วันอังคารที่ 28 ก.พ. 2566 เวลา 15.00 น. บริเวณหน้าศาลฎีกา เจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมทีมแพทย์กลุ่มงานศูนย์ส่งกลับและรถพยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ แสดงความต้องการเข้าตรวจร่างกาย ‘ตะวัน’ ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และ ‘แบม’ อรวรรณ ภู่พงษ์ สองนักกิจกรรมที่อดอาหารและน้ำนับถึงวันนี้เป็นวันที่ 42 และเป็นวันที่ 5 ที่ทั้งคู่ออกจากโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติมาปักหลักอยู่ที่หน้าศาลฎีกา เพื่อเรียกร้องสิทธิการประกันตัวให้นักกิจกรรมที่ถูกคุมขังในเรือนจำ ทั้งที่คดียังไม่ตัดสิน
ทั้งนี้ ทนายกฤษฎางค์ นุตจรัส แจ้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและทีมแพทย์ว่าขอเข้าไปถามความยินยอมกับตะวันและแบมในเต็นท์ก่อน ซึ่งภายหลังได้ข้อสรุปว่าแพทย์สามารถเข้าไปตรวจร่างกายทั้งสองคนได้เพียงคนเดียว ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมถึงสื่อมวลชนถูกกั้นไว้ด้านนอก เวลาผ่านไปราว 15 นาที แพทย์และทนายกฤษฎางค์ก็กลับออกมาพบผู้ปกครองของตะวันและแบม ก่อนจะออกไปให้สัมภาษณ์กับสื่อร่วมกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ
มีเสียงอยู่ทุกทิศทุกทาง ทั้งเสียงของความหวัง และเสียงของการกู่ตะโกนถึงความไม่ชอบธรรมต่างๆ จากผู้คนที่มาให้กำลังใจ และต่อจากนี้คือเสียงจาก ‘บุ้ง’ เนติพร นักกิจกรรมที่เคยถูกดำเนินคดีและถูกคุมขัง ผู้ที่ใกล้ชิดมากที่สุดคนหนึ่งของตะวันและแบม และยังปักหลักอยู่กับทั้งสองคนที่บริเวณหน้าศาลฎีกา
“วันนี้คุณหมอมาถามอาการ ดูว่าอาการวิกฤตแค่ไหน และสอบถามบุ้งด้วยในฐานะที่เป็นคนดูแล บุ้งก็รายงานให้ทราบโดยที่ขออนุญาตน้องก่อนแล้วว่าเราจะพูดความจริง ว่าปัสสาวะน้องเป็นสีเข้ม ความดันเหลืออยู่ที่ห้าสิบ น้ำตาลตก ค่าเลือดก็เป็นกรด คีโตนสูง ซึ่งคุณหมอก็รับฟังและบอกว่าจะกลับไปแถลง ก็ต้องรอดูว่าเขาจะแถลงว่าอะไร เท่าที่คุณหมอคุยกับบุ้งเหมือนเขาอยากอำนวยความสะดวก ดูว่าวิกฤตแค่ไหน ถ้าวิกฤตแล้วเขาจะสามารถช่วยเหลืออะไรได้บ้าง
“บุ้งคุยกับน้องทุกวันว่า ถ้าวิกฤต ไปให้บุ้งได้ไหม น้องบอกว่าไม่ ไม่ไป… เขาจะอยู่ อยู่จนกว่าเพื่อนจะได้รับการประกันตัว ตัวบุ้งเองยังไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าถึงตอนที่น้องหมดสติไป หรือเกิดอะไรขึ้นที่บุ้งไม่สามารถช่วยเหลือได้ มันจะเป็นยังไง อันนี้บุ้งเครียดมาก นอนไม่หลับทุกวันเลย
“ตราบใดที่เขายังมีสติ เขาก็จะตอบว่าไม่ ไม่ไปเด็ดขาด
“เรื่องป้าย คือเขามาขู่ว่าภายใน 7 โมง ถ้าไม่ปลดป้ายออกทั้งหมด เขาจะทำการขอคืนพื้นที่ ซึ่งทุกครั้งที่เขาขอคืนพื้นที่คือเขาจะสลายการชุมนุม แต่เรายืนยันคำเดิมว่าไม่ปลดให้ ยังไงก็ไม่ปลด แล้วป้ายมันไม่จริงตรงไหน ‘เป็นคนให้ได้ก่อนเป็นศาล’ นี่คือคำพูดของน้องที่เราอยากให้ประชาชนที่ผ่านไปผ่านมาเห็น แต่เขาก็มาบอกอีกว่าถ้าตอน 11 โมง ยังไม่ปลด เขาจะทำการสลายการชุมนุม แต่สุดท้ายก็ไม่ทำ คิดว่าเขาคงกลัวว่าตัวเองจะดูแย่ เพราะคนของเราอดอาหารจริงๆ ถึงจิบน้ำก็น้อยมาก ทุกครั้งที่เราขอ และบางครั้งก็จิบไม่ถึงเป้า ทำให้เลือดเขาเป็นกรดแบบนี้ บุ้งว่ารัฐกลัวว่าน้องจะตาย แล้วความผิดความเลวทุกอย่างจะถูกเปิดเผยออกมามากขึ้น
“บุ้งมองว่าศาลต้องยอม ต้องให้ ไม่ต้องมามีอีโก้ว่าเดี๋ยวฉันจะดูแย่ ฉันจะดูกระจอก เพราะคุณกระจอกมานานแล้ว กับการที่เด็กแค่ทำโพลล์ แล้วคุณเอาเขาเข้าคุก เอาบุ้งเข้าคุกตั้ง 90 วัน มันไม่ใช่ เราตั้งคำถามมันยังผิดเลยในประเทศนี้ ถ้าคุณแน่จริง ถ้าคุณไม่ได้เปราะบาง มันต้องคุยกันได้ด้วยเหตุและผล
“หลายคนอาจขอร้องให้น้องหยุดอดอาหาร หยุดอดน้ำ ขอร้องให้น้องกลับมากินข้าวเถอะ ก็อยากจะบอกว่าประเทศไทยไม่ค่อยมีการตระหนักหรือเรียนรู้เรื่องการเคารพการตัดสินใจของผู้อื่น จนถึงวันนี้เรายังไม่เคยชนะเผด็จการเลย แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยว่าวิธีไหนที่มันเวิร์ก ตัวบุ้งเองกลัววิธีนี้เหลือเกิน กลัวว่าจะเสียน้องไป แต่ว่าน้องก็แสดงให้เห็นแล้วว่า วิธีของเขาได้ตีแผ่ความเลว ความโหดร้าย ความไม่เป็นธรรม ออกมาเยอะมาก และคุณก็เห็นแล้วว่าเขายอมแลกได้ทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนได้มีสิทธิเสรีภาพ มีสิทธิในการประกันตัว
“อยากให้ทุกคนเลิกกดดันน้อง และเปลี่ยนไปกดดันศาลแทน กดดันผู้มีอำนาจแทน เราอย่ากดดันกันเอง เราควรจะให้กำลังใจเขา เพื่อให้เขามีกำลังใจจะสู้ต่อ บุ้งว่าใจนี้สำคัญ ถ้าสมมุติว่าร่างกายเขาโรยราไปมากกว่านี้ แล้วน้ำหนักตะวันเหลือ 39 จาก 51 แบมก็น้ำหนักลดจากเกือบ 70 เหลือ 54 บุ้งต้องเดินเข้าไปทุกวันและเห็นน้องเหลือแต่กระดูก เราไม่ต้องการให้อะไรไปกระทบจิตใจน้องเลย ที่เขายังอยู่ได้ทุกวันนี้ หนึ่งเลยคือเขามีเพื่อนที่รักเขามากๆ และสองคือเขามีกำลังใจที่ดี บุ้งรู้สึกว่าเขายังไปต่อได้เพราะใจล้วนๆ ไม่ใช่เพราะร่างกาย อยากให้ทุกคนให้กำลังใจเขา มากกว่ากดดัน หรือหาว่าเขามีผู้ใหญ่คิดให้อยู่เบื้องหลัง มันไม่ใช่ ไม่มีเลย บุ้งขอร้องเขาด้วยซ้ำว่าไม่เอาวิธีนี้ได้ไหม เขาก็บอก ไม่ได้ หนูเลือกแล้ว”