Andres Escobar: เหตุฆาตกรรมในกรอบเขตโทษ

Andres Escobar

เรื่อง: จักรกริช จิรวิวัฒน์เสรี

 

ฟุตบอลโลกปี 1994 เป็นครั้งแรกที่มีการจัดการแข่งขันบนแผ่นดินประเทศที่เรียกกีฬา ‘ฟุตบอล’ ว่า ‘ซอคเกอร์’ อย่างประเทศสหรัฐอเมริกา

ปีดังกล่าว ทีมชาติบราซิลที่ได้เถลิงบัลลังก์แชมป์อย่างยิ่งใหญ่ เป็นชาติแรกที่ได้ครองแชมป์โลก 4 สมัย ทีมของเฮดโค้ช คาร์ลอส อัลแบร์โต เปไรรา นำโดยดาวดังมากมายอย่าง คาร์ลอส ดุงกา, โรมาริโอ, เบเบโต, ริวัลโด, ทัฟฟาเรล และ โรนัลโด ดาวรุ่งที่ทำได้เพียงนั่งดูรุ่นพี่บรรเลงเพลงแข้งด้วยลวดลายลีลาอันเป็นเอกลักษณ์ โดยไม่มีโอกาสสัมผัสผืนหญ้าแม้แต่วินาทีเดียว

หลังจากจบเกมการแข่งขันระหว่างอาร์เจนตินาพบกับไนจีเรีย ดิเอโก้มาราโดนา ถูกเจ้าหน้าที่หญิงเดินจูงมือออกจากสนามเพื่อสุ่มตรวจหาสารกระตุ้น ก่อนหน้านี้ ดิเอโก มาราโดนา เคยถูกสมาพันธ์ฟุตบอลแบน 15 เดือน ด้วยข้อหาเสพโคเคน เจ้าตัวอ้างว่า สารที่ถูกตรวจพบเป็นสารที่ชื่อว่า ‘อีเฟดรีน’ ซึ่งมาจากเครื่องดื่มชูกำลังที่เทรนเนอร์ส่วนตัวของเขานำมาให้ดื่ม

ทีมชาติอาร์เจนตินาส่งตัวเขากลับก่อนที่การแข่งขันในรอบแรกจะจบลง และทีมชาติอาร์เจนตินาเข้าสู่รอบสองแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์

โรแบร์โต บาจโจ ฉายา ‘เปียทองคำ’ สตาร์ลูกหนังทีมชาติอิตาลีเดินย่างสามขุมยืนท้าทายกับ ทัฟฟาเรล นายทวารจอมเก๋า หลังเกมนัดชิงชนะเลิศระหว่างทีมชาติอิตาลีกับทีมชาติบราซิล ต่างฝ่ายต่างทำอะไรกันไม่ได้ ตลอดการแข่งกัน 120 นาที ยืดเยื้อถึงขั้นตัดสินด้วยการยิงจุดโทษ

และสกอร์อยู่ที่บราซิลนำ 3-2

ลูกบอลลูกนั้นของบาจโจลอยข้ามคาน เขายืนเท้าสะเอวก้มหน้า มีเพียงทีมงานและเพื่อนร่วมทีมคอยปลอบ บนคอแขวนรองเท้าสตั๊ด วันนั้นทีมชาติอิตาลีของ โรแบร์โต บาจโจ พ่ายแพ้ แต่เขายังมีชีวิตเพื่อเป็นตำนาน

…มีนักเตะอีกคนที่ความผิดพลาดทำให้ทีมตัวเองพ่ายแพ้ แต่เขากลับไม่ได้รับอนุญาตให้มีลมหายใจ

Andres Escobar

ก่อนเริ่มเกมการแข่งขัน

ทีมชาติโคลอมเบียเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกในปีนั้น ในฐานะทีมที่น่าจับตามอง จากผลงานถล่มทีมชาติอาร์เจนตินา ถึง 0-5 และพ่ายแพ้เพียงนัดเดียวจากการลงเล่น 34 นัดในรอบคัดเลือก นำโดยนักฟุตบอลชื่อดังหลายคนที่เล่นอยู่ในสโมสรชั้นนำของทวีปยุโรปอย่าง คาร์ลอส วันเดอร์รามา, เฟรดดี ลินคอร์น, ฟาอุสติโน อัสปรีญา ขาดแค่เพียง เรเน ฮิกิตา นายทวารเจ้าของท่าแมงป่อง ที่ถูกจำคุก 7 เดือน ข้อหาพัวพันกับราชายาเสพติดของโลกอย่าง พาโบล เอสโคบาร์ จึงไม่สามารถร่วมทีมได้

เปเล่ นักฟุตบอลระดับตำนานยกให้ทีมชาติโคลอมเบียชุดนี้เป็นม้ามืด มีโอกาสได้สัมผัสแชมป์ฟุตบอลโลก

การแข่งขันในรอบแรกของทีมชาติโคลอมเบีย เปิดสนามด้วยการพ่ายให้กับทีมชาติโรมาเนียในยุคนั้นที่มี จอร์จี ฮาจี เป็นแกนหลัก ด้วยสกอร์ขาดลอย 1-3 ทุกคนยังคงคิดว่าทีมชาติโคลอมเบียจะกลับมาได้ แม้การเจอกับเจ้าภาพสหรัฐไม่ใช่งานง่าย หากพวกเขาต้องการจะบอกกับคนทั้งโลกว่าทำได้ดีพอ ดังที่เปเล่ยกย่อง พวกเขาต้องทำให้ได้ – อย่างไม่มีเงื่อนไข

นอกจากความกดดันเรื่องการแข่งขันแล้ว เรื่องราวนอกสนามก็รุมเร้านักฟุตบอลทีมชาติโคลอมเบีย ระหว่างการแข่งขัน ผู้เล่นภายในทีมหลายคนถูกคุกคามข่มขู่ อย่าง ชอนโต เอร์เรรา น้องชายของเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างมีเงื่อนงำ บาร์ราดัส น้องชายของ เอร์นาน ผู้ช่วยโค้ช ถูกข่มขู่ว่าหากเขาลงสนามจะถูกลอบสังหาร จนถึงกับต้องขอถอนตัวออกไป ทีมชาติโคลอมเบียอยู่ในภาวะการณ์ระส่ำระสาย

Andres Escobar

ระหว่างเกมการแข่งขัน

นาที 35 จอห์น ฮาร์ค ปีกซ้ายทีมชาติสหรัฐอเมริกา เปิดบอลจากฝั่งซ้าย อันเดรส เอสโคบาร์ กองหลังทีมชาติโคลอมเบียวัย 27 ปี เข้าสกัด ผิดเหลี่ยม ลูกฟุตบอลเปลี่ยนทางเข้าประตูตัวเอง

นาที 52 ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของทีมชาติโคลอมเบียดูจะย่ำแย่กว่าเดิม เมื่อ เอมามี สจ๊วต ยิงให้ทีมชาติสหรัฐอเมริกาเจ้าภาพขึ้นนำ 2-0 แม้ว่า อดอลโฟ วาเลนเซีย จะตีไข่แตกในนาทีที่ 90 แต่ไม่ทันการณ์

โคลอมเบียชนะในนัดสุดท้ายเหนือทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ แต่โรมาเนียกลับไปพ่ายให้กับสหรัฐ พวกเขาตกรอบแรก ท่ามกลางความตกตะลึง ความฝันของแฟนบอลชาวโคลอมเบียแหลกสลายไม่มีชิ้นดี ยากจะยอมรับความเจ็บปวดจากความจริงที่เกิดขึ้น

จบเกมการแข่งขัน

อันเดรส เอสโคบาร์ เป็นที่รู้จักในจังหวะนั้น เพราะชื่อของเขาบังเอิญไปพ้องกับราชายาเสพติดอย่าง พาโบล เอสโคบาร์ โดยที่ทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ความสัมพันธ์อย่างเดียวคือเขาเล่นบอลอยู่ในสโมสรชื่อดัง แอตแลนติโก นาซิอองนาล ที่มี พาโบล เอสโคบาร์ เป็นเจ้าของสโมสร และไม่ค่อยอยากรับรู้เรื่องราวการเดิมพันของเจ้าของทีมสักเท่าไหร่

มันเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้เสมอในโลกฟุตบอล ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด ขึ้นอยู่กับความผิดพลาดดังกล่าวจะถูกจัดวางด้วยความรู้สึกเช่นไร มีแฟนบอลชาวโคลอมเบียจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันเป็นอุบัติเหตุ คือมนต์เสน่ห์ของเกมลูกหนังที่ไม่มีใครคาดเดาตอนจบ มีเพียงนักฟุตบอลในสนามเท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตตัวเองได้

ทว่ายังมีชาวโคลอมเบียอีกนับไม่น้อยที่ยากจะยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น เลือดความรักชาติเข้มข้น แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เมื่อเม็ดเงินมหาศาลหมุนเวียนในโลกของการพนันขันต่อ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจำเป็นต้องหาผู้รับผิดชอบ

แน่นอน ทุกสายตาจับจ้องไปที่การสกัดบอลเข้าประตูตัวเองของ อันเดรส เอสโคบาร์ ในกรอบเขตโทษ เสมือนเป็นความผิดพลาดที่ผลักรุนให้ทีมชาติโคลอมเบียดิ่งลงสู่ปากเหวแห่งหายนะ โดยที่ไม่มีใครคาดคิดว่าความผิดนั้นจะมีโทษร้ายแรงแค่ไหน

โดยมิได้ล่วงรู้ เขากำลังกำหนดชะตาชีวิตตัวเอง

หลังจากตกรอบฟุตบอลโลก สถานการณ์ต่างๆ ภายในทีมเต็มไปด้วยความตึงเครียดมากขึ้นกว่าเดิม ฟรานซิสโก มาตูรานา หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติโคลอมเบีย บอกกับลูกทีมของตัวเองว่า เขาต้องการจะอยู่สหรัฐอเมริกา จนกว่าความวุ่นวายในประเทศโคลอมเบียที่กำลังเดือดดาลจากความผิดหวังที่พวกเขาตกรอบจะคลี่คลายเสียก่อน

ชอนโต เอร์เรรา เพื่อนร่วมทีมอยากให้อันเดรสอยู่ที่อเมริกาก่อน เพราะหากกลับไปตอนนี้จะเป็นอันตรายต่อตัวเขาเอง อันเดรส เอสโคบาร์ กลับยืนกรานว่าจะกลับพร้อมกับเพื่อนร่วมทีม แทนที่จะไปเยี่ยมญาติที่เนวาดา สหรัฐ

“ที่เมเดลยิน มีแต่คนรักฉัน” อันเดรสกล่าวตอบกับชอนโต ตัวเขาเองไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวหรือท้อแท้กับความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้น เขายังเขียนคอลัมน์ลงในหนังสือพิมพ์ El Tiempo ในเมืองโบโกตา โดยพาดหัวว่า “Life doesn’t end here”

เนื้อหาในคอลัมน์คือ

ชีวิตจะต้องไม่จบสิ้นที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องยากเย็นแค่ไหนก็ตาม มีเพียงสองทางเลือก ปล่อยให้ความโกรธแค้น ความรุนแรงที่เกิดขึ้นดำเนินต่อไป หรือพยายามจะเอาชนะมันเพื่อคนอื่น

คำสัมภาษณ์สุดท้ายหลังจาก อันเดรส เอสโคบาร์ เดินทางมาถึงประเทศบ้านเกิด นักข่าวถามว่าหลังจากนี้จะทำอะไรต่อ เขาบอกว่ายังคงเล่นให้กับแอตแลนติโก นาซิอองนาล แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงวันหยุด และไม่กี่วันหลังจากนั้นจะเดินทางไปรายงานตัวกับต้นสังกัดเพื่อฝึกซ้อมเตรียมความพร้อมสำหรับแข่งขันฟุตบอลลีกโคลอมเบีย และซูเปอร์โคปา

อันเดรส เอสโคบาร์ วางแผนไว้ว่าหลังจากจบการแข่งขันฟุตบอลโลกจะเข้าพิธีวิวาห์กับคู่หมั้น พร้อมทั้งพาครอบครัวไปประเทศอิตาลี หลังพูดคุยในรายละเอียดเพื่อเซ็นสัญญาย้ายจากแอตแลนติโก นาซิอองนาล สโมสรชั้นนำในลีกโคลอมเบีย ไปอยู่กับสโมสร เอซี มิลาน

ที่มิลาน เขาจะได้ร่วมเล่นกับดาวดังลูกหนังระดับโลก ทั้ง ฟรังโก บาเรซี, มาร์โก แวน บาสเทน, เปาโล มัลดินี และ รุด กุลลิท อนาคตของ อันเดรส เอสโคบาร์ คงไม่ต่างจากความฝันของนักฟุตบอลอเมริกาใต้อีกหลายคน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า สโมสรเอซี มิลาน ในตอนนั้นอยู่ในยุครุ่งเรือง อุดมไปด้วยซูเปอร์สตาร์จนยากที่ใครจะหยุดความยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้ และอาจทำให้เขาก้าวขึ้นไปเป็นหนึ่งในกองหลังระดับโลก

หลังตื่นจากฝันร้าย อันเดรสใช้เวลาพักร้อน 10 วัน เพื่อลบเลือนบาดแผลที่ฝังลึกอยู่ในใจ เย็นวันที่ 1 กรกฎาคม 1994 หลังจากพักร้อนผ่านมา 5 วัน เขาโทรนัดหมายเพื่อนที่บาร์แห่งหนึ่งชื่อ El Poblado ในละแวกใกล้เคียงกับเมเดลยิน – เป็นครั้งแรกที่เขาออกจากบ้านหลังจากกลับมาถึง

หลังพูดคุยทักทายกันเพียงไม่กี่คำ อันเดรส เอสโคบาร์ กับเพื่อน ตัดสินใจว่าจะไปดื่มกินกันที่ El Indigo ไนท์คลับซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เขาเต้นรำอย่างสนุกสนานกับกลุ่มเพื่อนหลังจากดื่มได้เพียงเล็กน้อย ทุกคนมีความสุขที่ได้เห็นรอยยิ้มของเขากลับคืนมาอีกครั้ง

แล้วจู่ๆ ช่วงเวลาแห่งความสนุกสนานในไนท์คลับ กลับมีเสียงตะโกนขึ้นว่า “อันเดรส ทำเข้าประตูตัวเอง” “อันเดรส ทำเข้าประตูตัวเอง” ดังขึ้นเป็นระยะๆ

ตี 3 คืนนั้น อันเดรส เอสโคบาร์ แยกกับเพื่อน หลังจากตกลงกันว่าจะไปหาอะไรกินก่อนกลับ เขาเดินไปขึ้นรถเพียงลำพังที่ลานจอดรถของไนท์คลับ และพบชายสองคน ซึ่งก็คือพี่น้องกัลลอน เฮอร์เนา เป็นพ่อค้ายาและผู้มีอิทธิพล ตามรังควาน เขามีปากเสียงกับชายทั้งสอง เหมือนกับว่ายังคงเคียดแค้นที่อันเดรสทำเข้าประตูตัวเอง และเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทีมพ่ายแพ้ แม้จะอธิบายว่านั่นเป็นอุบัติเหตุ เขาบอกว่าไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด ทั้งสองกลับไม่ฟังคำอธิบาย แถมยังดูถูก และหมิ่นแคลน

อันเดรสได้แต่เงียบสงบปากสงบคำก่อนที่จะเดินเลี่ยงขึ้นรถ ขณะกำลังจะขับออกไป ชายซึ่งเป็นลูกน้องของพี่น้องทั้งสอง ซึ่งก่อนหน้านี้นั่งรอเจ้านายอยู่ในรถ ได้ยินว่าเกิดการมีปากเสียงกันขึ้น จึงเดินปรี่ลงมาพร้อมกับลั่นไกเข้าที่คอของ อันเดรส เอสโคบาร์ จากด้านหลังของรถ โดยที่ไม่รู้จักว่า ชายตรงหน้าคือ ‘อันเดรส เอสโคบาร์’ รู้แค่ว่าเขามีความบาดหมางกับเจ้านาย

ลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา เช้ามืดวันที่ 2 กรกฎาคม ปี 1994 มาเรีย เอสเทอร์ เอสโคบาร์ พี่สาวแท้ๆ ของอันเดรส เอสโคบาร์ ตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์ทางไกลจากโคลอมเบีย บาร์บาดัส โกเมซ กองหลังเพื่อนร่วมทีมของอันเดรสโทรมาแจ้งข่าวร้าย ว่าน้องชายคนเล็กที่เปรียบเหมือนความภูมิใจของครอบครัว เพราะเป็นคนเดียวที่สามารถก้าวไปติดทำเนียบทีมชาติและยังได้เล่นฟุตบอลโลก ถูกยิงเสียชีวิตที่เมเดลยิน

ในลานจอดรถของ El Indigo ไนท์คลับ หลังสิ้นเสียงปืนลูกโม่ .38 จำนวน 12 นัด ทุกนัดจะมีเสียง “Goal” เอ่ยขึ้นตามหลังพร้อมกับมีประโยคหนึ่งดังขึ้น แม้ว่า อันเดรส เอสโคบาร์ จะได้ยินมันหรือไม่ก็ตาม “Gracias por la autogol” หรือ “Thank for the own goal” ขอบคุณสำหรับการทำเข้าประตูตัวเอง หลังสิ้นประโยคสุดท้าย ชายทั้งสามเดินกลับขึ้นรถและขับออกไป

ฆาตกรทั้งสามทิ้งรถไว้ในที่รกร้างแห่งหนึ่ง เพื่อจะได้แจ้งความกับตำรวจในเช้าวันรุ่งขึ้นว่ารถตัวเองหาย เพื่อจะได้โยนความผิดให้คนอื่น แต่เพียงวันรุ่งขึ้น ตำรวจก็สอบปากคำจนผู้ต้องหายอมรับสารภาพ

ร่างของ อันเดรส เอสโคร์บาร์ วัย 27 ปี ที่เพื่อนฝูงในทีมต่างยกย่องว่าเป็น ‘El Caballero del Futbo’ สุภาพบุรุษคนหนึ่งในสนาม นอนจมกองเลือดบนเบาะภายในรถส่วนตัว หายใจอย่างแผ่วเบา เขาเสียชีวิตขณะเพื่อนนำตัวส่งโรงพยาบาลหลังจากนั้นราว 45 นาที

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังกลับจากลอสแอนเจลิสเพียง 48 ชั่วโมง

Andres Escobar

หลังเหตุการณ์ฆาตกรรม ครอบครัวของเขาย้ายออกจากเมเดลยิน ส่วนเพื่อนในทีมชาติโคลัมเบียต่างอยู่ในอาการหวาดผวา ถึงขนาดที่ว่า ฟาอุสติโน อัสปรีญา กองหน้าสโมสรปาร์มา ต้องจ้างบอดี้การ์ดเพื่อดูแลความปลอดภัยของตัวเองถึง 20 คน

“ในฐานะที่เป็นชาวโคลอมเบีย มันรู้สึกน่าละอายใจ ผู้คนต่างพูดกันว่าโคลอมเบียมีแต่ โคเคน กัญชา และการสังหาร อันเดรส เอสโคบาร์ ที่ทำเข้าประตูตัวเอง นั่นยิ่งทำให้รู้สึกละอายมากขึ้นกว่าเดิม” ดาร์ริโอ เอสโคบาร์ บิดาของ อันเดรส เอสโคบาร์ กล่าว

ฮุมแบอร์โต มูนอซ คาซโตร คือชายผู้ปลิดชีพ อันเดรส เอสโคบาร์ ให้การว่า สาเหตุของการลงมือสังหารมาจากความโกรธแค้นในความผิดพลาดของ อันเดรส เอสโคบาร์ ส่งผลให้ทีมชาติโคลอมเบียตกรอบแรกฟุตบอลโลก แต่บางสื่อยังเชื่อว่าความตายของอันเดรสมีเงื่อนงำมากกว่านั้น เช่นว่าอาจมาจากการสูญเสียเงินเดิมพันมหาศาลของสองพี่น้องกัลลอน

ฮุมแบร์โต มูนอซ สารภาพกับเจ้าหน้าที่ ศาลสั่งจำคุกเป็นเวลา 43 ปี ถูกปรับเงิน 40,000,000 เปโซโคลอมเบีย หรือราว 49,000 ดอลลาร์ในขณะนั้น แต่เนื่องจากเป็นนักโทษความประพฤติดี จึงถูกปล่อยตัวหลังจากจำคุก 11 ปี ส่วนสองพี่น้องกัลลอนถูกจำคุกในบ้านเป็นเวลา 15 เดือน และปรับเงิน 1,500,000 เปโซโคลอมเบีย หรือราว 1,850 ดอลลาร์

Andres Escobar

นอกเกมการแข่งขัน

โลกของกีฬาฟุตบอล ฉากหน้าคือความสวยงาม แต่เบื้องหลังมิอาจแยกจากกลเกมอิทธิพลต่างๆ แม้ว่าการเสียชีวิตของเจ้าพ่ออย่าง พาโบล เอสโคบาร์ จะทำให้รัฐบาลโคลอมเบียคาดหวังว่าประเทศกลับมาสู่ความสงบ ความรุนแรงและอาชญากรรมจะลดน้อยลงหากปราศจากชายนามสกุล ‘เอสโคบาร์’

แต่โชคชะตาเขียนบทให้ตลกร้ายยิ่งกว่านั้น เมื่อคนที่ทำให้เห็นว่าฟุตบอลโคลอมเบียถูกขับเคลื่อนด้วยสิ่งผิดกฎหมายปรากฏขึ้น กลับกลายเป็นชายอีกคนที่ลงท้ายชื่อด้วย ‘เอสโคบาร์’ เหมือนกัน

ความสับสนในความโศกเศร้าไปกับความตายของ อันเดรส เอสโคบาร์ ยังคงดูเหมือนติดค้างอยู่ในกึ่งกลางความคลุมเครือ ด้วยข้อสงสัยที่ว่า การฆาตกรรมเป็นการแก้แค้นที่สูญเสียพนัน หรือเป็นความโกรธแค้นจากความรักชาติ แต่เบื้องลึกเบื้องหลังคงไม่มีใครล่วงรู้มากไปกว่าผู้ลงมือสังหาร ซ้ำร้ายเหตุการณ์ผ่านพ้นยังคงทอดทิ้งความจริง และบางความจริงกลับถูกความลับเมินเฉยอย่างไม่ไยดี

ความงดงามของฟุตบอลโลกวันนี้ เคยเปื้อนเลือดจากประวัติศาสตร์ความตายของนักฟุตบอลโลกที่ชื่อ อันเดรส เอสโคบาร์

อาจเป็นความโชคร้ายที่ อันเดรส เอสโคบาร์ เกิดในเมืองที่เงินและโคเคนสามารถทำลายได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งคุณค่าความเป็นมนุษย์

เจ้าของร้าน ATV ที่ตั้งอยู่บริเวณลานจอดรถ จุดที่อันเดรส เอสโคบาร์ ถูกยิงตาย กล่าวไว้เช่นนั้น


อ้างอิงข้อมูลจาก:
firstpost.com
smh.com.au
foxnews.com
fourfourtwo.com
theguardian.com
quora.com
en.wikipedia.org

Author

กองบรรณาธิการ
ทีมงานหลากวัยหลายรุ่น แต่ร่วมโต๊ะความคิด แลกเปลี่ยนบทสนทนา แชร์ความคิด นวดให้แน่น คนให้เข้ม เขย่าให้ตกผลึก ผลิตเนื้อหาออกมาในนามกองบรรณาธิการ WAY

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า