ท่ามกลางการผุดสาขามากมายของห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่อย่างวอลมาร์ท ร้านกาแฟสตาร์บัคส์ หรือ ร้านค้าออนไลน์อย่างอเมซอนดอทคอม แต่ในสหรัฐอเมริกา ธุรกิจเล็กๆ และอิสระกลับอยู่ได้และเติบโตดีเพราะคนหันมาอุดหนุนชุมชน ใช้จ่ายของท้องถิ่นมากขึ้น
ที่น่าแปลกใจอย่างหนึ่งคือ แม้จะอยู่ในยุคอีบุ๊คและอเมซอนครองเมือง แต่ร้านหนังสืออิสระยังเติบโตต่อไปได้ ช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ยอดขายของพวกเขาเพิ่มขึ้นแม้จะอยู่ในยุคเศรษฐกิจถดถอย ในปี 2009 สหรัฐมีร้านหนังสืออิสระอยู่ 1,651 แห่ง ทว่าวันนี้เพิ่มขึ้นเป็น 1,900 แห่ง
หรือร้านกาแฟตามชุมชนก็โตเร็วยิ่งกว่าสตาร์บักส์ ร้านเบเกอรีและอาหารชนิดพิเศษ (specialty food) ก็ด้วย แม้แต่ร้านขายยาอิสระ สัตว์เลี้ยง สิ่งทอ และร้านเครื่องเขียนก็ไม่เว้น
พวกเขาแข่งขันกับยักษ์ใหญ่ได้อย่างไร เหตุหนึ่งนั้นก็เพราะการรณรงค์ให้คนในท้องถิ่นซื้อสินค้าของชุมชน สถาบันท้องถิ่นพึ่งตนเอง (Institute for Local Self-Reliance: ILSR) รายงานว่า ในเมืองที่รณรงค์ให้ซื้อสินค้าชุมชน ธุรกิจอิสระโตขึ้น 8.6 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเมืองที่ไม่มีการรณรงค์ โตขึ้น 3.4 เปอร์เซ็นต์
สาธารณชนตระหนักดีว่าการซื้อสินค้าในชุมชนช่วยส่งเสริมความเป็นชุมชน และทำให้เงินไหลเวียนอยู่ในท้องถิ่น
ฟราน คอร์เทน (Fran Korten) ผู้จัดพิมพ์นิตยสารออนไลน์ YES! ผู้เขียนบทความชิ้นนี้ สนับสนุนให้ประท้วงรัฐบางรัฐที่เอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทใหญ่ ดังเช่น รัฐอินเดียนาที่สนับสนุนอเมซอน เพื่อให้ร้านหนังสือออนไลน์ตั้งโกดังสินค้า 5 แห่ง อเมซอนเลยได้ผลประโยชน์จากงานนี้ไป 11 ล้านดอลลาร์ คอร์เทนยังเสนอให้กดดันรัฐท้องถิ่น ให้รัฐเก็บภาษีกับผู้ค้าปลีกทางออนไลน์ อย่างอเมซอนที่ขยายอาณาจักรได้ก็เพราะไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐท้องถิ่น ยกเว้นก็แต่รัฐวอชิงตัน เพราะอเมซอนมีฐานที่ตั้งอยู่ในรัฐนั้น
ILSR รายงานว่า กฎหมายฉบับใหม่กำหนดให้อเมซอนต้องจ่ายภาษีใน 10 รัฐที่มีประชากรรวมกันมากกว่า 1 ใน 3 จากทั้งประเทศ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา วุฒิสภาผ่านกฎหมายความเป็นธรรมในตลาด (Marketplace Fairness Act) ให้ผู้ขายปลีกทางออนไลน์ที่มีรายได้ในอเมริกาเกินกว่า 1 ล้านดอลลาร์ต้องจ่ายภาษี
*****************************************
ที่มา: yesmagazine.org