ชื่อนิทรรศการ ‘ใครๆ ก็ไปศาลทหารได้’ เชื้อเชิญอย่างประหลาดให้เดินเข้าไปในอาคารสถาบันปรีดี พนมยงค์ในบ่ายวันเสาร์ธรรมดาๆ วันหนึ่ง (4 มีนาคม 2560)
เมื่อขึ้นบันไดสู่อาคารสถาบันปรีดี พนมยงค์ เราได้รับหนังสือชื่อ 842+ ประหนึ่งสูจิบัตรประจำนิทรรศการงานศิลปะ ภายในเล่มเป็นการรวบรวมข้อมูล สถิติคดี และจำนวนพลเรือนที่ขึ้นศาลทหาร บทสัมภาษณ์ ศาลทหารในต่างประเทศ การทำงานของศาลทหาร ฯลฯ
พับเก็บหนังสือก่อน เรากำลังเข้าชมนิทรรศการ ‘ใครๆ ก็ไปศาลทหารได้’
รอยยิ้มต้อนรับของท่านนายกฯ
เราเลี้ยวขวาเพื่อพบกับส่วนเริ่มต้นของนิทรรศการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยิ้มหวานต้อนรับบน backdrop ขนาดใหญ่ แต่คำให้สัมภาษณ์ที่ผู้จัดนิทรรศการโควทมา กลับตรงกันข้ามกับรอยยิ้มของเขา
“ผมก็สั่งให้ชี้แจงไปว่า การที่นำตัวขึ้นศาลทหารนั้นก็เหมือนกับศาลธรรมดา แต่ที่เป็นศาลทหารเนื่องจากใช้คณะพิจารณาเป็นทหารจบจากทหารพระธรรมนูญ ซึ่งเรียนจบกฎหมายมาทั้งหมด แตกต่างกันก็แต่มียศเท่านั้น ผมอยากจะถามว่าใช้ศาลทหารมันผิดตรงไหน และที่ต้องใช้ศาลทหาร เพราะสถานการณ์มันไม่ปกติ คนเหล่านี้ไม่เคารพกฎหมายปกติ”
โดยปกติ ศาลทหารทำหน้าที่พิจารณาคดีทหารทำผิดวินัย หลังรัฐประหารปี 2557 ศาลทหารไทยถูกใช้พิจารณาคดีทางการเมืองของประชาชน
วันที่ 25 พฤษภาคม 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ออกประกาศฉบับที่ 37/2557 ตามด้วยฉบับที่ 38/2557 และฉบับที่ 50/2557 กำหนดให้พลเรือนต้องขึ้นศาลทหารในคดีความ ดังนี้
+ คดีความผิดต่อพระมหากษัตริย์ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 107-112
+ คดีความผิดต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113-118
+ คดีความผิดตามประกาศ และคำสั่ง คสช. ทุกฉบับ
+ ความผิดฐานมีหรือใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิด ที่ใช้เฉพาะแต่การสงครามที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธ พ.ศ. 2490
+ คดีความผิดที่เกี่ยวโยงกับความผิดที่ต้องขึ้นศาลทหาร
ก่อนที่จะมีการยกเลิกคำสั่งการนำพลเรือนขึ้นศาลทหารเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2559 ทำให้ประกาศฉบับที่ 37/2557 มีผลบังคับใช้กับคดีที่เกิดตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2557 – 11 กันยายน 2559 คดีที่เกิดหลังจากนี้ขึ้นศาลพลเรือนตามปกติ ส่วนคดีที่ยังตกค้างอยู่ในศาลทหารก็เดินหน้าพิจารณาต่อไป
ใครใครก็เป็นศาลทหารได้
ถัดไปทางซ้ายของรอยยิ้มของพล.อ.ประยุทธ์ คือส่วนแสดงต่อยอดจากคำพูดของพล.อ.ประยุทธ์ที่ว่า “…แต่ที่เป็นศาลทหารเนื่องจากใช้คณะพิจารณาเป็นทหารจบจากทหารพระธรรมนูญ ซึ่งเรียนจบกฎหมายมาทั้งหมด…” นั่นคือหัวข้อ ‘ใครใครก็เป็นศาลทหารได้’
ในสูจิบัตร 824+ ให้ข้อมูลว่า พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร ผู้พิพากษาคณะหนึ่งๆ ที่ทำหน้าที่ดำเนินกระบวนพิจารณาและตัดสินคดี จะมี 1 คนที่เรียนจบกฎหมาย คือ ตุลาการพระธรรมนูญ ส่วนอีก 2 คน คือ ตุลาการศาลทหาร เป็นนายทหารที่ถูกแต่งตั้งเข้ามาและไม่ได้เรียนจบกกฎหมาย
ทีมผู้จัดทำเอกสารชิ้นนี้
สัมภาษณ์ ภาวิณี ชุมศรี หัวหน้าฝ่ายคดีของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โดยตั้งคำถามว่า “จะเป็นอัยการทหาร ตุลาการทหาร ต้องมีขั้นตอนอย่างไร”
ภาวณี ตอบว่า “พอเข้ามาเกี่ยวข้องกับศาลทหารก็เลยทำให้รู้ว่า ทั้งอัยการทหารและตุลาการไม่จำเป็นจะต้องจบเนติบัณฑิต แค่จบนิติศาสตร์ธรรมดา แล้วมาสอบเป็นนายทหารพระธรรมนูญอยู่ในสังกัดกระทรวงกลาโหม พอยศขึ้นเรื่อยๆ คุณก็สามารถเป็นอัยการ ไปเป็นศาลได้ บางทีก็หมุนมาจากฝ่ายกฎหมายของกองทัพ”
ขณะที่ พลตรีธานินทร์ ทุนทุสวัสดิ์ ตุลาการพระธรรมนูญ หัวหน้าคณะฝ่ายศาลทหารสูงสุด ตอบคำถามเดียวกับหัวหน้าฝ่ายคดีของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ว่า
“สำหรับตุลาการศาลทหาร แม้พระราชบัญญติธรรมนูญศาลทหารซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทบอกว่า ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นมียศไม่ต่ำกว่าร้อยเอก เรือเอก หรือเรืออากาศเอก แต่ในอัตรากำลังบรรจุ คนที่จะขึ้นมาเป็นตุลาการได้จะต้องมียศไม่ต่ำกว่าพันโทซึ่งอาวุโสมากแล้ว แล้วคนพวกนี้ต้องผ่านประสบการณ์การใช้ชีวิตในราชการทหารมาตั้งแต่เป็นว่าที่ร้อยตรี โดยจะถูกส่งไปเป็นทหารพระธรรมนูญ เรียนรู้จารีต ประเพณี ระบบวิธีคิด ระบบการปกครอง การบังคับบัญชาของทหาร จนกระทั่งเขามีอาวุโส ก่อนจะกลับมาบรรจุเป็นตุลาการพระธรรมนูญ แต่การจะเข้าบรรจุได้หรือไม่นั้น พวกเขาจะต้องผ่านหลักสูตรอย่างเข้มข้นมาก่อนแล้ว”
วิธีการพิจารณาคดีของศาลทหาร
+ ศาลทหารภายใต้กฎอัยการศึกมีชั้นเดียว ไม่มีการอุทธรณ์และฎีกา
+ ตุลาการตัดสินคดีเป็นทหารทั้งหมด คดีหนึ่งมีอย่างน้อย 3 คน และ 2 ใน 3 คน เป็นนายทหารระดับสูงที่ไม่จำเป็นต้องเรียนจบนิติศาสตร์
+ อัยการที่ทำหน้าที่ฟ้องคดีเป็นอัยการทหาร ไม่ต้องสอบผ่านเนติบัณฑิตก่อน
+ การพิจารณาและสืบพยานในศาลทหาร ถ้าจำเลยรับสารภาพหรือไม่ติดใจฟัง ไม่ต้องทำต่อหน้าจำเลยก็ได้
+ การสืบพยานในศาลทหาร ไม่ได้นัดต่อเนื่องกัน ทำให้การถามพยานขาดช่วง มีโอกาสให้พยานเตรียมตัวล่วงหน้าได้
+ ศาลทหารไม่มีกระบวนการสืบเสาะ เพื่อตรวจสอบประวัติและความประพฤติของจำเลย เพราะกระบวนการสืบเสาะเป็นภารกิจของกรมควบคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม แต่ศาลทหารสังกัดกระทรวงกลาโหม
+ ศาลทหารเคยสั่งไม่อนุญาตให้ทนายความจำเลยคัดถ่ายสำเนาคำฟ้องและเอกสารที่เกี่ยวข้องในคดี โดยศาลให้เหตุผลว่าศาลจะจัดส่งให้จำเลยเองอยู่แล้ว
ที่มา: 842+ จัดทำโดย โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw)
พลเรือนในศาลทหาร
จากส่วนจัดแสดงนิทรรศการส่วนหน้า เราเดินเข้าไปยังห้องกระจกที่อยู่ด้านข้างลานโล่งของตัวอาคารด้านใน ภายในห้องกระจกมีนิทรรศการหัวข้อ ‘พลเรือนไม่ยอมขึ้นศาลทหาร 15 คดี’ (เป็นอย่างน้อย)
ในสูจิบัตร 842+ ระบุเพิ่มขยายหัวข้อดังกล่าว ถึงช่องทางตามกฎหมายที่พลเรือนจะใช้ในการยื่นคำร้องคัดค้านเพื่อจะได้ไปต่อสู้คดีที่ศาลพลเรือนตามปกติ
- การยื่นเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการให้พลเรือนขึ้นศาลทหารขัดต่อรัฐธรรมนูญ
2. การยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจของศาลทหาร
ในจำนวน 15 คดีที่พลเรือนพยายามใช้ช่องทางคัดค้านอำนาจศาลทหาร มีเพียงคดีของ จาตุรนต์ ฉายแสง ที่คัดค้านขึ้นศาลทหารสำเร็จข้อหาไม่ไปรายงานตัวตามคำสั่ง คสช.
ขณะที่ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้รายงานข้อมูลสถิติจากกรมพระธรรมนูญ ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2557 – 30 พฤศจิกายน 2559 สรุปจำนวนคดีของพลเรือนที่ถูกดำเนินคดีในศาลทหาร ว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 1,716 คดี คิดเป็นจำนวนผู้ต้องหาและจำเลยรวม 2,177 คน เป็นคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดี 416 คดี และคดีที่ศาลพิจารณาคดีเสร็จสิ้นแล้ว 1,300 คดี ซึ่งสามารถแบ่งเป็น
+ คดีฝ่าฝืนคำสั่งหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติจำนวน 44 คดี
+ คดีมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา (หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ) จำนวน 86 คดี
+ คดีมาตรา 116 ประมวลกฎหมายอาญา (ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความกระด้างกระเดื่องฯ) จำนวน 9 คดี
+ คดีตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธ พ.ศ. 2490 จำนวน 1,577 คดี
การออกหมายจับบุคคลพลเรือนที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทหารระหว่างวันที่ 25 พฤษภาคม 2557 – 31 ตุลาคม 2559 (เหตุในคดีเกิดระหว่างวันที่ 25 พฤษภาคม 2557 – 11 กันยายน 2559) โดยเป็นหมายจับที่ได้รับการอนุมัติแล้ว แต่ยังไม่ได้ตัวผู้ต้องหามาฟ้องคดีต่อศาล ว่ามีจำนวน 528 หมายจับ ตัวเลขดังกล่าวไม่ได้ระบุว่าเป็นหมายจับในคดีใดบ้าง แต่แยกเป็น
+ หมายจับที่ออกโดยศาลทหารกรุงเทพ จำนวน 401 หมาย
+ หมายจับที่ออกโดยศาลมณฑลทหารบก จำนวน 127 หมาย
ในศาลทหารละครโรงใหญ่
จากส่วนแสดงภายในห้องกระจก เราเดินขึ้นไปยังห้องโถงภายในอาคาร ไฟค่อยๆ หรี่มืดลง เหลือไว้เพียงบริเวณพื้นที่แสดงละครเวทีจำลองสถานการณ์การพิจารณาคดีในศาลทหาร
ชายในชุดสีกากีผู้รับบทเป็น หน้าบัลลังก์ นั่งอยู่หน้าบัลลังก์ศาล แสงไฟฉายบอกว่า เขากำลังมีบทบาทสำคัญ ผู้ชมทยอยกันเดินเข้ามาภายในโถงละคร เสียงโทรศัพท์ของผู้เข้าชมละครดังขึ้น จ่าศาลทหารกล่าวตักเตือนด้วยดุดัน “ช่วยปิดเสียงโทรศัพท์ด้วย!”
ผู้ชมยังคงทยอยเข้ามา เขาตวาดให้อีก “งดพูดคุยนะครับ อยู่ในศาลทหารนะครับ!”
เมื่อตุลาการทั้ง 3 ท่านเดินเข้ามาบนบัลลังค์ การพิจารณาคดีจึงเริ่มต้นขึ้น
ไฟทุกดวงดับลง เว้นเพียงส่วนของการแสดง
หน้าบัลลังก์: ทั้งหมดตรง! เคารพศาล
ศาล: คดีระหว่างอัยการทหารกับนายสันติ พิทักษ์ จำเลยมาแล้วนะ (จำเลยขานรับ) โจทก์พร้อมนะ (โจทก์ยืนตรง ขานรับ) เอาเริ่มเลย
ทนาย: ครับท่าน จำเลยเบิกความเป็นพยานครับ
จำเลย: ข้าพเจ้าขอสาบานต่อพระแก้วมรกต เจ้าพ่อหลักเมือง และสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลายว่าจะเบิกความต่อศาลด้วยความสัตย์จริง หากข้าพเจ้านำความเท็จมากล่าวกับศาลแม้แต่น้อยขอภยันตรายทั้งปวงจงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า หากข้าพเจ้าเบิกความต่อศาลด้วยความสัจจริงของให้ข้าพเจ้าประสบแต่ความสุข
ศาล: พยานชื่อ
จำเลย: นายสันติ พิทักษ์
ศาล: อายุ
จำเลย: 29 ปี
ศาล: อาชีพ
จำเลย: นักเขียน
ศาล: เชิญทนาย
ทนาย: พยานครับ พยานเรียนจบอะไรมา
จำเลย: จบนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ครับ
ทนาย: พยานครับ พยานประกอบอาชีพอะไรครับ
จำเลย: เป็นนักเขียนอิสระครับ
ทนาย: ประเด็นที่พยานเขียนหรือทำงานเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรครับ
จำเลย: เป็นบทความเกี่ยวกับกฎหมาย สิทธิของประชาชนครับ
ทนาย: พยานครับ พยานทราบข่าวการเรียกรายงานตัวเมื่อไรครับ
จำเลย: ทราบตั้งแต่วันที่มีประกาศทางโทรทัศน์ครับ
ทนาย: แล้วเพราะอะไร พยานจึงตัดสินใจไม่ไปรายงานตัวครับ
จำเลย: เพราะเห็นว่าคำสั่งเรียกรายงานตัวไม่ชอบด้วยกฎหมายครับ
ทนาย: ไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไรครับ พยาน
จำเลย: คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เข้าสู่อำนาจด้วยวิถีทางที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และมีความผิดฐานกบฏ คำสั่งของคณะรัฐประหารย่อมไม่มีอำนาจชอบธรรมตามกฎหมาย ประชาชนมีสิทธิต่อต้านด้วยวิธีการอย่างสันติ
ทนาย: พยานแสดงออกอย่างไรว่าไม่ยอมรับอำนาจของคณะรัฐประหาร
จำเลย: ในวันที่ 26 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันที่ผมต้องเข้ารายงานตัว ผมก็ประกาศจุดยืนว่าจะไม่เข้ารายงานตัวเพราะไม่ยอมรับการรัฐประหารครั้งนี้ ผมโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า “การรัฐประหารคือการข่มขืนเสรีภาพของประชาชน การไม่รายงานตัวเท่ากับไม่รับอำนาจปืน”
ทนาย: เฟซบุ๊คของพยานคือ Santi Pitak และข้อความปรากฏตามเอกสารที่โจทก์อ้างส่งต่อศาล (เอาให้ดู) ถูกต้องไหมครับ
จำเลย: ถูกต้องครับ
ทนาย: อะไรที่ทำให้จำเลยคิดว่า สิ่งที่จำเลยทำไม่เป็นความผิดครับ
จำเลย: ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปี 50 มาตรา 69 ซึ่งบัญญัติว่า ประชาชนไทยมีสิทธิที่จะต่อต้านการกระทำใดๆเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองโดยวิธีการซึ่งไม่ได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การที่ผมไม่ไปรายงานตัวเพื่อแสดงออกซึ่งการคัดค้านการรัฐประหารจึงเป็นการกระทำที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญครับ
ศาล: ทนายเรื่องการตีความกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญเป็นหน้าที่ของศาลนะ ศาลไม่บันทึกนะประเด็นนี้
ทนาย: ท่านครับ ผมคิดว่าประเด็นนี้คือสาระแห่งคดีเลยนะครับ เพราะชี้ว่าจำเลยมีเจตนาจะปกป้องรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
ศาล: ทนายศาลคิดว่าคำตอบของจำเลยเป็นความคิดเห็นซึ่งไม่ได้มีน้ำหนักในการรับฟัง ศาลจะบันทึกให้ก็ได้ แต่ก็เป็นดุลพินิจของศาลว่าจะให้น้ำหนักมากน้อยแค่ไหน
ทนาย: ขอบคุณครับท่าน พยานครับ ย้อนกลับไปถึงตอนที่พยานบอกว่าไม่เข้ารายงานตัวแม้จะทราบว่ามีคำสั่ง คสช. และทราบว่ามีการกำหนดโทษแต่พยานยังคงฝ่าฝืน นอกจากจะเป็นการแสดงออกตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ผ่านการประชามติของประชาชนแล้ว พยานยังทำด้วยเหตุผลอื่นอีกไหมครับ
จำเลย: ผมไม่เชื่อว่า คณะรัฐประหาร หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า คณะกบฏ จะรักษาอำนาจอยู่ได้นาน จึงเลือกที่จะปกป้องสิทธิและเสรีภาพ และรัฐธรรมนูญ โดยสันติอหิงสา โดยไม่ใช้ความรุนแรงด้วยการไม่ให้ความร่วมมือใดๆ กับคณะกบฏดังกล่าว หรือเรียกว่าการอารยะขัดขืน
ทนาย: พยานช่วยขยายความหน่อยว่าอารยะขัดขืนคืออะไร เนื้อหาและที่มาที่ไม่ชอบธรรมของกฎหมายที่พยานพูดถึงหมายความว่าอย่างไร
จำเลย: อารยะขัดขืนหมายถึงการไม่ปฏิบัติหรือฝ่าฝืนกฎหมายหรือคำสั่งที่ไม่ชอบธรรม เช่นกรณีของคนผิวสีในสหรัฐที่ฝ่าฝืนกฎหมายซึ่งกำหนดว่าคนผิวสีต้องลุกให้คนขาวนั่งด้วยการไม่ลุกให้นั่ง หรือกรณีของคานธีที่ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามกฎหมายที่ไม่ชอบธรรมของอังกฤษ สำหรับคำสั่ง คสช. ที่ให้ผมเข้ารายงานตัวเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบธรรม ผมไม่ยอมรับอำนาจของกลุ่มบุคคลที่ใช้กำลังอาวุธเข้ามายึดล้มล้างการปกครองของรัฐบาลที่มาจากประชาชน เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ทนาย: นอกจากการไม่รายงานตัว แสดงออกว่าต่อต้าน พยานทำอะไรอีกมั้ยครับ
จำเลย: ผมฟ้องร้องคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในข้อหากบฏครับ
ทนาย: ตามเอกสารหมายลำดับที่ 5 ที่จำเลยนำส่งศาลไปใช่มั้ยครับ
จำเลย: ใช่ครับ
ทนาย: รายละเอียดการฟ้องเป็นอย่างไรครับ
จำเลย: ผมและพวกฟ้องคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในข้อหากบฏ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 ซึ่งเป็นความผิดฐานกบฏ
ทนาย: ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 ระบุว่า ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ หรือล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญหรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ ให้ถือว่า ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิตครับ ถูกต้องมั้ยครับ
จำเลย: ถูกต้องครับ
ศาล: พอแล้วๆ ท่านทนาย จะถามคำถามทำนองนี้อีกมั้ย การพาดพิงบุคคลสำคัญว่าเป็นกบฏ ศาลฟังแล้วศาลไม่สบายใจ อย่าไปกล่าวหาเขา
ทนาย: แต่ท่านครับนี่คือข้อเท็จจริงในคดี พยานในฐานะจำเลยได้ไปฟ้องคณะรักษาความสงบแห่งชาติจริงๆ เพื่อยืนยันว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติไม่มีความชอบธรรม
ศาล: เอาล่ะๆ ศาลจะพิจารณาตามหลักฐานที่ฝ่ายโจทก์นำส่งมา ท่านถามประเด็นอื่นเถอะ
ทนาย: อะไรอีกครับ ที่พยานเชื่อว่าคำสั่งของคณะรักษาความสงบไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลย: มาตรา 48 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวฯ ครับ
ทนาย: มาตราดังกล่าวระบุว่าอย่างไรครับ
จำเลย: มาตรา 48 กำหนดให้ทุกการกระทำของ คสช. ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นการนิรโทษกรรมให้กับตัวเองครับ
ทนาย: การนิรโทษกรรมให้กับตัวเองมีความหมายว่าอย่างไรครับ
จำเลย: หมายถึงการล้างความผิด ให้ความผิดนั้นไม่เคยเกิดขึ้น ซึ่งแสดงว่าก่อนจะมีมาตรานี้ ไม่มีอะไรรองรับว่าคำสั่งหรือประกาศของคสช. ชอบด้วยกฎหมายมาก่อน ผมจึงมีสิทธิที่จะต่อต้านและไม่ให้ความร่วมมือครับ
ทนาย: พยานครับ หากมีการรัฐประหารเกิดขึ้นอีกและมีคำสั่งเรียกเขาไปรายงานตัวอีกจะไปหรือไม่
จำเลย: หากมีรัฐประหารอีกและมีคำสั่งเรียกรายงานตัวอีกครั้ง ผมก็ยังยืนยันว่าจะไม่ไป (เสียงหนักแน่น)
ทนาย: ผมหมดคำถามครับท่าน
ศาล: เชิญท่านอัยการถามค้าน
อัยการ: พยานคะ พยานทราบเรื่องที่ตัวเองมีรายชื่อเข้ารายงานตัวตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2557 ซึ่งเป็นวันที่คำสั่งให้พยานเข้ารายงานตัวออกประกาศสู่สาธารณะถูกต้องไหมคะ
จำเลย: ใช่ครับ
อัยการ: แล้วพยานทราบใช่ไหมคะ ว่าการไม่เข้ารายงานตัวมีโทษตามกฎหมาย
จำเลย: ใช่ครับ
อัยการ: ที่พยานเบิกความตอบทนายจำเลยว่าพยานทำไม่เข้ารายงานตัวเพราะต้องการจะทำอารยะขัดขืน พยานทราบหรือไม่คะ ว่าคนที่ทำอารยะขัดขืนอย่างคานธีเองก็ถูกลงโทษจากการทำอารยะขัดขืน
จำเลย: ทราบครับ
อัยการ: แล้วพยานล่ะคะ หากศาลมีคำพิพากษาลงโทษพยานจะยอมรับโทษไหม
จำเลย: หากศาลทหารมีคำสั่งลงโทษผมก็ปฏิเสธ แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าผมจะยอมรับอำนาจ คสช. หรือคณะรัฐประหาร หรือเห็นด้วยกับคำพิพากษาดังกล่าว
อัยการ: หมดคำถามค่ะท่าน
ศาล: หน้าบัลลังก์เอาคำเบิกความให้พยานดูเนื้อหาหน่อย (อัยการเดินมารับไปคุยกับพยาน)
ศาล: โอเค นัดสืบพยานครั้งหน้าเมื่อไร
ทนาย: ของพยานฝ่ายจำเลยหมดแล้วครับ ขอตัดพยานและขอนำส่งแถลงการณ์ปิดคดีครับ
ศาล: โอเค ด้านท่านอัยการไม่ติดขัดอะไรนะ
อัยการ: ค่ะ
ศาล: ตามนั้น ฟังกระบวนพิจารณาคดีนะ วันนี้นัดสืบพยานจำเลย โจทก์ จำเลย และทนายความจำเลยมาศาล สืบพยานจำเลยหนึ่งปาก คือ นายสันติ พิทักษ์ จำเลยอ้างตัวเองเป็นพยาน ทนายจำเลยแถลงขอตัดพยาน และขอนำส่งแถลงการณ์ปิดคดี โจทก์ไม่คัดค้าน นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 5 มีนาคม 2560 วันนี้พอเท่านี้
หน้าบัลลังก์: ทั้งหมดตรง! เคารพศาล!
(ดับไฟ)
หมายเหตุ:
*นิทรรศการ ‘ใครๆ ก็ไปศาลทหารได้’ จัดที่สถาบันปรีดี พนมยงค์ ระหว่างวันที่ 3-5 มีนาคม จัดโดย โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw)
*บทละครจำลองสถานการณ์ในศาลทหาร ถูกเขียนขึ้นจากการสังเกตการณ์คดีและรวบรวมข้อมูลของ iLaw