ห่าม กล้าหาญ อ่อนโยน จองหอง และมีความทะเยอทะยานมากกว่าที่เขาคิดว่าเขาเป็น คือคำที่ ‘เด็บบี้’ (Debbie Gwyther) ผู้จัดการและภรรยาคนปัจจุบันของ เลียม กัลลาเกอร์ (Liam Gallagher) ใช้อธิบายตัวตนของอดีตฟรอนต์แมนแห่งวง OASIS ในภาพยนต์สารคดี As It Was (2019) ที่ว่าด้วยเรื่องราวของร็อคสตาร์ที่พยายามดิ้นรนกลับไปในจุดที่เคยยืนเมื่อ 20 ปีก่อน ถึงแม้จุดที่เขากำลังพยายามไปให้ถึง จะต้องยืนอยู่ในนาม ‘Liam Gallagher’ ตามลำพัง ไม่ใช่ในนามฟรอนต์แมนแห่ง ‘OASIS’ ที่แฟนเพลงทั่วโลกจดจำก็ตาม
เส้นทางที่เริ่มตรงหลักกิโลเมตรที่ 39
แม้ว่าเลียมจะประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ได้ยืนอยู่ด้านหน้าของหนึ่งในวงร็อคที่ดีที่สุดในโลก แต่ความผกผันในชีวิตของเลียมมาถึงในวันที่ไมล์ชีวิตจะก้าวสู่หลัก 40 มันเป็นชะตาชีวิตที่มาท้าทายชายจองหองเช่นเขา
สารคดีเปิดฉากด้วยภาพฟุตเทจจากคอนเสิร์ต Rock en Seine (2011) ที่ปารีส ซึ่งถูกยกเลิกอย่างกะทันหัน หลังจากเลียมและโนล (Noel Gallagher) สองพี่น้องกัลลาเกอร์ทะเลาะกันอย่างรุนแรงในห้องแต่งตัว ทั้งๆ ที่เวลานั้นโนลควรจะขึ้นไปบนเวทีบรรเลงเพลงที่เขาเขียน โดยมีเลียมจับมือไขว้หลังแหงนหน้าร้องเพลงให้แฟนเพลงของเขามีความสุข
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งคู่หันมาอาละวาดกันเอง มีปากเสียงอย่างรุนแรง กีตาร์ที่ถูกทุบในวันนั้น พาให้สองพี่น้องกัลลาเกอร์เดินมาถึงจุดแตกหัก และเป็นจุดสิ้นสุดของตำนานวง OASIS จนถึงวันนี้
สำหรับคนที่ทำความรู้จักเลียมและโนลอยู่ห่างๆ อาจพบว่าบทเพลง ความเกรียน การปะทะคารมกันของสองพี่น้องกัลลาเกอร์ โดยเฉพาะความยียวนกวนบาทาของเลียม ที่ถูกเล่าในสารคดีตลอดทั้งเรื่องผ่านการตัดสลับภาพระหว่างอดีตและปัจจุบัน ยังแสดงให้เห็นว่าดีกรีความห้าวของเลียมไม่ได้ลดลงเลย หากแต่ครึ่งหลังของเรื่อง เลียมในปัจจุบันกลับดูสุขุม อ่อนโยน และมองความสวยงามของโลกจากมุมใหม่ๆ มากขึ้น
หลังจากวงแตก เลียมไม่หยุดที่จะทำเพลงต่อในวงใหม่ที่มีชื่อว่า Beady Eye แต่ก็ไม่เปรี้ยงปร้างนักเมื่อปราศจากโนลผู้เป็นคนเขียนเพลงทั้งหมดของ OASIS กระทั่งอาจสงสัยว่า วันนี้เขากำลังยืนอยู่ตรงไหนระหว่างการกลับมาเจิดจรัสอีกครั้ง หรือค่อยๆ ดับลงอย่างช้าๆ กันแน่ แต่ไม่ว่าจะอยู่จุดใดระหว่างขาขึ้นกับขาลง ที่แน่ๆ คือมีโจทก์จำนวนไม่น้อยคอยซ้ำเติมฐานที่เป็นมนุษย์ผู้น่าหมั่นไส้เช่นเคย
“You know it’s gonna be okay” ที่สุดแล้วทุกอย่างจะโอเค
บางท่อนบางตอนข้างต้นจากเพลง ‘All Around The World’ ดูจะจับภาพชีวิตเลียมช่วงนี้ได้ชัดขึ้นอีก
เพราะเมื่อชีวิตของเลียมดำดิ่งสู่จุดต่ำสุด ชีวิตงานล้มครืน ชีวิตคู่พังพินาศ และด้วยบุคลิกของเขาที่ไม่ค่อยเป็นที่ปลื้มใจใครหลายคน ทำให้เขาถูกกระหน่ำซ้ำเติมในทุกรอบด้าน
สารคดีเรื่องนี้เปรียบดั่ง coming of age ของเลียมที่มีตัวแปรสำคัญคือ ‘เดบบี้’ ผู้ที่ชุบ ‘อีโก้’ ของเลียมให้กลับมามีชีวาอีกครั้ง ภรรยาผู้เคียงข้างทำให้เขาลุกขึ้นมาวิ่งบนเส้นทางดนตรีอีกครั้ง และเราจะเห็นเลียมในมิติที่ต่างออกไป ดังที่เดบบี้กล่าวว่า
“เลียมที่เธอเห็นไม่ใช่เลียมในแบบที่ทุกคนเห็น เขาคือชายที่อ่อนโยน ใส่ใจ มีรายละเอียด และเป็นผู้นำครอบครัวที่ดี”
แม้เราต่างรู้ว่าเลียมก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีหลายมิติชีวิตมากกว่าความกวนและเกรียน แต่ต้องบอกว่า การได้เห็นอีกมุมของเลียมผ่านสารคดี มันทั้งเติมเต็มหัวใจของแฟนเพลงและสร้างความงงงวยไปในตัว
หากว่ากันไปอย่างไม่อ้อมค้อม ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้สร้างขึ้นมาเพื่อแฟนเพลงของเลียมและอวยเลียมชะมัดยาด วรรคทองของช่วงท้ายจากคนรอบกายเลียมน่าจะช่วยยืนยันได้
‘เด็กเขาโตขึ้นอยากเป็นเลียม ไม่ได้อยากเป็นโนล’
โถ… นี่ล้อกันเล่นใช่ไหม