ไชยันต์ ไชยพร
สมัยก่อนจำได้ว่า ถ้าเห็นข้อเขียนใดขึ้นต้นด้วยหัวข้อดังกล่าว ก็เดาได้เลยว่า ผู้เขียนกำลังจะเล่าถึงประสบการณ์ความรักที่ผ่านมาในชีวิตของเขา ไม่ว่าจะเป็นความรักครั้งแรกในชีวิต ซึ่งอาจจะหวานแหวว น่ารัก และก็ผ่านไปด้วยดี หรือความรักครั้งหนึ่ง (ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเขา) ที่แสนที่จะสุดซาบซึ้งตรึงกายตราใจประทับในจิตวิญญาณจนจวบจนทุกวันนี้
และไม่ว่าจะเป็นรักครั้งแรก ครั้งนั้น หรือรักที่อยู่ระหว่างกลางครั้งกระโน้น ผู้เขียนก็มักจะลงเอยด้วยประโยคที่ว่า “..และเธอยังคงอยู่ในความทรงจำของผมอยู่ทุกลมหายใจ”
ส่วนนักเขียนที่มีลีลาออกในแนวชายชาตรีโลกีย์แหลกลาญ ก็มักจะกล่าวบรรยายถึงผู้หญิงของเขาในเรื่องบนเตียงอย่างชัดเจนโจ๋งครึ่มว่า สาวๆ แต่ละคนที่เขาเคยพันตูด้วยมีรูปร่างอย่างไร ลีลาร้อนแรงขนาดไหน หรือลุ่มลึกแบบซ่อนความร้อนแรงระดับกระแสไฟแรงหมื่นวัตต์
ภายใต้มาดอันเรียบร้อยนิ่งเฉยประดุจภูเขาน้ำแข็ง บางคนก็นิยมเล่าเชิงอวดถึงผู้หญิงของเขาในแบบ ‘Go Inter’ เช่น สาวอังกฤษออกอาการต่างจากสาวเยอรมันอย่างไร ถึงขนาดเอาบุคลิกภาพของผู้นำทางการเมืองของสองประเทศมาอุปมาอุปมัย เช่น ลีลาของแหม่มสาวชาวอังกฤษทำให้นึกถึงเซอร์วินสตัน เชอร์ชิลที่สุขุมลุ่มลึกแต่ซ่อนคม ส่วนแหม่มเยอรมันร่างใหญ่ออกลีลาดุดันคล้ายท่านผู้นำฮิตเลอร์ และก็มักจะใช้ผู้หญิงเชื้อชาติต่างๆ เป็นเครื่องมือในการอวดความเป็นชายชาตรีของไทยที่แน่ในเรื่องเพศ ขนาดทำให้สาวแทบทั้งโลกต้องดิ้นพราดๆ หรือครวญครางคล้ายใกล้จะตายและโหยหาเขาอยู่เสมอ
“อย่างมาเรีย สาวสเปนวัยสิบแปด ที่เปิดร่องรักบริสุทธิ์ครั้งแรกของเธอให้ผม หลังจากที่เธอเงอะงักอยู่พักหนึ่ง วิญญาณกระทิงดุในตัวเธอก็เริ่มเผยสัญชาตญาณของมันมา ผมยอมรับว่าเล่นเอาผมแทบตั้งตัวไม่ติด ต้องยอมเป็นฝ่ายตั้งรับ แต่สักพัก เมื่อผมตั้งหลักจับทางได้ มาเรียก็กลับหายใจรัวถี่ในบรรยากาศอันแสนกระชั้นนั้น และในที่สุด กระทิงสาววัยแรกรุ่นก็ต้องสยบลงด้วยมนต์ดาบเล่มที่สองที่มาธาดอร์รุ่นเดอะอย่างผมสำรองไว้”
จะว่าไปแล้ว หญิงสาวเหล่านั้นถูกใช้เป็นเครื่องมืออวดความเป็นบุรุษร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำผจญภัยมาทั่วโลกแล้ว และที่สำคัญคือฉกาจกามเป็นเลิศ จนทุกวันนี้ “ริ้วรอยแห่งประสบการณ์ (กาม) ก็ยังคงปรากฏให้เห็นในแววตาอันส่งประกายกร้าวของเขา”
สมัยนี้ ลีลาการเขียน (genre) ดังกล่าวถดถอยลงไปมากแล้ว จะยังหลงเหลืออยู่เพียงตามข้อเขียนคาวโลกีย์ระดับล่างหรือออกแนวใต้ดินหน่อยๆ ซึ่งมักจะเป็นนักเขียนนิรนาม ไม่มีใครสนใจใคร่ด่าเท่าไรนัก แต่ถ้านักเขียนมีชื่อสมัยนี้ลองเขียนอะไรแบบนั้นออกมา ก็คงจะต้องม้วนเสื่อแจ้งตายกันไปเลย เพราะกระแสสิทธิสตรีของไทยสมัยนี้มีตัวตนและแรงทีเดียว พูดง่ายๆ ก็คือ ลีลาการเขียนเรื่อง ‘ผู้หญิงในชีวิตของผม’ ในแนวดังกล่าวสูญหายไปก็เพราะสังคมไทยเริ่มตระหนักรู้ถึงสิทธิสตรีกัน
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าสังเกตให้ดี กระแสการเขียนหรือการพูดถึง ‘ผู้หญิงในชีวิตของผม’ ของผู้ชายไทยก็ยังคงดำรงอยู่ แต่ก็มักจะพูดถึง ‘ผู้หญิงในชีวิตของผม’ ในลักษณะของเอกพจน์มากกว่าที่จะเป็นพหูพจน์ ไม่ว่าเธอจะตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ สังคมก็จะชื่นชมผู้ชายคนนั้นในข้อหาที่ซื่อสัตย์รักเดียวใจเดียว และยังรักหวานชื่นอยู่ แม้ว่าจะอยู่ด้วยกันมานานแล้ว หรือถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ผู้ชายคนนั้นก็ยังยึดมั่นไม่ยอมมอบหัวใจของเขาให้กับสาวใดอีก ก็ได้รับคำสรรเสริญจากสังคมเช่นกัน
อีกลีลาหนึ่งคือ หันไปชื่นชมยกย่องแม่บังเกิดเกล้าในฐานะ “ผู้หญิงในชีวิตของผม (คนเดียวเท่านั้น) ที่ผมจะพูดหรือเขียนถึง” มุกนี้ก็ได้รับเสียงกรี๊ดกร๊าดจากสังคมและสาวอีกเช่นกัน โดยเฉพาะถ้าชายผู้นั้นเป็นดาราศิลปินหนุ่มรูปหล่อที่สามารถจะหาสาวๆ สวยขนาดไหนมาเป็นแฟนสักกี่คนก็ย่อมได้ หรือไม่ก็มีข่าวหลุดเล็ดออกมาเสมอว่า เขามีสาวสวยจำนวนมากมาข้องเกี่ยวเต็มไปหมด แต่แล้วเขากลับมี ‘แม่’ คนเดียวเท่านั้นที่เป็น ‘ผู้หญิงในชีวิตของผม’ อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นมุกหักมุม มักใช้ได้ผลเสมอในการเปลี่ยนอารมณ์ความคาดหวังของผู้คน
นอกจาก ‘แม่’ แล้ว ก็ยังอาจใช้พี่ ป้า น้า อา ย่า ยาย หรือ ครู เป็น ‘ผู้หญิงในชีวิตของผม’ ได้เช่นกัน เพราะครูก็เปรียบได้กับพ่อหรือแม่คนที่สองอยู่ ขณะเดียวกันพี่ ป้า น้า อา ยาย ย่า ก็อาจจะเป็นคนกล่อมเกลี้ยงส่งเสียเลี้ยงดูมาก็ได้ ซึ่งฟังแล้วดูดีกว่าพูดหรือเขียนถึง ‘ผู้หญิงของผม’ ในแบบผู้ชายสมัยก่อน แต่สิ่งที่พูดหรือเขียนจะเป็นความจริงแค่ไหนก็ไม่มีใครทราบได้ จะมีก็แต่ตัวผู้ชายที่พูด/เขียนและตัวผู้หญิงที่ถูกกล่าวถึงหรือถูกใช้เท่านั้น
แต่ถ้าคิดให้ดีๆ ในสังคมไทยยังมีผู้หญิงให้พูดหรือเขียนถึงอีก นอกเหนือไปจาก แม่ พี่ ป้าน้า อา ย่า ยาย หรือ ‘แฟน/ภริยา’ คนเดียวคนนั้น
ผู้หญิงที่เหลือที่ว่านี้คือ ‘โสเภณี’ และ ‘คนใช้’ ผู้ชายในสังคมไทยจำนวนมากมีประสบการณ์ร่วมกับโสเภณีและคนใช้ แต่ก็มักจะไม่มีใครอยากจะนำเธอมาเป็น ‘ผู้หญิงในชีวิตของผม’ ไม่มีผู้ชายคนไหนอยากจะพูดหรือเขียนถึงประสบการณ์กับโสเภณีกันเท่าไรนัก เพราะนอกจากจะไม่ได้แสดงความเป็นชายชาติเชื้อที่สามารถมีอะไรกับผู้หญิงได้ โดยไม่ต้องจ่ายสตางค์แล้ว การมีประสบการณ์มากมายกับหญิงโสเภณี มันไม่ได้ช่วยให้ผู้ชายคนนั้นดูดีอะไรเลย
เพราะถ้าเล่าไปว่า “เธอกับผมพันตูกันอย่างดุเดือด” คนที่ได้ยินได้อ่านก็สามารถคิดไปได้อยู่ดีว่า “ไอ้งั่ง มึงไม่รู้หรอกหรือว่า เขาแกล้งลีลาให้มึงมีความสุข มึงจะได้ฮึกเหิมในความเป็นผู้ชายแน่ของมึง แล้วมึงก็ภูมิใจ สบายใจ และใจใหญ่ จ่ายทิปเขาไปมากๆ และจะได้เรียกเธอมาใช้บริการอีก ทั้งๆ ที่มึงควรจะได้ทิปจากเขา ถ้ามึงทำให้เขามีความสุขจริงๆ อย่างที่มึงว่า และมึงไม่คิดเลยหรือไง ไอ้โง่ ! ว่าทำไมมึงถึงคิดอยากจะเรียกเขามาขึ้นห้องอีก ก็เพราะมึงจะได้ใช้เขาเป็นที่อวดความเป็นชายผู้ฉกาจกามของมึงไง แล้วเขาก็รู้ลงไปในสมองกลวงของมึงว่า มึงคิดอะไรอยู่”
นอกจากประสบการณ์ทางเพศกับโสเภณีเป็นเรื่องยากที่จะหาความจริงแท้ได้แล้ว การที่ผู้ชายคนหนึ่งเที่ยวผู้หญิงบ่อยๆ มากๆ เสียจนเอามาเล่าเป็นเรื่องเป็นราวในแบบพหูพจน์ มันดูจะเป็นอาการป่วยหรือความด้อยโอกาสของผู้ชายคนนั้นเสียมากกว่าจะเป็นเรื่องเท่เก๋ไก๋อะไร
ขณะเดียวกัน ถ้าใครมีประสบการณ์ทางเพศกับโสเภณีแค่ครั้งเดียว แต่กลับซาบซึ้งตรึงกายตราใจขนาดลืมไม่ลง หรือกลิ่นของเธอติดจมูกติดวิญญาณหลอกหลอนมาได้จนถึงทุกวันนี้ คนที่ได้ยินได้อ่านก็คงไม่สามารถจะเอาชนะอารมณ์สมเพชที่เกิดขึ้นในตัวเองไม่ได้ ด้วยเหตุผลที่ว่า มันอะไรกันนักกันหนากับแค่ไปนอนกับโสเภณีแค่ 45 นาที บทสนทนาก็ไม่มีอะไรมาก ประสบการณ์ทุกข์สุขในทางสังคมอะไรร่วมกันเป็นเรื่องเป็นราวก็ไม่มี ผู้หญิงคนนั้นเขาอาจจะจำอะไรไม่ได้เกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นด้วยซ้ำ แต่เจ้าผู้ชายคนนั้นถึงขนาดยกให้เธอเป็น ‘ผู้หญิงในชีวิต’ ของมันเลย เธอรู้เข้าก็คงจะรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย และอาจจะแอบสุขใจเล็กๆ บ้าง
นอกจากโสเภณีแล้ว ก็ยังไม่เคยเห็นใครเขียนถึงคนใช้ในฐานะ ‘ผู้หญิงของผม’ ทั้งๆ ที่คนใช้ตามบ้านจำนวนมาก มีส่วนช่วยกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูหาข้าวหาปลา ซักเสื้อผ้า อาบน้ำ ป้อนข้าว พาเข้านอน แบ่งเบาภาระของบรรดา ‘แม่/ภริยา’ ผู้เป็นเจ้าของภาพอันงดงามสวยหรูของ ‘ผู้หญิงในชีวิตของผม’ ของผู้ชายเหล่านั้น
คงต้องหาโอกาสเขียนถึง ‘ผู้หญิงในชีวิตของผม’ !
*************
(หมายเหตุ : ตีพิมพ์ในคอลัมน์จุดหมายที่ปลายทาง สิงหาคม 2550)