พระคาร์ดินัลชาวออสเตรเลียซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่วาติกันระดับอาวุโสสูงสุดที่เคยถูกไต่สวนคดีการล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เยาว์ถูกคณะลุกขุนในศาลแห่งเมืองเมลเบิร์น ออสเตรเลีย ลงมติเอกฉันท์ว่ามีความผิดฐานทำละเมิดต่อนักร้องประสานเสียงอายุ 13 ปีสองคนที่โบสถ์แห่งหนึ่ง ในสังฆมณฑลที่เขาเคยปกครองอยู่นานห้าปีระหว่างทศวรรษ 1990
ศาลแขวงแห่งเมลเบิร์นเพิ่งถอนคำสั่งห้ามเผยแพร่ผลมติของคณะลูกขุนเมื่อวันอังคารนี้ หลังจากการลงมติเอกฉันท์เมื่อ 11 ธันวาคม 2018 ว่า คาร์ดินัล จอร์จ เพลล์ (George Pell) มีความผิดตามฟ้องคดีล่วงละเมิดทางเพศ มีข่าวตามมาด้วยว่าสำนักข่าวและนักข่าวจำนวนหนึ่งอาจถูกดำเนินคดีข้อหาละเมิดอำนาจศาล หลังจากออกข่าวฝ่าฝืนคำสั่งห้ามของศาลเมื่อก่อนหน้านี้
สำนักวาติกันแถลงถึงผลของการพิจารณาคดีครั้งแรกตามข่าวในวันอังคารว่าเป็น ‘ความเจ็บปวด’ และระบุว่าคาร์ดินัลเพลล์กำลังจะอุทธรณ์คำตัดสิน สำนักวาติกันกล่าวว่า คาร์ดินัลเพลล์อยู่ภายใต้คำสั่ง ‘ต้องระมัดระวัง’ ให้หลีกเลี่ยงการติดต่อกับผู้เยาว์ และไม่สามารถประกอบพิธีสงฆ์ต่อสาธารณะได้ วาติกันแจ้งว่ามาตรการเหล่านั้นยังคงมีผลอยู่ในขณะที่รอ ‘การประเมินที่ชัดเจนของข้อเท็จจริงทั้งหลาย’
ก่อนเดินทางกลับถึงออสเตรเลียเพื่อเผชิญหน้ากับข้อกล่าวหาทั้งหมด คาร์ดินัลเพลล์ได้ขออนุญาตลาพักจากตำแหน่งที่สำนักวาติกันในฐานะเหรัญญิกของวาติกัน หรือเทียบเท่ารัฐมนตรีคลังผู้ดูแลด้านเศรษฐกิจทั้งหมด ซึ่งในวงการถือว่ามีอาวุโสเป็นอันดับสามในระดับของการปกครองแห่งศาสนจักรคาทอลิก เขาได้ผ่านการคัดเลือกกำหนดตัวตนโดยเฉพาะจากระดับสูงของวาติกันให้เข้าควบคุมกลไกด้านการเงินการคลังและแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน
“เรารอผลของกระบวนการอุทธรณ์โดยระลึกว่าคาร์ดินัลเพลล์ยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์และมีสิทธิ์ที่จะปกป้องตนเองจนกว่าจะถึงขั้นอุทธรณ์สุดท้าย” เจ้าหน้าที่แห่งสำนักวาติกันกล่าว
ก่อนหน้านี้มีการพิจารณาคำฟ้องในห้าข้อหาแบบเดียวกันซึ่งเริ่มในเดือนสิงหาคม แต่คณะลูกขุนไม่สามารถลงมติได้จึงต้องพิจารณาใหม่อีกครั้ง เมื่อมีการลงมติของลูกขุนในข้อหาละเมิดทางเพศอันร้ายแรงครั้งนี้แล้วอัยการจึงถอนคดีประพฤติผิดอื่นต่อผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 16 ปีระหว่างทศวรรษ 1970 ออกไป ความผิดตามคำฟ้องนี้เกิดขึ้นในเดือนธันวาคม 1996 และต้นปี 1997 ที่อาสนวิหาร เซนต์ แพทริค หลังจากเพลล์ ฉลองการเข้ารับตำแหน่งพระอัครสังฆราชแห่งเมลเบิร์น
คำขอประกันตัวของคาร์ดินัลเพลล์ถูกศาลเพิกถอนเมื่อวันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ เขาถูกควบคุมตัวเข้าสู่ที่จองจำโดยเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์หลังจากการประกันตัวของเขาถูกยกเลิกอย่างเป็นทางการ เพลล์จะถูกพิพากษาตัดสินโทษในวันที่ 13 มีนาคม ก่อนนี้เขาได้รับอนุญาตให้ประกันตัวตั้งแต่ลูกขุนมีมติออกมา และอยู่ระหว่างพักฟื้นจากการผ่าตัดหัวเข่า
พระสันตะปาปาฟรานซิสยังไม่ได้ออกแถลงการณ์อย่างใดต่อสาธารณชน ก่อนหน้านี้ท่านเคยกล่าวยกย่องเพลล์สำหรับความซื่อสัตย์และปฏิกิริยาตอบสนองต่อกรณีล่วงละเมิดทางเพศเด็กรายอื่น แต่เพียงสองวันหลังจากการลงมติตัดสินที่ยังไม่ได้รายงานเป็นทางการในเดือนธันวาคม สำนักวาติกันก็ได้ประกาศว่าเพลล์และคาร์ดินัลอีกสองรูปถูกปลดออกจากคณะที่ปรึกษาของสำนักสันตะปาปาแล้ว
กรณีที่คาร์ดินัลเพลล์ถูกพิพากษาและลงโทษจำคุกน่าจะก่อให้เกิดคลื่นความตระหนกครั้งใหญ่ในบรรดามวลมหาสัตบุรุษคาทอลิกทั่วโลก และอาจเกิดแรงกระทบต่อความพยายามของโป๊ปฟรานซิสที่จะเข้ามาจัดการกับการละเมิดทางเพศในแวดวงนักบวช การลงมติของคณะลูกขุนครั้งนี้เกิดขึ้นไม่กี่วันหลังจากการประชุมสุดยอดพระคาร์ดินัลและบาทหลวงอาวุโสที่ไม่เคยมีมาก่อนต่อหน้าพระสันตะปาปาที่นครวาติกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งสัญญาณว่าประเด็นนี้ได้มาถึงจุดหักเหของปัญหาที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้วงการนักบวชเสียหายไปอย่างมากมาย รวมทั้งสั่นคลอนตำแหน่งและสถานะขององค์ประมุขแห่งศาสนจักร
หลังจากหัวหน้าผู้พิพากษาศาลแขวง ปีเตอร์ คิดด์ (Peter Kidd) ประกาศถอนคำสั่งปิดกั้นการรายงานข่าวเมื่อเช้าวันอังคาร คาร์ดินัลเพลล์เดินออกจากศาลไปขึ้นรถยนต์ที่รออยู่ท่ามกลางกำลังตำรวจและกองทัพผู้สื่อข่าว มวลชนจำนวนหนึ่งซึ่งรวมทั้งผู้เสียหายจากการละเมิดทางเพศกับบรรดาญาติพี่น้องพากันส่งเสียงโห่ร้องสาปแช่งนักบวชผู้เสื่อมเกียรติ
ชายคนหนึ่งตะโกน “ไปลงนรกซะเถิด ลงไปเผาไหม้ในนรกเลย เพลล์”
คาร์ดินัลปิดปากเงียบโดยไม่ตอบโต้หรือออกแถลงการณ์อย่างใด แต่ทนายความที่ปรึกษาของจำเลย พอล แกลบอลลี (Paul Galbally) กล่าวต่อนักข่าวว่า “ท่านคาร์ดินัลยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของท่านมาโดยตลอด และจะยังคนยืนยันต่อไป”
เขาเสริมว่า “ได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์ต่อคำตัดสินนี้ไปแล้ว และตอนนี้เรากำลังรอให้เป็นไปตามกระบวนการอุทธรณ์”
หนึ่งในชายผู้เสียหายศูนย์กลางแห่งคดีที่ได้ร้องเรียนจนเกิดการพิจารณา ซึ่งไม่สามารถระบุชื่อได้ตามกฎหมายออสเตรเลีย เปิดปากร้องขอความเป็นส่วนตัวเมื่อศาลมีคำสั่งให้ยกเลิกการปิดกั้นข่าวโดยกล่าวว่าเขาเป็น “คนปกติธรรมดาที่ทำงานเพื่อสนับสนุนและปกป้องครอบครัวของผมให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“เช่นเดียวกับผู้เสียหายที่ยังมีชีวิตอีกหลายคน ผมได้รับความอับอาย ความเหงาอ้างว้าง ความซึมเศร้า และต้องพยายามดิ้นรน” เขากล่าวในแถลงการณ์ “และเช่นเดียวกับผู้ยังรอดชีวิตอยู่จำนวนมาก ผมต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเข้าใจถึงผลกระทบที่เกิดกับชีวิตของผม…บางขณะเราตระหนักว่าเราเชื่อใจคนที่เราควรต้องกลัว และเรากลัวความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับเราควรเชื่อถือ ผมขอขอบคุณครอบครัวของผมทั้งที่อยู่ใกล้และไกล ผู้ที่ให้การสนับสนุนผมและช่วยเหลือกันและกัน”
พวกผู้เสียหายจากการละเมิดทางเพศกลุ่มอื่นต่างออกแถลงแสดงความยินดีต่อมติของลูกขุนในคดีนี้
สภาพภายในศาลวันที่ลูกขุนมีมติคำตัดสิน หลังจากการพิจารณาสี่สัปดาห์ เพลล์ยืนอยู่ในคอกจำเลยโดยไม่แสดงปฏิกิริยา จ้องมองตรงไปข้างหน้า ภายในห้องนั้นเงียบกริบขณะหัวหน้าคณะลูกขุนอ่านผลการลงมติของสมาชิกคณะลูกขุนต่อศาลตัดสินว่าจำเลยผู้เป็นพระคาร์ดินัลมีความผิดในทุกข้อหา
ค่อนข้างแน่ชัดว่าต่อไปเพลล์จะต้องเผชิญกับโทษจำคุก
คณะลูกขุนพบว่าในช่วงปลายเดือนธันวาคม 1996 ขณะดำรงตำแหน่งอัครสังฆราชแห่งเมลเบิร์น เพลล์แอบเข้าหานักร้องประสานเสียงอายุ 13 สองคนหลังจากประกอบพิธีบูชามิสซาศักดิ์สิทธิ์วันอาทิตย์ ที่อาสนวิหาร เซนต์ แพทริค และลงมือล่วงละเมิดทางเพศต่อวัยรุ่นทั้งสอง
ผู้ร้องในคดีซึ่งบัดนี้มีอายุ 35 ปี กล่าวว่า เขากับนักร้องประสานเสียงอีกคนหนึ่งแยกตัวออกจากกลุ่มเด็กขับร้องขณะทั้งหมดทยอยเดินออกจากอาคารโบสถ์ คำฟ้องของอัยการโจทก์ยึดเอาคำให้การนี้เป็นหลักฐานสำคัญเนื่องจากเหยื่ออีกรายเสียชีวิตไปในปี 2014 หลังจากใช้เฮโรอีนจนเกินขนาด เหยื่อทั้งสองไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับการล่วงละเมิดในเวลานั้น
หลังจากออกจากขบวนแล้วผู้ร้องเรียนกล่าวว่า เขาและเด็กชายอีกคนแอบย่องเข้าไปในทางเดินของคริสตจักร และเข้าไปในห้องห้องศาสนภัณฑ์สำหรับเตรียมเครื่องศักดิ์สิทธิ์ของบาทหลวง ที่ซึ่งทั้งสองรู้ดัวว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกควร พวกเขานำเอาเหล้าองุ่นศักดิ์สิทธิ์ออกมาและเริ่มดื่ม ผู้ร้องเรียนกล่าวหาว่าคาร์ดินัลเพลล์เดินเข้ามาหาทั้งคู่และบอกว่า เด็กทั้งสองคนกำลังเจอกับปัญหาขนาดหนัก
ผู้ร้องให้การต่อศาลว่า เพลล์จัดแจงเสื้อคลุมเพื่อเปิดอวัยวะเพศของเขาออกมา เขาก้าวเข้าถึงร่างเด็กชายอีกคนแล้วโอบรัดด้านหลังศีรษะของเขาไว้ และกดบังคับให้ศีรษะของเด็กชายก้มลงเข้าสู่อวัยวะเพศของเขา
หลังจากนั้นเพลล์ก็ทำแบบเดียวกันกับผู้ร้อง ข่มขืนเขาทางปาก เมื่อทำเสร็จแล้วเขาสั่งให้ผู้ร้องถอดกางเกงออกแล้วลูบขยำอวัยวะเพศของผู้ร้อง พลางสำเร็จความใคร่ให้แก่ตนเอง ผู้ร้องกล่าวว่า การบังคับละเมิดเหล่านั้นใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที แล้วเด็กชายทั้งสองก็ออกจากห้องไปถอดเสื้อคลุมนักร้องแขวนไว้และกลับบ้าน
การเข้าเป็นสมาชิกคณะนักร้องประสานเสียงของผู้ร้องเป็นเงื่อนไขหนึ่งของการรับทุนการศึกษาเพื่อเข้าเรียนที่ วิทยาลัย เซนต์ เควิน ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนชั้นยอดในย่านทูแร็คที่มั่งคั่งร่ำรวยชานเมืองเมลเบิร์น
“ผมรู้ดีว่าผมอาจจะยังคงได้รับทุนการศึกษาหรืออาจจะถูกถอดถอนไปตอนไหนก็ได้แม้ในวัยที่โตขนาดนั้นแล้ว” ผู้ร้องให้การต่อศาล “ผมไม่ต้องการสูญเสียสิ่งนั้น ทุนมีความหมายมากสำหรับผม และผมจะทำอย่างไรได้หากผมพูดแพร่งพรายถึงพระอัครสังฆราชด้วยเรื่องแบบนี้? มันเป็นอะไรบางสิ่งที่ติดตัวผมมาจนตลอดชีวิต”
ผู้ร้องกล่าวหาว่าอาจเป็นปลายปี 1996 นั้น หรือต้นปี 1997 เพลล์ก็ล่วงละเมิดเขาอีกครั้ง เขาบอกว่าเขากำลังเดินตามทางระเบียงไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของคณะนักร้องประสานเสียงหลังจากร้องเพลงที่โบสถ์ในพิธีศักดิ์สิทธิ์วันอาทิตย์ เขากล่าวหาว่าเพลล์เข้ามาถึงตัว ผลักร่างเขาติดกับผนัง เอามือบีบเคล้นอวัยวะเพศเขาจากภายนอกเสื้อคลุม แล้วก็เดินจากไป
ผู้ร้องเรียนแจ้งต่อศาลว่า หลังจากถูกโจมตี เขาไม่สามารถเข้าใจได้ถ่องแท้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง เขาจึงจัดการกับความรู้สึกนั้นด้วยการผลักดันมันไปที่ “ซอกมุมอันมืดมิดที่สุดในความคิดคำนึง”
ในคำแถลงของตำรวจ ผู้ร้องกล่าวว่าเขาจำได้ว่าเพลล์ “คืออำนาจสำคัญในสถานที่แห่งนั้น”
“เขามีลักษณะท่าทีของคนที่มีอำนาจใหญ่โต” เขากล่าว “ผมต้องดิ้นรนกับเรื่องนี้โดยตลอดมานานแล้ว…แม้กระทั่งกว่าจะสามารถมาถึงจุดนี้ได้ เพราะผมเข้าใจว่าเพลล์ทำให้ผมหวาดหวั่นมาทั้งชีวิต…เขามีตำแหน่ง (ภายหลัง) ในวาติกัน เขาเป็นคนมีอำนาจอิทธิพลสูงในตำแหน่งประธานคณะและมีสายสัมพันธ์มากมาย”
ในการแถลงปิดคดี มาร์ค กิบสัน (Mark Gibson) อัยการสูงสุดของรัฐแจ้งต่อคณะลูกขุนให้ตัดสินใจว่าพวกเขาเชื่อหรือไม่ว่าคำให้การของผู้ร้องเป็นจริงโดยปราศจากข้อสงสัยตามสมควร ลูกขุนน่าจะเห็นได้ชัดว่าผู้ร้องเป็นพยานที่ซื่อตรงตามความจริงดังที่ได้ปรากฏในคำแถลงฟ้องคดี
เพลล์ให้การปฏิเสธความผิดตั้งแต่ต้น เขาถูกสัมภาษณ์โดยตำรวจแห่งรัฐวิคตอเรีย คริสโตเฟอร์ รีด (Christopher Reed) ในกรุงโรมเมื่อตุลาคม 2016 และวิดีโอการสัมภาษณ์นั้นถูกนำมาเปิดแสดงต่อศาล ในการสัมภาษณ์เพลล์อธิบายข้อกล่าวหาว่าเป็น “เศษขยะและความเท็จทั้งสิ้น”
เมื่อรีดกล่าวว่าการละเมิดตามที่ถูกกล่าวหาครั้งนั้นเกิดขึ้นหลังจากพิธีมิสซาวันอาทิตย์ เพลล์ตอบว่า “นั่นยิ่งดีสำหรับผม เพราะมันทำให้เป็นไปไม่ได้กันใหญ่แบบสุดอัศจรรย์ยิ่งขึ้นไปอีก”
ทีมต่อสู้ทางกฎหมายของเพลล์บอกกับคณะลูกขุนว่า มีความเป็นไปไม่ได้หลายประการในคำฟ้องของอัยการ และพวกเขาควรสรุปได้เองว่าการกระทำผิดเช่นนั้นไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย ทนายบอกว่าไม่น่าเป็นไปได้ที่เด็กชายสองคนจะผละออกจากขบวนนักร้องโดยไม่มีใครสังเกตเห็น หรือว่าห้องศาสนภัณฑ์นั้นจะไม่มีใครอยู่หรือไม่ได้ปิดล็อคไว้ได้อย่างไร เสื้อคลุมของนักร้องถูกนำเข้าไปแสดงในศาลเพื่อให้ลูกขุนดู
ทนายความยังได้ใช้โปรแกรมนำเสนอ PowerPoint ในการดำเนินคดีครั้งหลังระหว่างเขาแถลงปิดคดีต่อคณะลูกขุน ซึ่งเขาไม่ได้ทำเช่นนี้ในครั้งแรก หนึ่งในแผ่นสไลด์มีความว่า “มีเพียงคนเสียสติเท่านั้นที่จะพยายามข่มขืนเด็กชายสองคนในห้องเตรียมศาสนภัณฑ์ของนักบวชทันทีหลังจากพิธีมิสซาศักดิ์สิทธิ์วันอาทิตย์”
ผู้พิพากษาคิดด์แถลงคำแนะนำต่อคณะลูกขุนว่าการพิจารณาคดีจะต้องไม่ถูกใช้ให้เป็นโอกาสที่จะทำให้เพลล์กลายเป็นแพะรับบาปสำหรับความล้มเหลวของศาสนจักรคาทอลิก
คณะลูกขุนใช้เวลาไม่ถึงสี่วันในการวิเคราะห์ปรึกษาและตัดสินลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์
นอกจากนั้น นักข่าวจำนวนมากประมาณ 100 คนยังถูกกล่าวหาว่าละเมิดคำสั่งห้ามรายงานข่าวของศาลด้วยข้อหาหมิ่นศาลและอาจถึงกับถูกจำคุกได้ สำนักข่าวหลายแห่งที่ตีพิมพ์หรือออกอากาศในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดีส่งจดหมายแจ้งไปยังนักข่าวของตน รวมถึง News Corp, Nine Entertainment และ Australian Broadcasting Corporation ระหว่างหลายวันที่ผ่านมา
เหตุผลของศาลในการออกคำสั่งอย่างเข้มงวดคือ จำเลยเพลล์ต้องเผชิญกับการพิจารณาคดีครั้งที่สองเกี่ยวกับความผิดในอดีตอันเป็นข้อกล่าวหาแยกต่างหาก ผลของการพิจารณาครั้งแรกถูกศาลออกคำสั่งปิดกั้นชั่วคราวเพื่อให้ข้อมูลมีโอกาสน้อยที่จะส่งอิทธิพลต่อคณะลูกขุนในครั้งที่สอง คำสั่งปิดกั้นการเสนอข่าวไม่ได้เป็นสิ่งผิดปกติในกรณีเช่นนี้
แต่ตอนนี้ ผู้พิพากษาคิดด์สั่งให้ยกเลิกข้อจำกัดการรายงานแล้ว หลังจากอัยการฟ้องข้อหาที่สอง แล้วศาลตัดสินว่าหลักฐานสำคัญไม่เพียงพอให้ศาลสามารถยอมรับได้ ทำให้คำฟ้องคดีของอัยการด้อยน้ำหนักลงอย่างมาก
อาร์คบิชอป มาร์ค โคเลอริดจ์ (Mark Coleridge) ประธานสภาพระสังฆราชแห่งออสเตรเลีย กล่าวว่า ผลของคดีดังกล่าวก่อความตระหนกแก่คริสต์ศาสนิกชนจำนวนมหาศาลทั่วทั้งออสเตรเลียและทั่วโลก “รวมถึงบรรดานักบวชระดับนำในศาสนจักรคาทอลิกแห่งออสเตรเลียทั้งหมด
“บรรดาสังฆราชเห็นด้วยว่าทุกคนควรมีสถานะเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย และเราเคารพระบบกฎหมายของออสเตรเลีย ระบบกฎหมายเดียวกันกับที่ได้ออกคำพิพากษาครั้งนี้ก็จะเป็นผู้พิจารณาคำอุทธรณ์ซึ่งทีมกฎหมายของท่านคาร์ดินัลได้ยื่นคำร้องไปแล้ว
“ตลอดเวลาเรามีความหวังว่ากระบวนการนี้จะดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม”
สำหรับภาพที่กว้างขึ้น ก่อนทศวรรษ 1970 อาชญากรรมโดยการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กและผู้เยาว์ที่เกิดขึ้นในแวดวงศาสนจักรคาทอลิกนั้นไม่ค่อยได้มีการเอ่ยถึงในที่สาธารณะ ซึ่งต่อมาภายหลังหลายปีจึงรู้กันในวงกว้างว่ามีหลายกรณีถูกกดดันให้ปิดบังเอาไว้ แล้วก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากสภาพเดิมแบบนั้นเมื่อย่างเข้าสู่ทศวรรษ 1980 ที่ได้เกิดหลายกรณีปรากฏขึ้นระลอกแรกในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาว่าด้วยเรื่องนักบวชกระทำผิดต่อเด็กและเยาวชนด้วยการก่อปัญหาโอ้โลมปฏิโลมทางเพศ ทำอนาจาร หรือถึงขั้นข่มขืน
อีกหลายทศวรรษต่อมามีหลักฐานว่าการละเมิดหลายรูปแบบโดยนักบวชได้เกิดขึ้นทั่วโลก การไต่สวนอย่างเป็นทางการในออสเตรเลียแสดงผลว่า 7 เปอร์เซ็นต์ของนักบวชคาทอลิกในประเทศเคยก่อเหตุทำร้ายเด็กด้วยลักษณะของการละเมิดดังกล่าว
นับตั้งแต่เมืองเล็กในชนบทของออสเตรเลียไปจนถึงโรงเรียนในไอร์แลนด์ และจนถึงเมืองใหญ่น้อยทั่วสหรัฐอเมริกา ศาสนจักรคาทอลิกบัดนี้ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาทารุณกรรมทางเพศต่อเด็กนับจำนวนมากมายมหาศาลระหว่างหลายทศวรรษที่ผ่านมา
หลายกรณีที่อื้อฉาวโด่งดังเกี่ยวข้องกับบุคคลระดับสมณศักดิ์สูงล้ำ รวมถึงคำให้การและพยานหลักฐานในหลายคดีความแบบเชือดเฉือนจิตใจระหว่างการซักถามเพื่อเป็นข้อมูลสาธารณะ ได้กลายเป็นข่าวพาดหัวครั้งสำคัญอย่างต่อเนื่องมาแล้วตลอดหลายปี
ธีโอดอร์ แมคคาร์ริค (Theodore McCarrick) อายุ 88 ปี อดีตพระคาร์ดินัลแห่ง วอชิงตัน ดี.ซี. ในสหรัฐอเมริกา นับจากปี 2001 ถึง 2006 เพิ่งจะโดนไล่ให้สึกออกจากความเป็นพระสงฆ์ เนื่องจากถูกกล่าวหาในการทำละเมิดทางเพศเมื่อเพียง 10 วันก่อนหน้านี้ – ทำให้เขาเป็นนักบวชคาทอลิกอาวุโสสูงสุดที่โดนถอดถอนฐานะสงฆ์ในยุคปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน ประเด็นการช่วยปกปิดผู้ถูกกล่าวหายังคงก่อปัญหาเรื้อรังให้แก่แวดวงศาสนจักร กลุ่มผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวนมากโวยวายว่าสำนักวาติกันยังไม่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างเพียงพอ ในความพยายามที่จะแก้ไขปัญหานี้ เมื่อไม่นานสันตะปาปาฟรานซิสได้จัดให้มีการประชุมสุดยอดที่ไม่เคยมีมาก่อนเกี่ยวกับการกระทำลามกอนาจารในวงการนักบวชแห่งศาสนจักร
แม้ว่าข้อกล่าวหาของบางกรณีย้อนกลับไปได้จนถึงทศวรรษ 1950 การละเมิดทางเพศโดยนักบวชที่ได้รับความสนใจจากสื่ออย่างมีนัยสำคัญเป็นครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1980 ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ในทศวรรษ 1990 ปัญหาคล้ายกันเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นโดยมีอีกหลายกรณีเกิดขึ้นในอาร์เจนตินา ออสเตรเลีย ชิลี และประเทศอื่น ในปี 1995 อาร์คบิชอปแห่ง เวียนนา, ออสเตรีย ลาออก ท่ามกลางข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศในแวดวงศาสนจักรที่นั่น
ระหว่างทศวรรษนั้นมีการเปิดเผยเรื่องราวเริ่มต้นจากกรณีการละเมิดแต่ครั้งเก่าก่อนในไอร์แลนด์อย่างกว้างขวาง ช่วงต้นทศวรรษ 2000 การล่วงละเมิดทางเพศในแวดวงนักบวชของศาสนจักรกลายมาเป็นเรื่องอื้อฉาวระดับโลก
ในสหรัฐอเมริกา บทความรายงานพิเศษของหนังสือพิมพ์ Boston Globe (ตามที่ถูกบันทึกไว้ในภาพยนตร์ Spotlight ปี 2015) เป็นการเปิดเผยถึงการล่วงละเมิดอย่างกว้างขวาง และรวมถึงวิธีการที่นักบวชจอมอนาจารถูกย้ายไปมาในตำแหน่งต่างสถานที่โดยผู้นำศาสนจักรแทนที่จะให้คนเหล่านี้ต้องเผชิญกับข้อหาในคดีความที่ได้กระทำผิด ได้ช่วยกระตุ้นให้ผู้คนที่เคยตกเป็นเหยื่อก้าวออกมาแสดงตัวตนทั่วทั้งสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก
รายงานของทางการศาสนจักรเองเมื่อปี 2004 แสดงว่านักบวชโรมันคาทอลิกในสหรัฐอเมริกากว่า 4,000 คนได้เผชิญกับข้อกล่าวหาการล่วงละเมิดทางเพศระหว่าง 50 ปีที่ผ่านมาในกรณีที่เกี่ยวข้องกับเด็กมากกว่า 10,000 คน ส่วนใหญ่เป็นเด็กชาย
สันตะปาปาฟรานซิสได้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อหาหนทางจัดการกับการละเมิดทางเพศ ในไม่กี่วันที่ผ่านมาท่านได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะลงมือ ‘กระทำการอย่างเป็นรูปธรรม’ พร้อมกับออกคำประณามด้วยว่า การกระทำละเมิดทางเพศโดยนักบวชถือว่าเป็น ‘เครื่องมือของซาตาน’
แต่นักวิจารณ์กล่าวว่า สันตะปาปาน่าจะสามารถทำอะไรได้มากกว่านั้นเพื่อต่อสู้กับบรรดาเฒ่าหัวงูรวมถึงผู้ที่ช่วยปกปิดการล่วงละเมิดเหล่านั้น
อ้างอิงข้อมูลจาก:
Reuters
The Guardian
BBC
Washington Post