นับตั้งแต่เหตุการณ์ 9/11 สหรัฐมีสถิติอาชญากรรมจากความเกลียดชัง (hate crime) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับผู้นับถือศาสนาอิสลามและชาวอาหรับ ที่แทบจะถูกมองว่า พวกเขาทุกคนมีสิทธิ์เป็นผู้ก่อการร้ายทั้งสิ้น
ในรายงาน Hate Crime in United States โดย ไบรอัน เลวิน ผู้อำนวยการ Center for the Study of Hate & Extremism จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (California State University, San Bernardino) อ้างอิงข้อมูลเหตุรุนแรงที่มีแรงจูงใจจาก ‘ความเกลียดชัง’ และ ‘อคติ’ ใน 20 รัฐใหญ่ ที่มีประชากรคิดเป็น 54 เปอร์เซ็นต์ของสหรัฐ และพบว่า ตัวเลข hate crime ในปี 2015 เพิ่มขึ้นจากปี 2014 มากทีเดียว โดยเฉพาะเหตุรุนแรงที่กระทำกับชาวมุสลิม ที่มีข้อสมมุติฐานถึงสาเหตุว่า มาจากเหตุก่อการร้ายใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นหลายครั้งทั่วโลกในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา รวมถึงนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ แคนดิเดตประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน
และแน่นอนว่า ในประเทศที่มีความหลากหลายสูงอย่างสหรัฐ ปัญหา racism – การเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ ยังมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอาชญากรรมจากความเกลียดชังที่เกิดขึ้นกับคนดำมาหลายยุคหลายสมัย รวมไปถึงคนผิวสีอื่นๆ คนอเมริกันพื้นเมือง คนเอเชีย ชาวยิว และกลุ่มคนลาตินอเมริกา
จำนวน hate crime ในปี 2015 ใน 20 รัฐใหญ่
[table class=”table-condensed” width=”400″ colalign=”left|center”]
รัฐ ; จำนวน (ครั้ง)
แคลิฟอร์เนีย;837
โคโลราโด;107
เดลาแวร์;14
ฮาวาย;2
ไอดาโฮ;22
อิลลินอยส์;96
ไอโอวา;6
แคนซัส;64
เคนตักกี;278
มิชิแกน;495
มินเนโซตา;96
นิวเจอร์ซี;367
นิวยอร์ค;503
โอไฮโอ;726
โอคลาโฮมา;32
โรดไอส์แลนด์;18
เทนเนสซี;332
เท็กซัส;195
เวอร์จิเนีย;155
ไวโอมิง;2
[/table]
อ้างอิงข้อมูลจาก: Hate Crime in United States โดย ไบรอัน เลวิน มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (California State University, San Bernardino)