วันรวมญาติของดานี่

ในบรรดาคนไร้บ้านที่เล่าชีวิตภูมิหลังก่อนจะมาเป็นคนไร้บ้านให้ผมฟัง ดานี่เป็นคนที่เล่าเรื่องอย่างมีชั้นมีเชิงที่สุด ดานี่ค่อยๆ เผยเรื่องราวของเขาออกมาอย่างเนียนๆ เพื่อให้ดูเหมือนว่า สิ่งที่เขายังไม่ได้บอกผมในตอนแรกนั้น ไม่ได้เป็นเจตนาที่จะโกหกหรือปกปิดผม

“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน ยังมีอีก ฉันเล่าข้ามไปตอนแรก เพราะไม่แน่ใจว่า นายจะมีเวลาฟังเรื่องฉันละเอียดๆ มั้ย…นายมีเวลานี่ ฉันจะบอกรายละเอียดให้ฟัง” นี่คือตัวอย่างชั้นเชิงของดานี่

ผมยังจำวันที่ผมเห็นดานี่ครั้งแรก ขณะที่เขากำลังขายพลาสติกปูนั่งอยู่ในสวน และผมเพิ่งกลับไปฟิลิปปินส์ในปี 2556 ผมนึกอยู่ในใจว่า ‘เดี๋ยวนี้ คนไม่มีบ้านก็มาขายพลาสติกด้วยแล้ว’ เพราะเขาดูไม่เหมือนคนไร้บ้าน แม้จะใส่กางเกงขาสั้น แต่เสื้อผ้าของชายวัยห้าสิบกลางๆ ผู้นี้ดูสะอาด  รูปร่างเขาสูงใหญ่กว่าคนฟิลิปปินส์ทั่วไป มีผมบางเหมือน ‘เสี่ย’ แม้ผิวจะแดงกร้านจากแดด แต่ก็ยังเหลือแววคนมีบ้าน

หลังจากนั้น ผมก็รู้ว่า เขาเป็นหนึ่งในคนขายกระดาษในกลุ่มเดียวกับอาเตะอาร์ลีน พี่สาวข้างถนนที่ผมนับถือ เมื่อรู้ว่าผมเป็นคนไทยมาศึกษาชีวิตคนไร้บ้าน ดานี่ก็สนใจพูดคุยกับผมด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว เขาบอกเรื่องราวของตัวเองสั้นๆ ว่า เขาไม่เคยมีลูกเมีย มีพี่น้องมีฐานะดี สมัยหนุ่มๆ ช่วยพี่น้องดูแลขับรถรับส่งหลานๆ ไปโรงเรียน กระทั่งหลานโตหมดแล้ว จึงรู้สึกว่าตัวเองหมดหน้าที่และกลายเป็นส่วนเกินของครอบครัว

“พี่น้อง เขาไม่ได้ไล่ฉันตรงๆ หรอก เขาแค่เฉยๆ ชาๆ ถามว่า ‘วันนี้ไม่ทำไรเหรอ’ แค่นี้ ฉันก็รู้แล้วว่า เขาไม่เต็มใจให้ฉันอยู่บ้าน” นั่นเป็นคำบอกเล่าชุดแรกที่ดานี่บอกผม เมื่อเรารู้จักกันใหม่ๆ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง

“วันแรกที่ฉันมาที่นี่แล้วไปรอรับแจกข้าวที่บุมไบย์ [วัดซิกข์] มีคนถามฉันว่า ‘พี่ชาย แน่ใจเหรอว่ามาถูกที่’ …เมื่อก่อน ฉันขาว และอ้วนกว่านี้ ไม่เหมือนคนไร้บ้านเลย” ดานี่เล่าความหลังเมื่อเขาเริ่มมาเป็นคนไร้บ้านเมื่อเกือบสองปีที่แล้ว

จากคนที่เคยอยู่บ้านที่มีห้องนอนส่วนตัวของตัวเอง มีอาหารกินครบสามมื้อ ดานี่กลายมาเป็นคนไร้บ้าน และเริ่มต้นใช้ชีวิตข้างถนนเหมือนหลายคน คือ ไปกินข้าวตามโครงการแจกอาหาร ไม่ใช่แค่ลำบากทางกาย แต่เป็นเรื่องทางความรู้สึกที่พบว่าตัวเองต้องตกต่ำกลายมาเป็นคนรอรับแจกข้าวมื้อต่อมื้อ

ต่อมาเมื่อดานี่รู้วิธีหาเงินด้วยการขายพลาสติกปูนั่งให้คนที่มาเที่ยวสวน โดยเฉพาะการอยู่ในกลุ่มอาเตะอาร์ลีน ที่แต่ละคนต่างก็สุภาพ ไม่ได้มีภูมิหลังเกะกะเกเร ทำให้ดานี่ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไร้บ้านแบบล่างๆ

เมื่อผมรู้จักดานี่นานขึ้น เขาสอนให้ผมเข้าใจจุดหักเหและเหตุของการใช้ยาเสพติดดีขึ้นกว่าเดิม ดานี่เรียนแค่มัธยมปีสองก็ออกจากโรงเรียนเพราะความเกเร ส่วนที่เขาพูดภาษาอังกฤษได้นั้น เพราะเขาเคยเข้าโครงการบำบัดยาเสพติด และติดคุก จึงใช้เวลาช่วงที่อยู่ในนั้น อ่านหนังสือภาษาอังกฤษ

จากพล็อตชีวิตง่ายๆ ว่าด้วยคนสูงวัยที่ไม่อยากอยู่บ้านเป็นภาระพี่น้อง กลายเป็นมียาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้อง   

ไม่น่าเชื่อว่า ชายที่โตมาในครอบครัวฐานะปานกลางที่พ่อพยายามสรรหาสิ่งดีๆ ให้เขา กลับกลายเป็นเคราะห์ร้ายสำหรับเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ

พ่อของดานี่มีเชื้อสายทางสเปนผ่านปู่ เรียนจบมหาวิทยาลัย เป็นหัวหน้าสำนักงานของโรงเรียนเอกชนราคาแพงในเมืองซาน ฮวน (San Juan) ย่านผู้ดีแห่งหนึ่งของเมโทรมะนิลา และดานี่ก็ได้เรียนในโรงเรียนที่พ่อทำงานอยู่ ว่ากันตามจริง ลำพังเงินเดือนพ่อของเขาไม่มีปัญญาส่งดานี่เข้าโรงเรียนนี้ แต่ที่ดานี่ได้เรียนก็เพราะโรงเรียนอนุญาตให้เรียนฟรี จุดนี้เองกลายเป็นปมที่ผลักให้ชีวิตของดานี่ยุ่งเหยิง

แม้ดานี่จะได้เรียนฟรี แต่ไลฟ์สไตล์ด้านอื่นๆ ของเขาไม่สามารถเข้ากับเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ต่างเป็นลูกผู้ดีมีเงิน ทำให้ดานี่รู้สึกมีปมด้อย ไม่สนุกกับการไปโรงเรียน ท้ายที่สุดก็ออกจากโรงเรียนขณะเรียนแค่ ม.2 และก็เริ่มคบหาเพื่อนใกล้บ้าน ที่มีย่านสลัมอยู่ใกล้ๆ เริ่มต้นสูบกัญชา และต่อมาก็ขาย แต่ไม่เคยถูกจับ เพราะมีขาใหญ่คุ้มครองให้

ช่วงเวลาไล่ๆ กัน ครอบครัวของดานี่ ก็เจอปัญหามากขึ้นอีก เมื่อแม่เขาป่วยเป็นมะเร็ง ต้องต่อสู้กับมะเร็งอยู่สามปีก่อนจะเสียชีวิต ขณะที่ดานี่อายุเพียง 13 ปี ในระหว่างที่แม่ป่วยนี้ พ่อต้องหยิบยืมเงินจากพี่น้องมาเป็นค่ารักษาแม่ จนครอบครัวเป็นหนี้มากมาย

อย่างไรก็ดี พี่สาวคนโตของดานี่ เป็นคนสู้ชีวิต ได้ก้าวขึ้นมาเป็นเสาหลักของครอบครัว หลังจากพ่อของดานี่เสียตามไปอีกคน เธอค่อยๆ ทำงานสร้างเนื้อสร้างตัว กระทั่งมีธุรกิจตัดเย็บเสื้อผ้าของตัวเอง

ส่วนดานี่ ไม่ได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน เพียงแต่ช่วยพี่น้องดูแลลูกๆ ของพี่สาวและน้องชาย เช่น ขับรถส่งหลานไปเรียนและรับกลับบ้าน พร้อมได้เงินจากพี่สาวเป็นค่ากินอยู่ และเขาก็ใช้เงินนี่เองไปกับ ชาบู (ยาเสพติดประเภทเดียวกับยาบ้าบ้านเรา) กระทั่งพี่สาวจับได้ จึงส่งเขาเข้าสถานบำบัดยาเสพติด

“ตอนนั้นฉันอายุ 28 ฉันจำได้ มันเป็นครั้งแรกที่ฉันไม่ได้อยู่ฉลองคริสต์มาสกับพี่น้อง” ดานี่รำลึกถึงความทรงจำของเขา

การถูกส่งเข้าสถานบำบัดโดยที่เขาไม่เต็มใจ ทำให้ดานี่แหกโปรแกรม จากที่ต้องอยู่ 6 เดือน ดานี่หนีออกมาเมื่อผ่านไปได้ครึ่งทาง

ดานี่รู้ว่าพี่สาวเขาคงโกรธมาก หากรู้ว่า เขาไม่เข้าโปรแกรมจนครบ เขาจึงไม่กลับบ้าน แต่ไปอาศัยอยู่กับเพื่อนแทน และเมื่อขาดเงินช่วยเหลือจากพี่สาว ดานี่ก็ต้องปล่อยยาเพื่อจะได้มีเงินเสพ ผ่านไปสามสี่ปี พอรู้จากเพื่อนว่า พี่สาวเขาส่งน้องชายให้มาถามหาเขา เป็นสัญญาณว่า พี่น้องน่าจะหายโกรธและให้อภัยเขาแล้ว เขาจึงกลับบ้าน

“ฉันกลับบ้านในวันคริสต์มาสพอดี เพราะนั่นเป็นวันที่พี่น้องต้องอยู่ฉลองกัน ฉันรู้ดีว่า พวกเขาไม่มีทางปิดประตูไล่ฉันในวันคริสต์มาส” ดานี่บอก พร้อมเผยว่า ถึงยังไงเขากับอีกสามพี่น้องก็ผูกพันกันสูง โดยเฉพาะเมื่อทั้งพ่อและแม่ต่างเสียชีวิตแล้ว

ดานี่กลับไปอยู่กับพี่น้อง ที่ขณะนี้พี่สาวของเขามีฐานะการเงินดีขึ้นมาก ถึงขนาดออกไปซื้อบ้านหลังใหญ่แยกกันอยู่ ส่วนตัวเขาอยู่กับน้องชายในบ้านที่พ่อแม่เคยอยู่ โดยมีพี่สาวช่วยเหลือด้านกินอยู่ แต่สิ่งที่เขายังไม่อาจตัดขาดได้ ก็คือ ชาบู จนในที่สุด เขาก็ต้องถูกจับอีกครั้ง พร้อมกับชาบูในปริมาณที่มากพอจะโดนข้อหาจำหน่ายไม่ใช่แค่ผู้เสพ พี่สาวของดานี่ก็ยังเป็นห่วงน้อง จ่ายเงินให้ตำรวจ เพื่อให้ดานี่โดนข้อหาแค่ผู้เสพไม่ใช่ผู้จำหน่าย เขาจึงถูกส่งเข้าคุก 6 เดือน

“มันเป็นปีที่ไม่ดีสำหรับฉันเลย ที่ต้องอยู่ในห้องขังแทนที่จะฉลองคริสต์มาสกับพี่น้อง” ดานี่รำพึง

หลังจากออกจากคุก ดานี่กลับไปอยู่ที่บ้านกับน้องชาย และหางานทำเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาพอมีทักษะก็คือ เป็นพนักงานขับรถให้กับบริษัท และก็แอบใช้ยา จนเป็นเรื่องให้ต้องออกจากบ้านอีกครั้ง เพราะเขาเอาเงินที่พี่สาวให้ไปต่อทะเบียนรถทุกปี ไปซื้อยาเสพ กระทั่งรถคันนั้นเกิดอุบัติเหตุ เรื่องจึงแดงว่า รถของที่บ้านขาดต่อทะเบียนมาสามปีแล้ว

พอเกิดเหตุเรื่องนี้ ดานี่เขียนโน้ตทิ้งไว้สั้นๆ ว่า หากเขาไม่อยู่สักคนแล้ว พี่น้องก็คงมีปัญหาน้อยลง ก่อนจะพาตัวเองออกมาที่ข้างถนน

“ฉันรู้ข้อเสียของตัวฉันเอง คือ ฉันไม่กล้าเผชิญกับปัญหา ถ้ามีปัญหาแล้วฉันจะหนีปัญหา ฉันต้องออกมารอจนกว่าพี่น้องเขาจะใจเย็น เลิกโกรธฉัน และให้อภัยฉันแล้ว นั่นแหละ ฉันถึงจะกลับบ้าน แต่ไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน” ดานี่บอก

ถึงตอนนี้ดานี่สรุปบทเรียนชีวิตของเขาว่า ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นเงินมีค่า เพราะมันได้มาง่ายๆ และก็ใช้ไปง่ายๆ กับชาบู จนกระทั่งชีวิตข้างถนนสอนให้รู้ว่า เงินหายากเพียงใด และเมื่อหาเงินได้ก็ต้องเอาไปซื้อข้าวก่อนจะใช้ยา

ดานี่ยังรอวันที่พี่น้องจะให้อภัยเขาอีกครั้ง ระหว่างนี้เขาได้แต่สื่อสารบอกพี่น้องว่า เขายังไม่ตาย

ที่ฟิลิปปินส์มีวันระลึกถึงญาติที่ล่วงลับไปแล้ว เรียกว่า อาราว นัง ปาตาย (araw ng mga Patay – Day of the Dead) ตรงกับวันที่ 1 พฤศจิกายนของทุกปีและเป็นวันหยุด ที่สุสานต่างๆ ของเมืองจะเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ที่พากันไปจุดเทียนและวางดอกไม้รำลึกถึงญาติที่ล่วงลับไปแล้ว คล้ายๆ กับช่วงเทศกาลเช็งเม้งของคนจีน

“ฉันจะไปที่หลุมฝังศพของพ่อแม่ฉัน ตั้งแต่วันที่ 31 ตุลา เอาดอกไม้ไปวาง พอวันที่ 1 พี่น้องฉันมาเคารพศพ เขาจะเห็นดอกไม้ เรามีกันเองสี่พี่น้อง ถ้าไม่ใช่ของพวกเขาสามคนก็ต้องเป็นของฉัน เขาก็จะรู้เองว่า ฉันยังไม่ตาย และยังคิดถึงพ่อแม่ของฉันอยู่” ดานี่พูดจบก็เบือนหน้า ซ่อนดวงตาแดงก่ำของเขา

Author

บุญเลิศ วิเศษปรีชา
บุญเลิศ วิเศษปรีชา เป็นนักวิชาการ รักงานเขียน และมีประสบการณ์ทำงานเคลื่อนไหวทางสังคม งานเขียนชุด ‘สายสตรีท: เรื่องเล่าข้างถนนจากมะนิลา' ที่ทยอยเผยแพร่ตลอดปีที่ผ่านมาใน waymagazine.org สะท้อนให้เห็นระเบียบวิธีทำงานภาคสนามของนักมานุษยวิทยา ขณะเดียวกันก็แสดงธาตุของนักเขียนนักเล่าเรื่อง นอกจากเรื่องเล่าของคนชายขอบแล้ว บุญเลิศยังสนใจภาพใหญ่ของสังคมการเมือง เพราะเป็นปัจจัยสำคัญต่อชีวิตที่มีลมหายใจ ไม่ว่าชีวิตนั้นจะอยู่ในหรือนอกบ้าน

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า