บรรยากาศของสงครามการค้ายังคงระอุ เมื่อข้อพิพาทระหว่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่นปะทุขึ้น จากกรณีที่ญี่ปุ่นให้เกาหลีใต้อยู่ในบัญชีที่ต้องควบคุมสินค้าส่งออกอย่าง เซมิคอนดัคเตอร์ วัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้เกิดกระแสต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นอย่างหนักในเกาหลีใต้ และท่าทีล่าสุดของเกาหลีใต้คือ การยกเลิกข้อตกลงความร่วมมือด้านความมั่นคงกับญี่ปุ่น
ข้อตกลงความร่วมมือด้านความมั่นคงเป็นข้อตกลงไตรภาคีร่วมกันสามประเทศ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และ สหรัฐอเมริกา ในการแบ่งปันข่าวสารระดับสูง เพื่อความมั่นคงและความปลอดภัยระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออก ท่ามกลางการสยายปีกอำนาจของประเทศจีน และการทดลองนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ
ข่าวที่เขียนโดย คิม แจ วอน (Kim Jae won) นักข่าวชาวเกาหลีใต้ซึ่งทำงานกับสำนักข่าวด้านเศรษฐกิจ Nikkei Asian Review ของญี่ปุ่น รายงานสรุปถึงประเด็นนี้ไว้ว่า เกาหลีใต้ตัดสินใจยุติข้อตกลงความร่วมมือด้านข่าวกรองร่วมกับญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นการยกระดับการตอบโต้ เปลี่ยนความบาดหมางในประวัติศาสตร์ไปสู่สงครามทางการค้า โดยการตัดสินใจดังกล่าวเป็นผลจากการประชุมที่ Blue House หรือทำเนียบประธานาธิบดีของเกาหลีใต้ โดยมี มุน แจ อิน ประธานาธิบดี นั่งเป็นประธานการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
คิม ยู กึน (Kim Yu Keun) รองผู้อำนวยการสถาบันความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวถึงข้อตกลงที่มีกำหนดสิ้นสุดในวันที่ 22 พฤศจิกายนปีนี้ว่า “พวกเรามีความเห็นว่า เพื่อผลประโยชน์ของชาติ ทางเราไม่มีเหตุผลที่จะร่วมข้อตกลงฉบับนี้ต่อไป และจะแจ้งไปยังรัฐบาลญี่ปุ่นด้วยช่องทางการทูตถึงกำหนดวันสิ้นสุดการขยายข้อตกลงฉบับดังกล่าว”
รองผู้อำนวยการยังกล่าวต่อไปอีกว่า “รัฐบาลได้ประเมินดูแล้วว่า รัฐบาลญี่ปุ่นเป็นสาเหตุของวิกฤติด้านความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างสองประเทศ โดยการปรับให้เกาหลีใต้เป็นประเทศในบัญชีขาว (ประเทศในการควบคุมบัญชีการส่งออกของญี่ปุ่น) อย่างไม่มีเหตุผล เมื่อวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา”
รายงานข่าวใน Nikkei Asian Review ยังบอกต่อว่า การตัดสินใจของเกาหลีใต้ส่งผลให้รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ทาโระ โคโนะ (Taro Kono) ออกมาแถลงว่า “เป็นการตัดสินใจที่ผิดและน่าผิดหวังเป็นอย่างมาก” โคโนะกล่าวว่า ความร่วมมือด้านข่าวกรองและปัญหาการควบคุมเรื่องเซมิคอนดัคเตอร์ของญี่ปุ่นต่อเกาหลีใต้นั้นเป็นคนละส่วนกัน เกาหลีใต้ควรมีวิจารณญาณในการแยกแยะ อีกทั้งยังมองว่าท่าทีของเกาหลีใต้นั้นเป็นเรื่องไม่สามารถยอมรับได้ และไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ของเกาหลีใต้
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ชินโสะ อาเบะ แสดงความคิดต่อเรื่องนี้ว่า ทางญี่ปุ่นจะยังคงร่วมมือในข้อตกลงร่วมมือด้านข่าวกรองร่วมกับสหรัฐและเกาหลีใต้ต่อไป โดยไม่สนใจท่าทีของทางรัฐบาลเกาหลีใต้ เพื่อเสถียรภาพและความสงบในภูมิภาคเอเชียตะวันออก
อาเบะถูกถามถึงประเด็นแรงงานชาวเกาหลีใต้ในช่วงสงครามโลก เขากล่าวว่า เขาต้องการให้รัฐบาลเกาหลีฟื้นความเชื่อใจระหว่างทั้งสองประเทศและทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ซึ่งทางญี่ปุ่นจะไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายที่มีต่อเกาหลีใต้ในการสัญญาระหว่างทั้งสองประเทศ
โยชิฮิเดะ ซูกะ (Yoshihide Suga) เลขาธิการคณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่น กล่าวว่า ทางรัฐบาลญี่ปุ่นต้องการที่จะรักษาข้อตกลงความร่วมมือด้านข่าวกรองร่วม และได้เชิญให้เอกอัคราชทูตเกาหลีใต้ประจำญี่ปุ่น นัม กวาน พโย (Nam Gwan Pyo) เพื่อพูดคุยถึงปัญหาที่เกิดขึ้น
ฟากสหรัฐ ซึ่งเป็นประเทศในความร่วมมือไตรภาคีของข้อตกลงที่เป็นปัญหานี้ ได้แสดงความผิดหวังอย่างทันควันต่อท่าทีของเกาหลีใต้ “สหรัฐรู้สึกผิดหวังต่อท่าทีการตัดสินใจของเกาหลีใต้อย่างมาก การแบ่งผลประโยชน์ร่วมระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้นั้นมีความสำคัญอย่างมาก และพวกเขาทั้งคู่สำคัญกับสหรัฐไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน” ไมค์ ปอมเปโอ (Mike Pompeo) รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐกล่าว
ด้านกระทรวงกลาโหมสหรัฐออกมาแสดงความวิตกกังวลเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยในแถลงการณ์ได้ร้องขอให้ทางเกาหลีใต้และญี่ปุ่นยังคงร่วมมือกันเพื่อความมั่นคงในภูมิภาค แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่จะตึงเครียดก็ตาม
ความคิดเห็นจากฝั่งเกาหลี โดย ศาสตราจารย์ลี ซู ฮุน (Lee Su Hoon) จากมหาวิทยาลัยคยองนัม (Kyungnam University) และอดีตเอกอัครราชทูตประจำญี่ปุ่น มองว่า “เกาหลีใต้ต้องการข้อมูลทางการทหารที่มาจากความร่วมมือระหว่างกันในระดับสูง และแน่นอนว่ามันต้องขึ้นอยู่กับความเชื่อใจ”
ลีฟ-อีริค เอสลีย์ (Leif-Eric Easley) ศาสตร์จารย์ประจำมหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา (Ehwa University) ออกมาให้ความเห็นว่า “ท่าทีของรัฐบาลมุน แจ อิน ด้านหนึ่งมาจากความนิยมภายในประเทศ แต่ท่าทีแบบนี้ทำให้นานาชาติเป็นกังวลต่อสถานการณ์ความมั่นคงและความปลอดภัยของภูมิภาค”
ส่วนต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนของทั้งสองชนชาติ ญี่ปุ่นและเกาหลีมีการต่อสู้กันมาตั้งแต่อดีต ย้อนไปได้ไกลถึงศตวรรษที่ 7 ญี่ปุ่นพยายามบุกคาบสมุทรเกาหลีตั้งแต่นั้น จนกระทั่งในปี 1910 เกาหลีจึงถูกผนวกรวมเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น
เมื่อสงครามโลกเริ่มต้นขึ้น หญิงสาวจากทั่วทั้งเอเชียถูกกวาดต้อนมาทำหน้าที่เป็นนางบำเรอให้กับทหารชาวญี่ปุ่น จำนวนเรือนหมื่น บ้างก็ว่ามากถึง 200,000 คน หญิงสาวเหล่านี้ถูกเรียกว่า comfort women หรือ หญิงบำเรอกาม ให้กับทหารชาวญี่ปุ่น และในจำนวนนั้นคือหญิงสาวชาวเกาหลีใต้ ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มชาวเกาหลีก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นแรงงานในระหว่างสงคราม
ในปี 1945 ญี่ปุ่นสิ้นสุดสถานะเจ้าอาณานิคมต่อเกาหลีใต้เนื่องจากเป็นผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 อีก 20 ปีต่อมา อดีตประธานาธิบดีพัค จุง ฮี ได้ลงนามกระชับสัมพันธ์ต่อญี่ปุ่นและมีการแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ประเด็นเรื่อง ‘หญิงบำเรอกาม’ ก็ยังคงเป็นประเด็นอ่อนไหวและมีอิทธิพลต่อชาวเกาหลีใต้อยู่ ทางการญี่ปุ่นได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ทางญี่ปุ่นได้พยายามฟื้นความสัมพันธ์ให้แนบแน่นขึ้นโดยการมอบความช่วยเหลือทางการเงินมากถึง 800 ล้านดอลลาร์
และในปี 2015 ทางการญี่ปุ่นนำโดย นายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ พยายามจะขอโทษและพูดถึงยุคสมัยใหม่ระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ และสัญญาจะจ่ายเงินกว่า 1,000 ล้านเยน หรือราวๆ 9.5 ล้านดอลลาร์ให้กับเหยื่อชาวเกาหลีใต้ในระหว่างสงครามก็ตาม แต่เรื่องกลับไม่ง่ายเช่นนั้น เมื่อทางเกาหลีใต้นำโดย ประธานาธิบดีมุน แจ อิน ไม่ยอมรับข้อตกลงดังกล่าว
จึงเป็นที่มาของสงครามการค้าระหว่างสองประเทศยักษ์ใหญ่แห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออก
อ้างอิงข้อมูลจาก: asia.nikkei.com bbc.com |