เวเนซูเอลาเคยเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวที่น่านิยม พื้นที่ชายฝั่งทะเลหลายแห่งมีลักษณะสวยงามตามแบบทะเลแคริบเบียน หลายเมืองเต็มไปด้วยสีสันมีชีวิตชีวา ภูเขากับน้ำตกเป็นที่น่าตื่นตามีชื่อเสียงระดับโลก หลายปัจจัยมีส่วนส่งเสริมให้เวเนซูเอลาน่าจะเป็นจุดพักผ่อนในฝันของหลายคน
ไม่นานมานี้ หลายสิ่งอย่างในประเทศได้เปลี่ยนแปรไปเป็นอะไรที่ไม่ใกล้เคียงสภาพแบบนั้นเลย ความรุนแรงทางการเมือง การทุจริตทั่วไป ความยากจนและขาดแคลน อาชญากรรมแพร่หลาย และการล่มสลายของเงินตรา ได้ทำให้เวเนซูเอลาที่เคยเป็นประเทศร่ำรวยที่สุดในอเมริกาใต้กลายเป็นสังคมแห่งความไร้ระเบียบ เต็มด้วยอันตรายที่อาจมีคนที่ห้าวหาญมากเหลือล้นเท่านั้นที่ยังอุตส่าห์คิดฝันอยากจะแบกกระเป๋ามาเยือน
ตอนนี้เวเนซูเอลาต้องมาเผชิญกับระเบิดลูกใหม่ที่ส่อพลังร้ายแรงที่อาจจะลบเลือนประเทศออกจากแผนที่เดินทางของชาวโลกได้เลยทีเดียว
บัดนี้ สายการบินนับหลายสิบกิจการได้ประกาศหยุดบินเข้าและออกจากประเทศในทวีปอเมริกาใต้แห่งนี้ที่กำลังประสบปัญหาซ้ำซาก เพราะความกังวลของคนเดินทางเกี่ยวกับความรุนแรงและความไม่แน่นอนทางการเมืองทำให้ผู้โดยสารลดจำนวนลง จนไม่มีบริษัทเดินอากาศแห่งไหนอยากจะรักษาเส้นทางนี้ไว้ในจุดหมายการบินของตนอีกต่อไปแล้ว
เพียงไม่กี่วันหลังจากค่าเงินโบลิวาร์ (bolivar) ของเวเนซูเอลาตกต่ำถึงขีดสุด จนกระทั่งผู้คนเริ่มเอาสิ่งของหรืออาหารบางชนิด เช่น แฮม มาใช้เป็นตัวกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน สายการบิน Aerolineas Argentinas ประกาศว่ากำลังจะระงับเที่ยวบินไปยังเมืองหลวงคารากัส โดยอ้างถึงเหตุผลด้านการดำเนินงาน
ไม่นานหลังจากนั้นสายการบินอื่นๆ ได้แก่ United และ Delta ของสหรัฐอเมริกา รวมทั้ง Lufthansa, Air Canada, Aeromexico, Alitalia และสายการบินของโคลอมเบีย Avianca ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ให้บริการเดินอากาศมายังเวเนซูเอลา ก็ทยอยออกประกาศข้อความลักษณะเดียวกัน
เหตุการณ์นี้ทำให้ยังคงเหลือบริษัทการบินขนาดเล็กเพียงไม่กี่สาย ที่ยังคงบินคนเข้าและออกจากเวเนซูเอลา อันเปรียบเสมือนเป็นเส้นใยชีวิตสายสุดท้ายเชื่อมโยงประเทศที่กำลังง่อยเปลี้ยให้พอจะติดต่อกับโลกภายนอกได้บ้าง
แต่กระนั้น สายการบินที่ยังหลงเหลือเหล่านี้ก็ยังส่อแสดงอาการวิตกกังวล แม้ว่าสายการบินปานามาผู้ให้บริการ Copa Airlines ปฏิเสธว่าจะไม่ละทิ้งเส้นทางเวเนซูเอลา แต่ก็กล่าวว่า จะไม่ปล่อยให้ลูกเรือพักค้างคืนในเมืองใดของเวเนซูเอลา ตามรายงานของสำนักข่าว AFP
สมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association: IATA) กล่าวว่าเวเนซูเอลากำลังกลายเป็นประเทศที่โดดเดี่ยวมากยิ่งขึ้นทุกขณะ
“สถานการณ์กลายเป็นเรื่องยากลำบากมากขึ้น สมาชิก IATA ส่วนใหญ่ละทิ้งเส้นทางเวเนซูเอลาไปแล้ว” รองประธานสมาคม ปีเตอร์ แซร์ดา (Peter Cerda) กล่าวในการให้สัมภาษณ์
“มีผู้ให้บริการหลงเหลืออยู่เพียงหกหรือเจ็ดรายเท่านั้น ที่ปฏิบัติงานด้วยจำนวนเที่ยวบินที่มีความถี่ต่อสัปดาห์ต่ำมาก”
เวเนซูเอลากำลังถูกตัดขาด นั่นคือการเชื่อมโยงติดต่อกับโลกภายนอกโดยทางอากาศที่สำคัญมากและอาจจะหดหายไปเลยในที่สุด และเรายังมองไม่เห็นทางออกอย่างใดในระยะสั้น
การที่รัฐบาลยังไม่ยอมจ่ายเงินชำระหนี้สินตามสัญญาธุรกิจหลายฉบับเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สายการบินหลายบริษัทหยุดให้บริการเชื่อมต่อกับเวเนซูเอลา ตามการรายงานของ BBC
ความรุนแรงและความวุ่นวายทางการเมืองหลายครั้ง ทำให้เวเนซูเอลากลายเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเข้าเยือนน้อยที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกาใต้ ยอดนักท่องเที่ยวต่อปีมีอยู่สูงกว่าดินแดนขนาดกระจ้อยร่อยไม่ค่อยมีใครรู้จักอย่าง ซูรินาม กีอานา และเฟรนช์เกียนา เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ตามข้อมูลของธนาคารโลก ระบุตัวเลขนักท่องเที่ยวเยือนเวเนซูเอลาประจำปีลดลงทุกปีนับจากปี 2013 และมีเพียง 789,000 คนเดินทางเข้าประเทศในปี 2015 แม้แต่ประเทศติดกันอย่างโคลอมเบีย มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักว่าเป็นเขตอันตราย ยังมีผู้เข้าเยือนเพิ่มขึ้นกว่า 3.32 ล้านคนในปีนั้น
นักวิเคราะห์คาดว่า ตัวเลขนักท่องเที่ยวของเวเนซูเอลาในปี 2017 จะยิ่งดิ่งต่ำลงไปอีก
เว็บไซต์ Safetravel ของกระทรวงการต่างประเทศนิวซีแลนด์ ออกคำเตือนถึงการเดินทางที่ไม่จำเป็นไปยังเวเนซูเอลาเนื่องจาก “อาชญากรรมรุนแรงระดับสูง โอกาสเกิดความวุ่นวายทางการเมืองมีอยู่มาก และการขาดแคลนอาหารและยา”
คำเตือนกล่าวว่า ผู้ค้ายาเสพติดและกลุ่มติดอาวุธผิดกฎหมายอาจก่อให้เกิด “ความเสี่ยงสูงมาก” ต่อความปลอดภัยภายในระยะ 80 กิโลเมตร จากชายแดนติดต่อกับโคลอมเบีย และมี “ความเสี่ยงสูง” อยู่ทั่วไปทุกหนแห่งในประเทศ
“ระดับของอาชญากรรมรุนแรงทั่วเวเนซูเอลาเกิดขึ้นได้ทั่วไป รวมทั้งในอุทยานแห่งชาติและพื้นที่ท่องเที่ยวอื่นๆ” เว็บไซต์เตือน
แทบเป็นสิ่งเหลือเชื่อสำหรับใครต่อใคร ประเทศอันสวยงามและร่ำรวย อุดมไปด้วยน้ำมันสำรอง ครั้งหนึ่งเคยเป็นความฝันยิ่งใหญ่ของแนวคิดลัทธิสังคมนิยมอันสุดยอดเยี่ยมตามความฝันเฟื่องของอดีตผู้นำ อูโก ชาเวซ (Hugo Chavez) มาบัดนี้ร่วงหล่นลงสู่ห้วงเหว และกำลังเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศอย่างรุนแรง
ระหว่างเป็นผู้นำ ชาเวซถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจในทางผิดครรลองต่อผู้ไม่เห็นด้วย และจัดการทางด้านเศรษฐกิจได้ไม่ดีเลย แต่หลังจากการตายของเขาในปี 2013 และเมื่อราคาน้ำมันดำดิ่งร่วงหล่น เวเนซูเอลาก็ยิ่งย่ำแย่ลงอย่างหนักหนาภายใต้การนำของ นิโคลัส มาดูโร (Nicolas Maduro) ผู้สืบทอดนโยบายของชาเวซ
ผู้สื่อข่าวต่างประเทศของ ABC เมื่อกลางปีนี้ส่งรายงานว่า เขาพบเห็นว่าเวเนซูเอลากำลังอยู่ในห้วงสภาพสุดวิกฤติ ชาวบ้านอกสั่นขวัญหายอยู่ท่ามกลางพวกมือสังหารของแก๊งอาชญากรรม การปันส่วนอาหารเป็นไปอย่างไม่ทั่วถึงเพียงพอ ทำให้หลายคนต้องคุ้ยกองขยะหาของกิน สิ่งของอุปโภคบริโภคสำคัญทั่วไปขาดแคลน ผู้คนใช้เงินสดแทนกระดาษชำระ เพราะมูลค่าของมันถูกกว่า
“นี่เป็นประเทศที่มีน้ำมันสำรองมากกว่าซาอุดีอาระเบีย แต่กระนั้นคุณก็ยังเห็นคนค้นกองขยะเพื่อหาอาหาร และคนที่ยังรอดตายอยู่ได้ก็ต้องเข้าแถวสัปดาห์ละครั้งเพื่อรอรับอาหารปันส่วนประจำสัปดาห์ ซึ่งอาจเป็นเพียงแป้งสองก้อนเท่านั้น” นักข่าว เอริค แคมป์เบล (Eric Campbell) กล่าวกับ news.com.au
“คนเหล่านี้ขาดแคลนยารักษาโรค ผู้เป็นแม่ลูกอ่อนไม่สามารถซื้อหาผ้าอ้อมได้ นอกจากนี้ยังมีความรุนแรงอย่างน่าตระหนกระบาดอยู่ทั่วไป เราได้รับคำแนะนำว่า จงอย่าเดินออกไปตามท้องถนนหากไม่จำเป็น และห้ามออกไปข้างนอกในเวลากลางคืนเด็ดขาด” เขาเล่าเรื่อง
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมกำลังใช้ iPhone อยู่ตรงทางเข้าของโรงแรม แล้วล่ามก็ตะโกนเตือนว่า ถ้าหากคนเห็นคุณมีโทรศัพท์ เดี๋ยวเขาก็จะฆ่าคุณ แล้วชิงเอามันไป
ข่าวล่าสุดที่ปรากฏขึ้นมาในสัปดาห์นี้ เวเนซูเอลาตกอยู่ในสภาวะวิกฤติเศรษฐกิจร่อแร่แบบที่เงินสดใกล้จะหมดตัวเต็มที ค่าของเงินโบลิวาร์ยังคงถลำดิ่งตกลงอย่างต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเท่าทวี ครั้งละเป็นเลขสามตัว
ในช่วงต้นปี เงินหนึ่งดอลลาร์สหรัฐมีมูลค่าประมาณ 4,578 โบลิวาร์ ในตลาดมืดของเวเนซูเอลา แต่เมื่อถึงเดือนตุลาคมนี้ เงินดอลลาร์สหรัฐมีมูลค่าสูงถึง 29,170 โบลิวาร์ ตามอัตราตลาดมืดจากการติดตามเฝ้าดูของ DollarToday
นักวิเคราะห์กล่าวว่าอัตราเงินเฟ้อของเวเนซูเอลาอาจเกิน 1,000 เปอร์เซ็นต์ ภายในสิ้นปีนี้