ไม่นานมานี้มีความกังวลผ่านหน้าฟีดข่าวถึงบรรดา ‘คน Gen Y’ ว่าเป็นพวกใช้เงินฟุ่มเฟือย เป็นหนี้บัตรเครดิตท่วมหัว ไม่รู้จักเก็บหอมรอมริบเพื่ออนาคต
“เด็กสมัยนี้มันเป็นยังไงกัน…” พ่อๆ แม่ๆ และลุงคงรำพึงประมาณนี้อย่างเป็นกังวล
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2019/12/lung-100-992x1000.jpg)
เข้าใจได้ไม่ยากว่า แคมเปญลดราคาต่างๆ บนเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ยอดฮิต ไล่มาตั้งแต่ 9.9 10.10 11.11 Black Friday 12.12 คริสต์มาส ฯลฯ ชาว Gen Y จำนวนมหาศาลคงคลิกเมาส์ไถหน้าจอสมาร์ทโฟนแล้วกดจ่ายเงินกันอย่างสนุกมือ หนึ่ง-เพราะการใช้จ่ายง่ายๆ ในวันนี้คือความสุขประเภทหนึ่ง สอง-สินค้าต่างๆ ที่หั่นราคาลงหลายเปอร์เซ็นต์ล้วนเป็น ‘ของมันต้องมี’ ในยุคสมัยนี้ทั้งนั้น
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2019/12/matterials.png)
เป็นความสุขแบบฉาบฉวย รวดเร็ว สำเร็จรูป ซื้อก่อนผ่อนทีหลัง ต้องการทุกสิ่งอย่างด่วนๆ ชนิดไม่ยอมรอ
“ก็ความสุขมันอยู่ในชาตินี้นี่แม่” ลูกๆ ตอบกลับไปแบบนี้
กางดูเหตุผล จริงหรือที่ว่าคน Gen Y คิดไม่เป็น อาจเพราะความแตกต่างระหว่าง generation แนวคิดต่อชีวิตที่ไม่เหมือนกัน สภาพสังคมที่เปลี่ยนไป กระทั่งความมืดมนของอนาคตที่คนรุ่นหลังไม่มีความหวังจะเดินไปข้างหน้า
ทำไม ‘ความสุขด่วนๆ ของวันนี้’ ที่น่าจะเป็นเรื่องดีๆ ถึงได้ถูกมองว่าเป็นประเด็นปัญหาแห่งยุคสมัย
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2019/12/instant2.png)
ความสุขสำเร็จรูป
‘สำเร็จรูป’ ในบริบทของอาหาร เราพบได้ในถ้วย ซอง ถาด ถ้วยพลาสติกในตู้แช่แข็งจากร้านสะดวกซื้อ อาหารเหล่านี้ดูเข้าท่าเข้าทีกว่าฟาสต์ฟู้ด ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ได้กิน…สำเร็จรูปดีแท้
ความสำเร็จรูป (instant) หรือความด่วน ทันที (immidiate) คือการไม่ต้องคอย ไม่ดีเลย์
หากนำความสุขไปบวกคุณศัพท์ความด่วนและสำเร็จรูป ผลลัพธ์คือ instant gratification ความสุขสำเร็จรูปที่ไม่ต้องรอ สุขวันนี้ สบายวันนี้ อนาคตมันเรื่องมายา เพราะชีวิตตอนนี้นี่แหละคือของจริง
หลายๆ ตัวอย่างทั่วโลกแสดงให้เห็นพฤติกรรมความสุขที่ด่วนและสำเร็จรูปมากขึ้น ทั้งอาหารส่งถึงบ้าน ความบันเทิงผ่านสตรีมมิ่งโดยไม่ต้องก้าวขาออกจากบ้าน ช็อปปิ้งออนไลน์ อัลกอริธึมที่ทำให้เรารู้จักกับคนที่ใช่และมีรสนิยมตรงกันได้ง่ายๆ หรือกระทั่งปัดสมาร์ทโฟนหาคู่แล้วแยกย้าย กลายเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ต้องมีพันธะ ไม่ต้องรับผิดชอบระยะยาว-ทั้งหมดนี้เพื่อความสุขวันนี้เท่านั้น
ถ้าวิถีของชาว Millennials หรือ Gen Y คือ instant gratification แนวคิดของคนรุ่นก่อน โดยเฉพาะ Baby Boomers เป็นสิ่งตรงข้าม นั่นคือความสุขแบบอดทนรอ (daleyed gratification) มองการณ์ไกลอย่างรอบคอบ
ไม่ใช่เรื่องแปลก หากย้อนไปยังสังคมอดีต บรรพบุรุษของมนุษย์เรียนรู้การสะสมอาหารไว้เพื่อความอยู่รอด ประสบการณ์สอนพวกเขาว่า การกินและใช้ทุกอย่างที่เก็บมาได้ให้หมดไปอย่างรวดเร็วอาจมีราคาต้องจ่ายด้วยชีวิต เกิดภาวะขาดแคลน
เมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน หากมองด้วยแว่นตาของคนรุ่นก่อนๆ ที่ผ่านมา มันเป็นเรื่องง่ายมากๆ ที่จะอคติกับคนใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และมองว่าคนอดเปรี้ยวไว้กินหวาน อดทน ต่อสู้ เป็นคนเฉลียวฉลาดกว่า แต่ราคาของคนรุ่นที่มองอนาคต ทำทุกอย่างเพื่ออนาคต คือต้องอยู่กับปัจจุบันที่ดิ้นรน ปฏิเสธความต้องการ ความสุขเป็นจินตนาการอยู่ใน ‘สักวันหนึ่งข้างหน้า’
หรือไม่ก็ ‘ชาติหน้า’
นับเป็นโชคของคนรุ่นก่อนที่ ‘สักวันที่ดีกว่า’ มองจากคาบสมัยนั้นยังพอมองเห็นเงาเป็นเค้าลาง แต่ถ้าอนาคตของ Millennials หรือ Gen Y อยู่ในความมืดที่ดูสิ้นหวังล่ะ พวกเขาควรมีความสุขอย่างไร
ขอไปต่อ ไม่รอแล้วนะ
คนรุ่น Millennials หรือ Gen Y คือมนุษย์ที่เกิดระหว่างปี 1981-1996 นับว่าเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของโลก เป็นแรงงานหลัก ขณะเดียวกันก็เป็นผู้บริโภคจำนวนมหาศาล
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2019/12/gen-y.png)
instant gratification คือการไขว่คว้าหาความสุขแบบเร่งด่วน เติมเต็มชีวิตโดยไม่ ‘ดีเลย์’ หรือยืดเยื้อ
ความสุขแบบเร่งด่วนถูกเร่งปฏิกิริยามากขึ้นด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ การแสวงหาความพึงพอใจของมนุษย์คือการซื้อประสบการณ์ความสุขมาเพื่อสนองความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นทางวัตถุหรือไม่
เมื่อทุกอย่างถูกคลุมด้วยนิยาม ‘สำเร็จรูป’ และ ‘ไม่ดีเลย์’ คน Gen Y ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความรู้สึกว่า ‘ต้องรอ’ จนบ้างครั้งก็มองข้ามความสามารถใน ‘การจ่าย’
วัยรุ่นของคน Gen Y อยู่ในช่วงปลายของการต่ออินเทอร์เน็ตผ่านสายโทรศัพท์ การท่องโลกไซเบอร์ไม่ใช่การเปิดปุ๊บติดปั๊บ แต่คือการนั่งฟังเสียงน่ารำคาญของโมเด็มพักใหญ่ๆ กว่า Hotmail จะปรากฏบนหน้าจอไม่ได้ใช้เวลาน้อยๆ
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2019/12/now.png)
หลังจากนั้น คำว่า ‘รอ’ ก็หายไปจากชีวิต Gen Y โดยสิ้นเชิง เพราะระบบออนไลน์กลายเป็นสิ่งที่วิ่งคู่ขนานไปกับสังคม คนร่วมสมัยทศวรรษที่ 1990s-2000s เติบโตมากับวัฒนธรรมดิจิตอล ทุกวันนี้มีสมาร์ทโฟนในมือ ใช้เวลาอยู่ในโลกออนไลน์มากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน ส่งและรับข้อความทางโซเชียลมีเดียนับพันต่อเดือน เปิดปิดแอพพลิเคชั่นด้วยเวลาหลักวินาที รับส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ข้อมูลการงานถูกโยนไปเก็บไว้ในอากาศ โซเชียลมีเดียล่มกลายเป็นข่าวใหญ่ ขณะที่หากประเทศหนึ่งทำการตัดอินเทอร์เน็ตเท่ากับว่าประเทศนั้นถูก ‘ตัดขาดจากโลกภายนอก’ ไปโดยอัตโนมัติ
จินตนาการการเปลี่ยนความหมายของคำว่า ‘รอ’ ในยุคสมัยง่ายๆ หากโฆษณา 10 วินาทีก่อนดูมิวสิควิดีโอในยูทูบเป็นเรื่องน่ารำคาญ นั่นแหละ ตัวอย่างฉบับย่อของความรู้สึกแบบคน Gen Y
เอาขนมของข้ามา ‘เดี๋ยวนี้’
ทศวรรษ 1960s ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด วอลเตอร์ มิเชล (Walter Mischel) ได้ทำการทดลองความอดทนและการยับยั้งชั่งใจที่เรียกกันว่า Marshmallow Test
มิเชลเลือกลุ่มทดลองเป็นเด็กอายุตั้งแต่ 4-6 ขวบ ประมาณ 600 คน โดยให้แต่ละคนเลือกขนมที่ตัวเองชอบไว้คนละหนึ่งอย่าง มาร์ชเมลโลว์เป็นหนึ่งในขนมเหล่านั้น
จากนั้นเด็กจะถูกพาไปนั่งในห้องที่สามารถมองผ่านกระจกได้จากข้างนอก ในนั้นมีเพียงโต๊ะและเก้าอี้ บนโต๊ะมีขนมที่ชอบอยู่หนึ่งชิ้นกับอีกสองชิ้นที่มุมโต๊ะ และกระดิ่งอีกหนึ่งอัน สิ่งที่เด็กต้องทำคือ เมื่อเจ้าหน้าที่ออกไปจากห้องแล้ว เด็กสามารถสั่นกระดิ่ง เจ้าหน้าที่จะกลับมา จากนั้นเด็กจะได้กินขนมหนึ่งชิ้น แต่หากเด็กรอให้เจ้าหน้าที่กลับมาเองภายใน 15 นาทีโดยไม่ต้องสั่นกระดิ่ง เด็กจะได้กินขนมสองชิ้น
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2019/12/marshmallow-test-self-control-Score-Addicaid-3-.jpg)
Marshmallow Test คือการทดสอบวุฒิภาวะทางอารมณ์ การควบคุมตัวเอง การยับยั้งชั่งใจ ซึ่งการทดลองที่มีชื่อเสียงนี้ได้ติดตามผลมาจนผู้ร่วมการทดลองอายุมากขึ้นเรื่อยๆ และพบว่าเด็กที่มีความอดทนมากกว่าในวันนั้นมีแนวโน้มจะประสบผลสำเร็จในชีวิตมากกว่าในวันนี้
แล้วคน Gen Y จะสอบตกการทดลองนี้ยกแผงหรือเปล่า เพราะดังที่กล่าวไว้ Gen Y มักถูกมองว่าไม่ประหยัด ตามใจตัวเอง จับจด ไม่ยึดถืออะไรเป็นสมบัติถาวร มองข้ามอนาคตมาหาความสุขในปัจจุบัน – แน่นอนว่าขนมมาร์ชเมลโลว์คงถูกกินไปอย่างรวดเร็ว
ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งอาจอยู่ที่ยุคสมัยและประสบการณ์ร่วมในยุคนั้น
Millennials หรือ Gen Y โตมาในยุคที่การถือครองทรัพย์สินระยะยาวและระบบเศรษฐกิจแบบเก่าล่มสลายเกิดวิกฤตการณ์มาหลายครั้งในช่วงคาบเกี่ยวสหัสวรรษใหม่ ทั้งต้มยำกุ้ง และแฮมเบอร์เกอร์ โดยเฉพาะ Baby Boomers จำนวนไม่น้อยที่ว่าพยายามอดทนเพื่อจะมีความสุขใน ‘สักวันหนึ่งข้างหน้า’ ต้องเผชิญความสูญเสียเมื่อวิกฤติมาเยือน ทำให้คนรุ่นหลังมองว่า การเก็บเงินไว้ใช้ในยามชราหลังเกษียณเหมือนที่ถูกสั่งสอนมาก็ไม่ใช่วิธีที่ได้ผลกับการอยู่บนโลกใบนี้เสมอไป
ดังนั้น ถ้ามองในด้านเงินทอง พวกเขาไม่ได้อับจนปัญญาหารายได้ขนาดนั้น แต่วิธีคิดแบบเก่าๆ ที่แสดงให้เห็นแล้วว่า ‘ล้มเหลว’ ทำให้ Gen Y เลือกใช้ชีวิตอีกทาง เพราะคิดถึงอนาคตไปก็เท่านั้น
อีกประการณ์หนึ่ง แน่นอนว่าความเหลื่อมล้ำในหลายทางยังมีอยู่ มีชนชั้นกลางที่ดิ้นรน กับผู้อยู่ใต้เส้นความยากจนที่พยายามอยู่รอด แต่ความได้เปรียบเมื่อเทียบกับคนรุ่นก่อนหน้าคือ ชาว Gen Y มีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง ความคล้ายคลึงกันในหลายประเทศคือ คนรุ่นนี้มีหนี้กู้ยืมด้านการศึกษาไม่น้อย และเนื่องจากพวกเขากำลังกลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ในตลาดแรงงาน การแข่งขันจึงสูง โอกาสได้งานต่ำ รัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาหรือยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้ทั่วถึง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การชุมนุมในหลายพื้นที่ทั่วโลกเริ่มต้นจากเรื่องแบบนี้
และนี่คือวิกฤติที่ Gen Y มองเห็นแล้ว อนาคตที่มืดมน
ช่างแม่ง จ่ายๆ ไปเถอะ
ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เกิดคำศัพท์ใหม่ที่สะท้อนพฤติกรรมการใช้เงินของคนหนุ่มสาวในประเทศเกาหลีใต้ที่หลายคนตัดสินใจเลือกใช้เงินแทนการเก็บออม นั่นคือ Shibal Biyong (시발비용) ออกเสียงว่า (ชิบัล-บิยง) มีความหมายว่า ‘fuck-it expense’ แปลเป็นสำนวนไทยเฟี้ยวๆ ได้ว่า “ช่างแม่ง จ่ายๆ ไปเถอะ”
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2019/12/korean.png)
การอดออม อดทน ประหยัด รอบคอบการใช้จ่าย เป็นคุณลักษณะของคนรุ่น Baby Boomers พฤติกรรมเช่นนี้ย่อมถูกหล่อหลอมมาจากบริบททางสังคมอีกแบบ Baby Boomers คือคนรุ่นที่เกิดหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงกลางทศวรรษที่ 1970s พวกเขาอยู่ในยุคสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างประเทศด้วยการเพิ่มจำนวนประชากร ปากกัดตีนถีบเพื่อชีวิตที่ดีใน ‘สักวันหนึ่งข้างหน้า’
ถัดมา คาบเกี่ยวถึงคน Gen X ที่ต้องเจอกับคำว่า ‘dream’ ต่างๆ มีรถ มีบ้าน มีครอบครัวอบอุ่น คือความฝันระดับสามัญที่ใครๆ ต้องไปให้ถึง เป็นเครื่องบ่งบอกความมั่นคงที่ลดรูปลงมาจาก Baby Boomers และเมื่อมันดูเป็นเรื่องฝันๆ ที่คนเริ่มถูกฉุดกระชากลากถูกเข้าสู่โลกบริโภคนิยมแบบเต็มตัว เป็นที่มาของประโยคประชดประชันที่ว่า คนเรามักทำงานที่ตัวเองไม่ชอบ เพื่อหาเงินไปซื้อสิ่งที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าต้องการมันจริงๆ หรือเปล่า
แล้วบริบทแบบไหนหล่อหลอมให้เกิดพฤติกรรมแบบ Shibal Biyong
บทความ ‘Why Young Koreans Love to Splurge Shibal Biyong Millennial Fuck it Expense’ อธิบายว่า ถึงที่สุดแล้วนี่คือเรื่องความเหลื่อมล้ำและความสิ้นหวังทางเศรษฐกิจของคนรุ่นใหม่ในสังคมเกาหลี จนทำให้คนเจเนอเรชั่นหนึ่งมีพฤติกรรมและทัศนคติกับชีวิตเช่นนี้
46 เปอร์เซ็นต์ของวัยรุ่นเกาหลีใต้คิดว่าการซื้อบ้านเป็นของตัวเองจะต้องใช้เวลาเก็บเงินมากกว่า 20 ปีหรืออาจเป็นไปไม่ได้เลย พวกเขาต้องอยู่ในสภาพสังคมที่มีแต่ความกดดัน องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) ระบุว่า เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูง แถมยังมีช่องว่างทางรายได้ที่กว้างเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งคาดว่าภายในปี 2020 คนหนุ่มสาวในเกาหลีใต้จะมีพฤติกรรม Shibal Biyong จนแซงการจับจ่ายของคนยุคก่อนหน้า
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2019/12/sushiandbeer-1.png)
“จ่ายๆ แม่งไปเถอะ” “ซื้อไป เดี๋ยวก็ตายแล้ว” “ซื้อเสื้อผ้าหรูๆ ไปเถอะ ยังไงก็เก็บเงินไม่พอซื้อบ้าน” “กินอาหารแพงไปเถอะ ยังไงก็เก็บเงินไม่ทันวัยเกษียณ” มันคืออาการของคนที่ต้องการแสดงความอยากเป็นเจ้าของ พวกเขาอยากควบคุมความสุขให้เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนี้ ไม่อยาก ‘อดเปรี้ยวไว้กินหวาน’ หรือ ‘ลำบากวันนี้สบายวันหน้า’ เช่นคติของคนรุ่นก่อน เหนื่อยไม่ไหวแล้วกับการวิ่งอยู่ในโครงสร้างเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยเหลื่อมล้ำ ต่อให้ออมมากเท่าไร คุณภาพชีวิตของตัวเองก็ไม่ได้ดีขึ้นไปกว่านี้
Shibal Biyong จึงแปรผัน กลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้ เป็นความสุขที่กินได้เลย ไม่ต้องรอ เพราะอย่างไรเสีย การกินอาหารแพงสักมื้อ นั่งแท็กซี่จากออฟฟิศกลับบ้านบ้างในวันที่เหนื่อย ก็ไม่อาจเสกบ้าน เสกรถ เสกที่ดิน เสกเก็บเงินให้ทันวัยเกษียณให้เติบโตอย่างรวดเร็วเหมือนใจหวัง
พฤติกรรมเหล่านี้อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในเกาหลีใต้ Millennials ทั่วโลกก็ตกอยู่ในภาวะนี้เช่นกัน นอกจากความต้องการความพึงพอใจเร่งด่วนแบบ instant gratification การหมดหวังกับอนาคตอันมืดมนก็เป็นปัจจัยสำคัญ จนในสหรัฐอเมริกาเกิดวลี “treat yo’ self.” ที่หมายถึงการใช้จ่ายเพื่อให้รางวัลกับตัวเอง
ของมันต้องมี
รายงานผลการศึกษาพฤติกรรมการเงินจากข้อมูลโซเชียลมีเดียของคนกลุ่ม Gen Y คือ กลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 23-38 ปี จากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ TMB พบว่า คนส่วนใหญ่ฝันอยากมีบ้านและรถยนต์เป็นของตัวเองก่อนอายุ 40 ปี
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2019/12/thai.png)
กว่า 48 เปอร์เซ็นต์อยากมีบ้านเป็นของตัวเอง ขณะที่ความฝันรองลงมาคือการครอบครองรถยนต์ในสัดส่วน 22 เปอร์เซ็นต์ และมีการออมทรัพย์ในอันดับที่ 3 ที่ 13 เปอร์เซ็นต์
แต่ตัวเลข 48 เปอร์เซ็นต์ ที่เป็นความฝันในการซื้อบ้านสามารถทำได้จริงเพียง 12 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ขณะที่ความจริงของการครอบครองรถก็อยู่ที่ 10 เปอร์เซ็นต์ และน้อยลงไปอีกในการมีเงินออมที่ 9 เปอร์เซ็นต์
ในคนกลุ่มอายุระหว่าง 23-38 ปี หรือกลุ่ม Gen Y ที่มีจำนวน 14.4 ล้านคนพบว่าแต่ละปีมีการใช้เงินกว่า 1.37 ล้านล้านบาท โดยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของชาว Gen Y (ราว 7.2 ล้านคน) ทั้งหมดเป็นหนี้และเฉลี่ยภาระหนี้ต่อหัวสูงถึง 4.23 แสนบาท ด้วยเหตุผลเดียวคือ ‘ของมันต้องมี’
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2019/12/6-800x1000.png)
6 อันดับแรก ‘ของมันต้องมี’ ของ Gen Y ได้แก่
- โทรศัพท์ (22%) ในราคาเฉลี่ย 23,574 บาท
- เสื้อผ้า (11%) ในราคาเฉลี่ย 13,719 บาท
- เครื่องสำอาง (8%) ในราคาเฉลี่ย 11,934 บาท
- อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (5%) ในราคาเฉลี่ย 16,486 บาท
- กระเป๋า (4%) ในราคาเฉลี่ย 15,466 บาท
- นาฬิกา/เครื่องประดับ (2%) ในราคาเฉลี่ย 14,324 บาท
ผลสำรวจยังพบว่า คน Gen Y ส่วนใหญ่ซื้อสินค้าเหล่านั้น เพราะกลัวตกกระแส 42 เปอร์เซ็นต์ มากกว่ามองว่าเป็นของจำเป็น 37 เปอร์เซ็นต์ แถมเงินที่ใช้ซื้อ มาจากการกู้ธนาคาร โดยใช้บัตรเครดิต และบัตรกดเงินสด ซึ่งมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ของ Gen Y ผ่อนชำระสินค้าและบริการ แบบเสียดอกเบี้ย
ข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า คน Gen Y มีการกู้เงิน 7.2 ล้านคน คิดเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ของประชากร Gen Y มีภาระหนี้เฉลี่ยคนละ 432,000 บาท ในจำนวนนี้เป็นหนี้เสีย 1.4 ล้านคน เป็นหนี้เสีย 7.1 เปอร์เซ็นต์ ของสินเชื่อทั้งหมดที่มีการผิดนัดชำระ
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2019/12/money-.png)
ทั้งนี้ หากเจาะลึกพฤติกรรมการเงิน และทัศนคติของ Gen Y พบว่า คน Gen Y มากกว่า 6.8 ล้านคน ให้ความสำคัญกับ การใช้จ่าย ‘ของมันต้องมี’ มากกว่า ‘เงินเก็บ’ เพราะทันทีที่เงินเดือนออก คน Gen Y 60 เปอร์เซ็นต์ นำไปชำระหนี้และ ‘ช็อปปิ้ง’ ก่อนเก็บออม อีกทั้งยังเก็บเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์ในสัดส่วนที่สูงซึ่งตรงข้ามกับคน Gen Y ที่มีพฤติกรรม ‘ของมันต้องมี’ แต่เก็บเงินได้ มักวางแผนการเงิน ผ่านบัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูง ลงทุนในหุ้น หรือ ตราสารเงินอื่นๆ
แม้พฤติกรรมระหว่าง Shibal Biyong กับ ของมันต้องมีจะไม่ต่างกัน พวกเขาเติมเต็มความสุขระยะสั้นมากกว่าจะสร้างฝันระยะยาว แต่คำอธิบายของพฤติกรรมนี้ก็ถูกมองจากคนละมุม
คิดซะว่าเช่าเขาอยู่
พิธีกรรมเปลี่ยนผ่านความเป็นผู้ใหญ่ในโลกสมัยใหม่ เริ่มต้นด้วยการผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ลงหลักปักฐานด้วยการแต่งงาน นี่คือความมั่นคงในชีวิต ไม่กี่ปีที่ผ่านเราจะเห็นเทรนด์การใช้ชีวิตของคนหนุ่มสาวทั่วโลกที่เปลี่ยนไป พวกเขาไม่ซื้อรถ ไม่ซื้อบ้าน และไม่แต่งงาน
สิ่งเหล่านี้คือ ‘ความฝัน’ ของคนรุ่นก่อน แต่สำหรับ Gen Y มันคือ ‘ภาระ’ ล้วนๆ
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2019/12/rent-life.jpg)
ประธาน Toyota USA อย่าง จิม เลนต์ซ (Jim Lentz) ต้องออกมาพูดเมื่อปีที่แล้วว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ในอเมริกานั้นท่าจะแย่ เพราะกำลังเผชิญหน้ากับการที่คนรุ่นใหม่ไม่สนใจรถยนต์มากเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว และเป็นเทรนด์ใหม่ที่แม้ไม่ได้ถล่มทลายลงทันที แต่แนวโน้มเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่หยุดยั้ง
แนวโน้มของคนรุ่นใหม่ที่จะต้องแต่งงานก็ลดน้อยลงด้วย พวกเขาอยู่เป็นโสดกันนานขึ้น ถึงจะอยู่ด้วยกันหรือแต่งงานกัน แต่พวกเขาก็เปลี่ยน ‘วิธีคิด’ จากที่เดิมจะต้องเตรียมตัวมีลูกเยอะๆ จึงต้องซื้อ ‘บ้าน’ เอาไว้ในย่านชานเมือง กลายมาเป็นการซื้ออพาร์ตเมนต์ขนาดย่อมๆ พออยู่กันแค่สองคน
สปันดัน ชาร์มา (Spandan Sharma) เป็นหนุ่มชาวอินเดียรุ่น Millennials วัย 29 ปี เขาไม่ได้เป็นเจ้าของห้องคอนโด รถยนต์ หรือแม้กระทั่งเก้าอี้นั่งสักตัวด้วยซ้ำ เขาคือหนึ่งในคน Gen Y จำนวนมากขึ้นทุกทีซึ่งกำลังต่อต้านมาตรฐานปกติที่เคยยึดถือกันมาแต่เดิม โดยแทนที่จะซื้อหามาเป็นเจ้าของ พวกเขากลับนิยมเลือกที่จะเช่าทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่เครื่องเฟอร์นิเจอร์ไปจนถึงไอโฟน
ด้วยเงินค่าเช่าจำนวน 4,247 รูปี (ราว 1,800 บาท) ต่อเดือน ผู้บริหารซึ่งตั้งฐานอยู่ในเมืองมุมไบรายนี้ได้เฟอร์นิเจอร์มาประดับตกแต่งที่พำนักของเขาทั้งชุด ตั้งแต่ห้องนอน ห้องนั่งเล่น และพื้นที่รับประทานอาหาร ไปจนถึงตู้เย็นและเตาไมโครเวฟ
ชาร์มาไม่ได้ใช้ชีวิตเช่นนี้อยู่เพียงคนเดียว หนุ่มสาวอินเดียนับแสนๆ ทีเดียวกำลังเปลี่ยนจากการซื้อมาเป็นการเช่า เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตแบบที่มีข้อผูกพันมัดตรึงลดน้อยลง
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2019/12/furniture.png)
ในอินเดีย ความนิยมที่เพิ่มสูงทำให้เกิดธุรกิจให้เช่าเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์รายใหม่ๆ ในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นต้นว่า Furlenco, RentoMojo และ GrabOnRent – และแม้กระทั่งพวกแอพพลิเคชั่นให้เช่าเครื่องเพชรเครื่องอัญมณี
เฉพาะตลาดให้เช่าเครื่องเฟอร์นิเจอร์ของอินเดียอย่างเดียวเท่านั้น เป็นที่คาดหมายกันว่าจะมีมูลค่าสูงไปถึงระดับ 1,890 ล้านดอลลาร์ได้ภายในปี 2025 ทั้งนี้ตามรายงานของบริษัทที่ปรึกษา รีเสิร์ชเนสเตอร์
พฤติกรรมของลูกค้าโดยภาพรวมกำลังเปลี่ยนแปลงไปจากการเป็นเจ้าของมาเป็นการเช่า โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่น Millennials เนื่องจากความยืดหยุ่นและการไม่ต้องมีภาระผูกพันซึ่งระบบนี้เสนอให้
ความแตกต่างเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนแต่ละรุ่นที่เติบโตมาในบริบททางสังคมที่แตกต่างกัน คนรุ่น Gen Y ไม่คิดเรื่องเพิ่มจำนวนประชากร นั่นอาจทำให้มุมมองต่ออนาคตไม่เหมือน Baby Boomers เพราะความมั่นคงเพื่อประชากรรุ่นลูกหลานไม่ใช่สิ่งพึงคาดหวัง
และเช่นเดียวกัน ถ้าบอกว่า Gen X เป็นผู้ใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยไล่ตามความฝัน มีบ้าน รถ มีครอบครัวที่อบอุ่น Gen Y เกิดในยุคที่บ้านและรถคือภาระแสนหนัก งานหายาก หนี้สินเพิ่ม ความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจถูกถ่างมากขึ้น เป็นเรื่องสมเหตุสมผลมากว่า ถ้ามันจะเป็นภาระที่หนักหนา เราก็จำต้องปล่อยวางเพื่อความอยู่รอด
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2019/12/delight.png)
สำหรับ Millennials หรือ Gen Y ความรุ่มรวยทางวัตถุอาจถูกมองว่าไม่ใช่เรื่องหรูหราฟุ่มเฟือย แต่เป็นความปกติของยุคสมัย เป็นความจำเป็นที่ไม่รู้จะปล่อยช่วงเวลาแห่งการกอบโกยความพึงพอใจให้เปล่าดายไปทำไม
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ‘ความสุขวันนี้’ ของชาว Gen Y จึงดูสมเหตุสมผลและมีความชอบธรรมมากขึ้น