวดพลาสติกไปตักน้ำจากบ่อศักดิ์สิทธิ์ที่ภูหงอนไก่ จังหวัดศรีสะเกษ น้ำในบ่อแห่งนี้ใสสะอาด รอบข้างเป็นป่ารกทึบ ทำให้มีน้ำไหลลงมาตลอดปีจนไม่เคยมีเหตุการณ์น้ำแห้งขอด ชาวบ้านเชื่อว่า น้ำที่ไหลผ่านป่าอันอุดมสมบูรณ์นี้อาจชะเอาสารสำคัญจากต้นสมุนไพรต่างๆ มาด้วย ในแต่ละวันจึงมีคนมาตักน้ำไปดื่มกินไม่เคยขาด ชายคนหนึ่งเล่าว่า เมื่อตักน้ำไป 1 ขวด ก็จะเอาไปผสมในโอ่งเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่บ้าน เพื่อให้สมาชิกครอบครัวได้กินด้วย
อย่างไรก็ดี ใช่ว่าบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ทุกแห่งจะใสสะอาดเช่นนี้ อาทิ เคยมีคนพบบ่อน้ำประหลาดสีชมพูอมม่วงที่วัดร้างในจังหวัดนครราชสีมา ในครั้งนั้น มีหญิงนุ่งขาวห่มขาวอ้างว่าเป็นร่างทรงของหลวงพ่อชื่อดังในท้องถิ่นซึ่งมรณภาพไปแล้ว เกิดอาการตัวสั่นสะท้าน พูดเสียงดังว่า บ่อน้ำนี้เกิดจากการเนรมิตของหลวงพ่อ เพื่อให้ชาวบ้านนำไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ แต่เมื่อหน่วยงานสาธารณสุขประจำจังหวัดนำน้ำในบ่อไปตรวจสอบ พบว่ามีเชื้อแบคทีเรียเจือปนอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรค เช่น บิด ไทฟอยด์ และอหิวาต์ ประชาชนจึงไม่ควรนำมาดื่มกิน
เรื่องฉาวสะเทือนวงการบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ใครหลายคนอาจเคยได้ยิน เกิดขึ้นในจังหวัดแพร่ เมื่อชาวบ้านแห่กันมาขอน้ำผุดที่เกิดขึ้นในบริเวณบ้านหลังหนึ่งในอำเภอเด่นชัย แต่เมื่อหน่วยงานสาธารณสุขมาตรวจ น้ำในบ่อซึ่งเคยผุดขึ้นมาตลอดเวลากลับไม่ผุดเสียอย่างนั้น เจ้าหน้าที่จึงต้องขอน้ำจากชาวบ้านไปตรวจสอบแทน คล้อยหลังเจ้าหน้าที่ไม่กี่นาที น้ำศักดิ์สิทธิ์ก็กลับมาผุดอีกครั้ง ทำให้กำนันในตำบลนั้นนำลูกบ้านขุดบ่อเพื่อสืบหาสาเหตุการผุดของน้ำ จนพบว่า น้ำที่ใครหลายคนเอาไปดื่มกินรักษาโรคนั้นมาจากท่อส้วมของบ้านหลังติดกัน ซึ่งอยู่ห่างไปเพียง 4 เมตรเท่านั้น
สวดมนต์ไล่โควิด
ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาตรการหนึ่งที่รัฐบาลประยุทธ์คิดขึ้นมาได้คือ จัดให้พระสงฆ์ทั่วประเทศสวดมนต์บทรัตนสูตรในช่วงทำวัตรเย็น แล้วถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2563 โดยเชื่อว่าเป็นการขจัดปัดเป่าโรคร้ายและเพิ่มขวัญกำลังใจให้ประชาชน
บทสวด ‘ระตะสุตตัง’ ว่าด้วยการสรรเสริญพระรัตนตรัย เพื่อให้เกิดอานุภาพขจัดภัยพิบัติ ขับไล่เสนียดจัญไรและโรคภัยไข้เจ็บ เป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าถ่ายทอดให้พระอานนท์ใช้สวด เพื่อช่วยชาวเมืองเวสาลีให้พ้นจากการระบาดของอหิวาตกโรค บทรัตนสูตรขับไล่โรคระบาดในครั้งนั้นอย่างได้ผล
การสวดมนต์ขนานใหญ่เพื่อไล่เชื้อโรคถูกนำมาใช้หลายครั้งในประเทศไทย ตัวอย่างเช่นในสมัยรัชกาลที่ 2 ปี 2363 ‘ไข้ลงราก’ ระบาดทั่วในเขตพระนคร จนมีผู้เสียชีวิตนับหมื่น ราชสำนักจึงให้จัดพระราชพิธีอาพาธพินาศ จัดขบวนแห่พระพุทธรูป และนิมนต์พระสงฆ์จำนวน 500 รูป มาสวดบทอาฏานาฏิยสูตร เพื่อขับไล่ผีที่ทำให้เกิดโรค แต่นอกจากการสวดมนต์จะไม่หยุดการระบาดของโรคแล้ว ยังทำให้ผู้เข้าร่วมพิธีล้มตายลงต่อหน้าต่อตา
มติสวดมนต์ไล่โควิดของรัฐบาลประยุทธ์ ซึ่งออกมาในห้วงยามที่ยังจัดหาวัคซีนไม่ได้ ไม่เพียงพอ จนมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจำนวนมากนั้น กลายเป็นที่ก่นด่าในโลกออนไลน์อย่างกว้างขวาง พระมหาไพรวัลย์ (ในขณะนั้น) โพสต์เฟซบุ๊คว่า อยากให้ดูตัวอย่างในอดีตบ้าง พระราชพิธีสวดมนต์ในสมัยรัชกาลที่ 2 ไม่ช่วยให้โรคห่าหยุดระบาด มิหนำซ้ำยังทำให้เกิดโรคระบาดในวงกว้างขึ้นอีก เพราะเป็นกิจกรรมที่ทำให้คนจำนวนมากมารวมตัวกัน เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ พร้อมทั้งยกตัวอย่างรัชกาลที่ 5 ซึ่งเล็งเห็นความไม่มีประสิทธิภาพของพิธีสวด จึงสนับสนุนการรักษาด้วยการแพทย์สมัยใหม่ และให้ตั้งสถานพยาบาลขึ้นมา แต่รัฐบาลไทยในยุคนี้กลับมีวิธีคิดล้าหลังกว่ายุคสมัยรัชกาลที่ 5 เสียอีก
ที่มา
- เปิดประวัติ ‘ป้าเช็ง’ จากน้ำหมักชีวภาพถึงเจ้าของตลาดหน้าวัดธรรมกาย
- เปิดเส้นทาง “ซุปเปอร์เช็ง” เจ้าแม่ “บ่อวิน-ชลบุรี” สู่อาณาจักร “น้ำมหาบำบัด” แหกตาขายจนเจอคุก!!
- ‘พระพุทธเจ้าไม่ใช่หมอ’ ว่าด้วยมุมมองทางสังคมวิทยาต่อการอนุญาตให้ภิกษุดื่มฉี่และกินขี้
- ยาดี ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ ปัสสาวะรักษาโรค
- “หมอเสือ” หนุ่มแต่งพร้อมกัน 3 เมีย มีลูก 9 คน ประกาศเดินหน้าหาเมียคนที่ 4 โวหลายเมียไม่ผิด
- เปิดบทสวดรัตนสูตร รัฐบาลจัดพระสงฆ์ทั่วประเทศ สวดไล่โควิด ขจัดภัยพิบัติ
- ชาวบ้านแห่ตักน้ำภูหงอนไก่ เชื่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ นำมาดื่มทาตัวแล้วรักษาได้ทุกโรค
- บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ มาอีกแล้ว ดื่มรักษาโรค ระวัง…จะเงิบร้องอี๋!