นักข่าวเมียนมาที่หลบหนีภัยรัฐประหารอาจต้องเผชิญการเนรเทศออกจากไทย

นักข่าวเมียนมาที่หลบหนีภัยรัฐประหารอาจต้องเผชิญการเนรเทศออกจากไทยนักข่าว 3 คนกับนักเคลื่อนไหวอีกสองคนที่หลบหนีจากเมียนมากำลังจะเผชิญการพิจารณาคดีในประเทศไทยด้วยข้อหาลักลอบเข้าประเทศโดยผิดกฎหมาย หากพบว่ามีความผิด ทั้งหมดมีแนวโน้มว่าจะถูกส่งตัวกลับไปยังเมียนมาซึ่งพวกเขาบอกว่าชีวิตทุกคนจะตกอยู่ในอันตราย

ทั้ง 5 คนซึ่งยังไม่ได้รับการเปิดเผยชื่อจากทางการไทย ถูกตำรวจควบคุมตัวไว้ที่ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นักข่าว 3 คนเป็นผู้ประกาศชื่อดัง ของ ‘เสียงประชาธิปไตยแห่งพม่า’ (Democratic Voice of Burma — DVB) กับนักกิจกรรมอีก 2 คน

นับตั้งแต่เกิดรัฐประหารในเมียนมาเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2021 ผู้สื่อข่าวหลายสิบคนถูกจับกุมและตั้งข้อหา ตั้งแต่นั้นมามีผู้เสียชีวิตโดยฝีมือตำรวจและทหารมากกว่า 700 ราย อีกหลายพันคนถูกควบคุมตัว มีรายงานหลายครั้งเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัวที่ถูกทรมาน มีบางคนเสียชีวิตจากอาการบาดเจ็บ

“ชีวิตของพวกเขาจะตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงหากต้องถูกส่งกลับ” อัย ชัน เนง (Aye Chan Naing) ผู้อำนวยการบริหารของ DVB กล่าวในแถลงการณ์ ซึ่งขณะนี้เขากำลังยื่นคำร้องขอต่อสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (Unied Nations High Commissioner for Refugees) เพื่อขอความช่วยเหลือ

แถลงการณ์ระบุว่าทั้งหมดจำเป็นต้องหลบหนีการปราบปรามของกองทัพในเมียนมา DVB และองค์กรสื่ออิสระอื่นๆ อีกหลายแห่งถูกเพิกถอนใบอนุญาตไปแล้ว

พ.ต.อ.ฐาปนพงศ์ ชัยรังษี ผู้กำกับการตำรวจภูธรสันทราย เชียงใหม่ กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์สว่า ชาวเมียนมาทั้ง 5 คนถูกจับกุมเนื่องจากลักลอบเข้าประเทศโดยผิดกฎหมายและจะถูกนำตัวขึ้นพิจารณาคดีในศาลวันนี้ (อังคารที่ 11 พ.ค.)

นายตำรวจกล่าวว่าทั้งหมดจะถูกเนรเทศตามกฎหมาย แต่เสริมว่าเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ตอนนี้ พวกเขาจะถูกกักขังไว้ก่อนเป็นเวลา 14 วันก่อนส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง

เช่นเดียวกับองค์กรสื่อหลายแห่ง DVB ถูกห้ามให้ดำเนินการในเมียนมา จึงต้องหลบอยู่ในที่ไม่เปิดเผย และลักลอบออกอากาศโดยไม่ได้ขออนุญาต

สำนักผู้ประกาศข่าวกล่าวว่า “เราขอเรียกร้องอย่างหนักแน่นให้ทางการไทยไม่ดำเนินการส่งพวกเขากลับเมียนมา เพราะชีวิตของพวกเขาทั้งหมดจะตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงหากกลับมาถึงที่นี่”

องค์กรสื่อ ‘เถื่อน’ หลายแห่งเคยตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ประเทศไทยตลอดช่วงที่มีการปกครองโดยกองทัพอันยาวนานในอดีต และนับตั้งแต่การรัฐประหารเดือนกุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวและนักเคลื่อนไหวหลายสิบคนได้ข้ามพรมแดนมาอีกครั้งเพื่อหลบหนีการจับกุม

เมื่อก่อนนี้ทางการไทยเคยแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นผู้ลี้ภัยเหล่านี้ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีหนังสือเดินทางหรือวีซ่าของทางการ

ประเทศไทยเคยเป็นฐานรองรับผู้ลี้ภัยจำนวนมากในอดีตบ่อยครั้งตลอดเวลาหลายปี

แต่ไทยยังไม่ได้ลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติและพิธีสารว่าด้วยผู้ลี้ภัย (United Nations Convention and Protocol on Refugees — UNCPR) และบางครั้งก็เคยมีการเนรเทศกลุ่มเหล่านี้ออกจากประเทศ เช่นกลุ่มผู้อพยพโรฮิงญาจากรัฐยะไข่ของพม่า กับกลุ่มผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์จากประเทศจีน แม้ว่าพวกเขาอาจต้องเผชิญกับการจับกุมบางครั้ง หรือที่แย่กว่านั้นก็ต้องถูกส่งไปตกอยู่ในเงื้อมมือของรัฐบาลของตน

ชมรมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (Foreign Correspondents Club of Thailand — FCCT) ยังส่งเสียงเรียกร้องให้ทั้ง 5 คนได้รับสิทธิในการอยู่อาศัยในประเทศ โดยกล่าวว่าพวกเขาจะต้องเผชิญกับ “การจับกุมและการข่มเหงบางรูปแบบค่อนข้างแน่นอน”

“โลกกำลังเฝ้าดูสิ่งที่ทางการไทยกระทำในกรณีอันสำคัญเช่นนี้เพื่อเสรีภาพสื่อมวลชนในเมียนมาและภูมิภาค และเพื่อปกป้องผู้ที่หลบหนีจากการปราบปรามสื่ออิสระรวมทั้งภาคประชาชนด้วยรูปแบบอันโหดร้ายของรัฐบาลทหาร”

ตามรายงานของ FCCT นักข่าวมากกว่า 70 คนในจำนวนประชาชนกว่า 5,000 รายถูกจับกุมในเมียนมานับตั้งแต่รัฐประหาร และเสริมว่าส่วนใหญ่ถูกคุมขังในช่วงเวลาที่มีรายงานการทรมานและการวิสามัญฆาตกรรมอย่างกว้างขวาง

กลุ่มตรวจสอบสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง (Assistance Association for Political Prisoners — AAPP) ระบุว่ามีนักข่าวกว่า 50 คนยังคงถูกคุมขังและครึ่งหนึ่งถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาร้ายแรง นอกจากนี้ยังมีการจับกุมนักข่าวต่างประเทศอีกสองสามคน

ที่มา

Reuters Myanmar reporters, activists arrested in Thailand

Straitstimes Myanmar reporters, activists arrested in Thailand face deportation

BBC Myanmar: Journalists who fled coup face Thailand deportation

Author

ไพรัช แสนสวัสดิ์
ทำงานหนังสือพิมพ์รายวันฉบับภาษาอังกฤษมาทั้งชีวิต มีความสนใจในระดับหมกมุ่นหลายเรื่อง อาทิ ประวัติศาสตร์ วรรณคดี การเมือง สังคม วัฒนธรรม ศิลปะ จักรยาน ฯลฯ ช่วงทศวรรษ 2520 มีงานแปลทะลักออกมาหลายเล่ม หนึ่งในนั้นคือ Bury my heart at Wounded Knee หรือ ฝังหัวใจข้าไว้ที่วูนเด็ดนี
ปัจจุบันเกษียณตัวเองออกมาทำงานแปลอย่างเต็มตัว แต่ไม่รังเกียจที่จะแปลและเขียนบทวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศ หากเป็นประเด็นที่คิดว่ามีประโยชน์ต่อชาวโลก

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า