ในอดีต มื้อเย็นของวันเสาร์อาทิตย์จะเป็นมื้อที่ทุกคนต้องทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ใครไม่มาช่วยจัดโต๊ะอาหารหรือเดินไปช่วยเตรียมกับข้าวละก็ จะต้องได้ยินเสียงแม่ตะโกนจากหลังบ้านมาหน้าบ้านแน่ๆ
แต่ปัจจุบัน ด้วยบริบทของสังคมที่เปลี่ยนไป บางครอบครัวพ่อแม่ทำงานกันทั้งคู่ การรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาจึงเป็นเรื่องยาก ต้องมานั่งรอคนนี้เลิกงานทีหรือรอลูกกลับจากทีเรียนพิเศษทีหนึ่งคงไม่ไหว
สุดท้ายส่งผลให้การรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาของบางครอบครัวกลายเป็นอีเวนต์สำคัญ ไม่ต่างจากวันเกิดหรือเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสสำคัญต่างๆ
แต่งานวิจัยที่หยิบยกขึ้นมาต่อไปนี้ คงต้องทำให้หลายครอบครัวคิดใหม่ ลองใหม่
เพราะล่าสุด งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมอนทรีออล (Université de Montréal) ประเทศแคนาดา ซึ่งถูกตีพิมพ์ลงวารสารวิชาการ Journal of Developmental & Behavioral Pediatrics เมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา เปิดเผยว่า การรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันของครอบครัวช่วยเสริมสร้างทักษะสังคมและชีวิตให้กับเด็ก
“ในอดีต นักวิจัยยังเห็นภาพไม่ชัดเจนของสาเหตุอะไรที่ทำให้ครอบครัวที่รับประทานอาหารร่วมกันถึงมีสุขภาพที่ดีกว่า รวมถึงการวัดความถี่ของครอบครัวที่กินอาหารร่วมกันและเด็กๆ ทำอะไรอยู่ในขณะนั้น ก็ไม่อาจจับภาพความซับซ้อนด้านสิ่งแวดล้อมได้
“ดังนั้นงานวิจัยของเราจึงช่วยให้เห็นภาพความเชื่อมโยงเชิงบวกระหว่างการกินอาหารพร้อมหน้ากับครอบครัวว่าสัมพันธ์กับสุขภาพวัยรุ่นอย่างไร” ลินดา ปากานี (Linda Pagani) อาจารย์ด้านสุขภาพจิตศึกษาและอาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัยดังกล่าว อธิบาย
โดยคณะวิจัยได้ติดตามเด็กจากกลุ่ม Quebec Longitudinal Study of Child Development ซึ่งเกิดในช่วงปี 1997-1998 อายุตั้งแต่ 5 เดือน โดยเริ่มให้ผู้ปกครองส่งรายงานเกี่ยวกับคุณภาพของสภาพแวดล้อมบนโต๊ะอาหาร และความถี่ของการรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัวเมื่ออายุครบ 6 ขวบ จากนั้นจึงเริ่มสรุปชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเด็กๆ ตอนอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่พวกเขากำลังเริ่มค้นหาตัวตนและเป็นตัวของตัวเอง
ปากานีอธิบายถึงสาเหตุที่ต้องติดตามเด็กอย่างยาวนานและต่อเนื่องว่า
“เราตัดสินใจมองไปที่อิทธิพลระยะยาวจากการกินอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันของครอบครัว และได้ติดตามเป็นประจำตลอดช่วงระยะเวลาดังกล่าว การศึกษาของเราจึงเป็นการพิจารณาถึงความคาดหวังร่วมกัน คุณภาพสิ่งแวดล้อมของประสบการณ์มื้ออาหารที่รับประทานอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวตอนอายุ 6 ปีและเปรียบเทียบกับความเป็นอยู่ที่ดีของเด็กตอนอายุ 10 ปีของเด็กที่เกิดปีเดียวกัน”
จากการติดตามมาอย่างยาวนานจึงได้ข้อสรุปว่า เด็กที่นั่งกินอาหารร่วมกับครอบครัวเป็นประจำทุกวันตั้งแต่ 6 ขวบจนถึง 10 ปี มีแนวโน้มที่จะมีทักษะทางสังคมสูงกว่าและมีสุขภาพจิตที่ดีกว่า ตรงข้ามกับอีกกลุ่มที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์บนโต๊ะอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว เมื่ออายุ 10 ปีพวกเขาจึงมีพฤติกรรมก้าวร้าวกว่า เกเร และไม่ค่อยเชื่อฟัง
“ผลการวิจัยของเราชี้ให้เห็นว่า การรับประทานอาหารร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัวเป็นเป้าหมายของผู้ปกครองเกี่ยวกับการพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของเด็กๆ” ปากานีกล่าว
เหตุผลสำคัญคือ การนั่งรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัวถือเป็นช่วงเวลาที่พ่อแม่ได้ทำหน้าที่เป็นเหมือนโค้ชสอนทักษะทางสังคมและทักษะในการสื่อสาร เช่น การเป็นผู้ฟังที่ดี การพูดคุยและโต้เถียงในประเด็นสังคมในปัจจุบัน เรียนรู้การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รวมถึงการปกป้องอารมณ์ของตัวเองและไม่แสดงอารมณ์ของตัวเองในระหว่างรับประทานอาหารอย่างสุดโต่งมากจนเกินไป
การพูดคุยบนโต๊ะอาหารจึงเป็นเหมือนสนามทดลองฝีมือเพื่อเพิ่มพูนทักษะทางสังคมต่างๆ ก่อนที่จะไปเจอสังคมกลุ่มอื่นๆ
รู้แบบนี้แล้วต่อไปนี้ คุณพ่อคุณแม่คงต้องหาเวลากินข้าวนั่งโต๊ะร่วมกันกับลูกๆ บ้างแล้ว
อ้างอิงข้อมูลจาก:
sciencedaily.com