ปฏิบัติการระดับโลก หลอกเครือข่ายอาชญากรรมใช้ Fake App ดักข้อมูลและอ่านแชท ก่อนรวบคนร้ายกว่า 800 รายใน 18 ประเทศ

ในโลกของการสื่อสารยุคดิจิทัล เป็นที่รับรู้ทั่วไปว่าบรรดาทุรชนจอมโกงและอาชญากรสมองใสจำนวนนับไม่ถ้วนได้อาศัยกลวิธีอันแยบยลลึกล้ำผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อแสวงหาผลประโยชน์อย่างผิดกฎหมาย และประกอบสร้างวีรกรรมอันชั่วช้าร้ายกาจไว้มากต่อมาก นับตั้งแต่หลอกล่อเอาทรัพย์สินจากปัจเจกบุคคลไปจนถึงระดับคุกคามความมั่นคงและสภาวะทางการเงินของหน่วยงานเอกชนหรือของรัฐ แต่บางทีอาชญากรที่ชาญฉลาดเหล่านี้ก็ยังมีโอกาสทำพลาดจนได้ แล้วถูกมือกฎหมายล่อลวงให้มาติดกับดักด้วยกลวิธีทางดิจิทัลที่พวกเขาเชี่ยวชาญและนิยมใช้กันนั่นเอง

ทางการตำรวจออสเตรเลียออกแถลงการณ์ว่าผู้ต้องสงสัยในองค์กรอาชญากรรมหลายร้อยคนใน 18 ประเทศถูกควบคุมตัวไว้ได้หลังจากหน่วยงานของสหรัฐอเมริกากับออสเตรเลียร่วมกันเจาะระบบเข้าไปในแอพพลิเคชั่นที่พวกอาชญากรนิยมใช้สื่อสารระหว่างกัน แล้วอ่านข้อความที่เข้ารหัสไว้กว่า 25 ล้านชิ้น เกี่ยวกับการขนถ่ายยาเสพติด การฟอกเงิน และแผนการสังหาร ‘ระดับน่าสะพรึง’ จำนวนมหาศาล

เจ้าหน้าที่แถลงว่า ปฏิบัติการร่วมระหว่างตำรวจกลางออสเตรเลีย (Australian Federal Police – AFP) กับ องค์การสอบสวนกลาง (Federal Bureau of Investigation – FBI) หรือ ตำรวจเอฟบีไอ แห่งสหรัฐอเมริกาประสบความสำเร็จอย่างดี ทำให้สามารถตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องสงสัยในออสเตรเลียกับอีกหลายประเทศในเอเชีย อเมริกาใต้ และตะวันออกกลาง ที่มีผลงานเกี่ยวพันกับการค้ายาเสพติดทั่วโลก

เอฟบีไอกับตำรวจออสเตรเลียร่วมมือกันตั้งแต่ปี 2018 เพื่อวางแผนชนิดสุ่มเสี่ยงโดยหลอกล่อให้พวกทุรชนใช้โทรศัพท์บรรจุแอพฯ ส่งข้อความที่เข้ารหัสไว้ ซึ่งสามารถแอบเข้าถึงและถอดความได้โดยหน่วยงานกฎหมายของรัฐ แล้วพวกหัวหน้าแก๊งอาชญากรที่ถูกหมายหัวก็หลงเชื่อ เพราะเข้าใจอยู่ตลอดมาว่าการสื่อสารของพวกตนปลอดภัย

เมื่อวันอังคาร (8 มิถุนายน) ตำรวจออสเตรเลียแถลงว่าเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามหมายค้นหลายร้อยฉบับในระหว่าง 24 ชั่วโมงก่อนหน้า ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ควีนส์แลนด์ วิคตอเรีย และเซาท์ออสเตรเลีย เจ้าหน้าที่ตรวจค้นสถานที่กว่า 500 แห่ง จับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 224 ราย เหตุการณ์จับกุมเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งตำรวจกลางแห่งยุโรป (Europol) กับหน่วยเอฟบีไอน่าจะกำลังออกแถลงการณ์ต่อไป

เครื่องโทรศัพท์กับแอพ AN0M

ตลอดเวลาประมาณสามปี พวกเจ้าหน้าที่กฎหมายได้ลอบดักฟังผ่านเครื่องโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าหลังของบุคคลจำนวนหนึ่งผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรชั้นนำของโลก โทรศัพท์มือถือเหล่านี้เป็นแบบที่มีฟังก์ชั่นบางอย่างกำหนดสร้างขึ้นเอง ตัดทอนโปรแกรมทั่วไปออกหมด ซึ่งซื้อขายกันอยู่ในตลาดมืดเฉพาะของเครือข่ายผู้ร้าย และมันถูกแอบติดตั้งด้วยแพลตฟอร์มที่ควบคุมโดย FBI ที่ตั้งชื่อให้ว่า AN0M เข้าไว้แล้ว และต่อมามันก็แพร่หลายและได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นในหมู่แก๊งผู้ร้าย เนื่องจากหัวหน้ากลุ่มอาชญากรรมชื่อเสียงโดดเด่นบางคนให้คำรับรองกับพรรคพวกชาวแก๊งว่ามันมีความสมบูรณ์แบบ ชนิดที่ไม่มีใครอื่นจะสามารถเจาะเข้าถึงได้ง่าย

ก่อนหน้านั้น ในอดีต FBI ได้เคยรื้อถอนทำลายแพลตฟอร์มเข้ารหัสที่พวกอาชญากรสร้างขึ้นเพื่อใช้สื่อสารระหว่างกันและแทรกซึมดักฟังคนอื่นมาแล้ว

แฟนทอม ซีเคียวร์ (Phantom Secure) เป็นบริษัทสัญชาติแคนาดาที่ลักลอบขายสมาร์ทโฟน BlackBerry ผ่านการดัดแปลงมากถึง 10,000 เครื่องให้กับสมาชิกแก๊งชาวออสเตรเลียมาก่อน

เมื่อปี 2018 ตำรวจ FBI ได้จับกุม วินเซนต์ รามอส (Vincent Ramos) หัวหน้าผู้บริหารของ Phantom Secure และตั้งข้อหาฉ้อโกงที่เกี่ยวข้องกับการพนัน การฟอกเงิน และการค้ายาเสพติด

Phantom Secure ใช้เครื่องโทรศัพท์ของ BlackBerry นำมาถอดกล้อง ไมโครโฟน ระบบนำทาง GPS และคุณสมบัติอย่างอื่นออกหมด แล้วติดตั้งซอฟต์แวร์เฉพาะทางของตนเพื่อส่งข้อความที่เข้ารหัสไว้ ซึ่งทำให้ยากสำหรับเจ้าหน้าที่ทางกฎหมายที่ทำงานถอดรหัส

นีล โกกัน (Neil Gaughan) ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจกลางของออสเตรเลีย กล่าวในครั้งนั้นว่าโทรศัพท์ที่เข้ารหัสถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายโดยกลุ่มองค์กรอาชญากรรมทั่วประเทศ

“Phantom Secure ถูกใช้ในออสเตรเลียมาเป็นเวลาระหว่างสามถึงห้าปีโดยกลุ่มอาชญากรระดับสูงทุกกลุ่มในออสเตรเลีย” เขากล่าวในครั้งนั้น

“ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับความผิดทางอาญาในระดับสูง ตั้งแต่การขู่กรรโชก การลักพาตัว การนำเข้ายาเสพติด และแม้แต่สัญญาจ้างลอบสังหาร ต่างก็ใช้ Phantom Secure เพื่อสื่อสารกัน ด้วยความคิดที่ว่าพวกเขาสามารถซ่อนการสื่อสารจากเจ้าหน้าที่ได้”

ตำรวจกล่าวว่า Phantom Secure ขายอุปกรณ์ทั้งหมด 20,000 เครื่องทั่วโลก และครึ่งหนึ่งไปลงเอยที่ออสเตรเลีย

ในปฏิบัติการครั้งล่าสุดนี้ FBI ได้สร้างแอพพลิเคชั่นที่เข้ารหัสแบบปิดลับ AN0M ขึ้นมา เพื่อเติมเต็มช่องว่างและกำหนดเป้าหมายให้ใช้กับกลุ่มอาชญากรรม การค้ายาเสพติด และการฟอกเงินทั่วโลก โดยมีการตรวจสอบการสื่อสารของผู้คนที่เกี่ยวพันกับการกระทำผิดทางอาญา

ในออสเตรเลียการลักลอบดักฟังเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่ตำรวจออสเตรเลียแถลงว่าได้ขออนุญาตต่อศาลไว้ก่อนแล้วและได้รับอนุมัติจากศาลให้ปฏิบัติการได้ โดยเฉพาะกับพลเมืองออสเตรเลียผู้ต้องสงสัยกับกลุ่มที่ถูกระบุเป็นเป้าหมายที่เคลื่อนไหวอยู่ในออสเตรเลีย

ตามการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ ความสำเร็จของปฏิบัติการร่วมครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากตำรวจออสเตรเลียกับเอฟบีไอไม่กี่นายได้นัดพบ เมื่อปี 2018 เพื่อสังสรรค์ดื่มเบียร์และสนทนากัน จากนั้นตำรวจออสเตรเลียก็ได้พัฒนาเทคนิคที่สามารถเข้าถึง ถอดรหัส และอ่านการสื่อสารบนแพลตฟอร์ม AN0M ของ FBI นี้ได้

ผู้ใช้โทรศัพท์ (ซึ่งมีเฉพาะผู้ร้าย) เชื่อหนักแน่นว่าอุปกรณ์ฝัง AN0M ของพวกตนปลอดภัยด้วยการเข้ารหัสไว้แน่นหนา แต่ไม่ได้รู้ประสีประสาเลยว่านั่นคือการให้ข้อมูลข่าวกรองทางอาชญากรรมโดยตรงกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยบังคับใช้กฎหมายของสองประเทศอยู่ตลอดเวลา

สื่อของออสเตรเลียรายงานว่าสายลับของหน่วยงานกฎหมายบางหน่วย ได้ช่วยกันแจกจ่ายโทรศัพท์ดัดแปลงดังกล่าวให้แก่ผู้ต้องสงสัยที่เป็นที่รู้ดี รวมถึงหัวหน้าแก๊งค้ายาชาวออสเตรเลียที่กำลังหลบหนีอยู่ในตุรกี เพื่อให้ได้มาซึ่งความไว้วางใจ

“อาชญากรจำเป็นต้องรู้จักกับอาชญากรด้วยกันเพื่อสามารถซื้ออุปกรณ์ชิ้นนี้ได้” ตำรวจกลางแห่งออสเตรเลียกล่าวในแถลงการณ์

เมื่ออุปกรณ์แพร่กระจายมากขึ้นในหมู่ทุรชน ตลอดเวลาสามปี AN0M ถูกใช้โดยพวกอาชญากรรายใหญ่กับลูกค้าของตนในประมาณ 90 ประเทศเพื่อส่งข้อความนับสิบล้านข้อความ นับตั้งแต่แผนการฆาตกรรม การค้ายาเสพติด การทุจริตคดโกง และการฟอกเงิน รวมถึงรูปภาพเงินสดกับโคเคนจำนวนมหาศาลกว่า 450,000 ภาพ และเจ้าหน้าที่เอฟบีไอกับกองกำลังตำรวจหน่วยอื่น ก็คอยตามแอบฟังโดยตลอด

“โดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาแจ้งหลักฐานเสมือนสวมใส่กุญแจมือให้กันและกัน โดยการรับรองและไว้วางใจ AN0M แล้วสื่อสารกันอย่างเปิดเผย โดยไม่รู้ว่าเรากำลังเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา” รีซ เคอร์ชอว์ (Reece Kershaw) กรรมาธิการตำรวจแห่งรัฐบาลกลางออสเตรเลียกล่าว

เมื่อมีการแถลงเปิดเผย ปฏิบัติการระดับโลกครั้งนี้จึงเป็นที่รู้จักกันด้วยชื่อ Special Operation Ironside ในออสเตรเลีย และ Trojan Shield ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งยังได้เปิดโปงพวกอาชญากรที่มีความเชื่อมโยงกับแก๊งค้ายาเสพติดขนาดใหญ่ในอเมริกาใต้ กลุ่มอั้งยี่ (Triad) ในบางประเทศแถบเอเชีย รวมทั้งองค์กรอาชญากรรมในตะวันออกกลางและยุโรป

ผลสะท้อนถึงกลุ่มอาชญากรรมทั่วโลก

นายกรัฐมนตรีสก็อตต์ มอร์ริสัน (Scott Morrison) แห่งออสเตรเลีย กล่าวว่า ปฏิบัติการดังกล่าว “สร้างแรงกระทบกระเทือนอย่างหนักต่อพวกองค์กรอาชญากรรม” และเสริมว่า “ไม่ใช่แค่ในประเทศนี้ แต่ยังจะส่งผลสะท้อนไปถึงกลุ่มอาชญากรรมทั่วโลก”

ในการนี้ มีเจ้าหน้าที่กฎหมายมากกว่า 9,000 คนใน 18 ประเทศเข้าร่วมปฏิบัติการด้วยกัน ตำรวจออสเตรเลียระบุว่า ได้ตั้งข้อหาสมาชิกแก๊งผู้ร้ายจำนวนมากไปแล้วในข้อหาก่ออาชญากรรม ซึ่งรวมถึงแผนการสังหาร การค้ายาเสพติด และการจำหน่ายอาวุธปืน

แอนโธนี รุสโซ (Anthony Russo) ตัวแทนทางกฎหมายของแผนกปฏิบัติการระหว่างประเทศของเอฟบีไอประจำกรุงแคนเบอร์รากล่าวในแถลงการณ์ว่า “เอฟบีไอร่วมกับพันธมิตรระหว่างประเทศของเรา จะยังคงปรับแนวทางทำงานให้เข้ากับพฤติกรรมทางอาชญากรรม และมุ่งพัฒนาแนวทางใหม่เพื่อหาทางนำอาชญากรเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม”

นับตั้งแต่ปฏิบัติการลับเริ่มต้นขึ้น ตำรวจออสเตรเลียยึดยาเสพติดได้ 3.7 ตัน อาวุธ 104 ชิ้น และเงินสดประมาณ 45 ล้านดอลลาร์ ผู้ถูกจับกุม 224 รายถูกตั้งข้อหาทางอาญา และตลอดช่วงเวลานั้น ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ร้ายต่างพากันงงงวย ไม่รู้เหนือใต้เลยว่าด้วยเหตุใดจึงทำให้ตำรวจเข้าถึงแหล่งและยึดยาเสพติดได้ และแผนการทั้งหลายต้องล้มเหลวลงหมด

ตำรวจกล่าวว่าเจ้าหน้าที่ได้ขจัดขัดขวางแผนการฆาตกรรมที่น่าจะเป็นไปได้ถึง 21 แผน รวมถึงแผนการหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการใช้ปืนกลระดมยิงครอบครัวที่มีสมาชิก 5 คนในร้านอาหาร

ที่นิวซีแลนด์ ตำรวจรายงานว่าได้ควบคุมตัวผู้ถูกตั้งข้อหา 35 ราย รวมทั้งสมาชิกระดับนำของแก๊งอาชญากรรมจำนวนหนึ่ง ในข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติดและฟอกเงิน และยึดยาไอซ์ อาวุธปืน ของกลางในการกระทำผิด รวมทั้งเงินสดได้ 3.4 ล้านดอลลาร์

มีรายงานด้วยว่าจำนวนผู้ถูกจับกุมใน 18 ประเทศมีมากกว่า 800 ราย โดยคาดว่าเจ้าหน้าที่กฎหมายในยุโรปและสหรัฐอเมริกาจะแถลงถึงการปฏิบัติการทั่วโลกในการบรรยายสรุปเพิ่มเติมเร็วๆ นี้

อ้างอิง

Author

ไพรัช แสนสวัสดิ์
ทำงานหนังสือพิมพ์รายวันฉบับภาษาอังกฤษมาทั้งชีวิต มีความสนใจในระดับหมกมุ่นหลายเรื่อง อาทิ ประวัติศาสตร์ วรรณคดี การเมือง สังคม วัฒนธรรม ศิลปะ จักรยาน ฯลฯ ช่วงทศวรรษ 2520 มีงานแปลทะลักออกมาหลายเล่ม หนึ่งในนั้นคือ Bury my heart at Wounded Knee หรือ ฝังหัวใจข้าไว้ที่วูนเด็ดนี
ปัจจุบันเกษียณตัวเองออกมาทำงานแปลอย่างเต็มตัว แต่ไม่รังเกียจที่จะแปลและเขียนบทวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศ หากเป็นประเด็นที่คิดว่ามีประโยชน์ต่อชาวโลก

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า