แทนที่คุณพ่อคุณแม่จะหมดเวลาไปกับความโกรธแค้นหรือหมกมุ่นกับการเอาผิดผู้ก่อเหตุ ซึ่งมักเป็นเรื่องทำได้ยากถึงยากมากในบ้านเรา อีกทั้งมิได้ประกันผลลัพธ์อะไรมากนัก
เรื่องฉุกเฉินหรืออีเมอร์เจนซี่คือพาเด็กที่ถูกทำร้ายหรือต้องสงสัยว่าถูกทำร้ายหรืออยู่ในเหตุการณ์ที่เพื่อนถูกทำร้ายไปพบจิตแพทย์ ในกรณีนี้คือจิตแพทย์เด็กที่ผ่านการฝึกอบรมตามมาตรฐานเรียบร้อยแล้ว
เพราะคุณหมอจะช่วยได้มาก
กระบวนการไปพบแพทย์เป็นเรื่องยาก มีกระบวนการหลายขั้นตอน และมีค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าพาเด็กไปพบแพทย์ที่ใด โรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชนมีค่าใช้จ่ายต่างกัน ใช้เวลารอคอยหลายวันหรือหลายสัปดาห์ต่างกัน แต่ผลลัพธ์ของการรักษาไม่น่าจะต่างกันมากหากพบจิตแพทย์เด็กที่ผ่านการฝึกอบรมเรียบร้อยแล้ว และถ้าโรงพยาบาลมีนักจิตวิทยาคลินิกที่มีเครื่องมือทดสอบทางจิตวิทยาเรียบร้อย
ลำพังนักจิตวิทยาคลินิกได้ใช้เครื่องมือทดสอบกับเด็กก็ช่วยเหลือเด็กไปได้มากแล้ว เพราะการทดสอบและการช่วยเหลือมักจะทำไปพร้อมกันได้ด้วยวิธีที่นักจิตวิทยาคลินิกได้ฝึกอบรมมา
หากไปโรงพยาบาลของรัฐและคุณหมอทราบว่าเป็นกรณีทำร้าย มักได้รับการพิจารณาลัดขั้นตอนอยู่บ้างแล้ว หากไปโรงพยาบาลเอกชนคิวไม่น่าจะยาวเท่าที่โรงพยาบาลของรัฐ แต่ค่าใช้จ่ายน่าจะพอสมควร ถ้าผู้ก่อความเสียหายเป็นผู้จ่ายค่ารักษาพยาบาลก็น่าจะดีไม่น้อย
ย้ำตรงนี้ว่าควรเป็นจิตแพทย์เด็ก มีคำว่าเด็กต่อท้าย และนักจิตวิทยาคลินิก มีคำว่าคลินิกต่อท้าย
สมัยที่ผมทำงานคนเดียวยังไม่มีจิตแพทย์เด็กมาช่วยงาน ผมมีนักจิตวิทยาคลินิกคนหนึ่งคอยช่วยเหลือ และมีแบบทดสอบทางจิตวิทยาครบชุดให้เขาได้ทำงาน ลำพังเขาคนเดียวก็ช่วยเหลือเด็กๆ ไปได้มาก
อีกเรื่องหนึ่งที่ขออนุญาตพูดคือ ระวังความเอิกเกริกเมื่อไปโรงพยาบาล ระวังเป็นข่าวมากกว่าที่เป็นอยู่ เด็กของเราอาจจะมิใช่ผู้ที่ถูกทำร้ายโดยตรง แต่ก็นั่งติดกับผู้ที่ถูกทำร้าย นั่งมองเพื่อนที่ถูกทำร้าย พบเห็นเหตุการณ์ที่เป็นข่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่รู้ว่าเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นมานานเท่าไร และไม่รู้ว่านอกเหนือจากการทำร้ายร่างกายยังมีการละเมิดเรื่องอื่นอีกหรือไม่
เป็นไปได้ว่าเด็กของเราผ่านเหตุวิกฤติมานานมากพอแล้ว ดังนั้นควรถึงเวลากันเขาออกจากสภาพแวดล้อมเหล่านี้เสียที
จึงว่าคุณพ่อคุณแม่อย่าเสียเวลาที่การเอาผิดผู้กระทำผิดนานจนเกินไป ควรมีใครบางคนจัดการเรื่องนี้แทนเราอยู่แล้ว ถ้าเป็นในหนังฝรั่งมีเพียบ ถ้าเป็นที่สแกนดิเนเวียทราบมาว่าหายห่วง ฝ่ายกฎหมายมาเป็นแผงพร้อมนักสังคมสงเคราะห์ที่เชี่ยวชาญด้านเด็ก
การตรวจเด็กในกรณีนี้มีข้อแตกต่างจากการตรวจเด็กที่มีปัญหาพฤติกรรมทั่วไป อย่างน้อย 2 ข้อ
ข้อแรก สำคัญ คุณหมอจะใส่ใจทุกเรื่องไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม!
กล่าวคือแม้แต่เรื่องที่เด็กคิดเอาเอง หรือขยายความจนเกินจริง ก็เป็นเรื่องสำคัญที่เราใส่ใจ เด็กเล็กรู้เห็นเหตุการณ์ หรือถูกกระทำโดยตรง เขาสามารถตีความ (interprete) ได้เท่าที่สมอง จิตใจ พัฒนาการ และ ‘คำศัพท์’ เท่าที่เขามีใช้
ย้ำตรงนี้ เขามีคำศัพท์ไม่มาก และวิธีใช้คำศัพท์ก็มิได้ถูกต้องตามไวยากรณ์ จึงว่าเราต้องการจิตแพทย์เด็กและนักจิตวิทยาคลินิก
คุณหมอและนักจิตวิทยาคลินิกจึงใส่ใจทุกเรื่อง เด็กอาจจะขยายความและต่อเติมเสริมแต่ง (elaborate) หรือจินตนาการเอาดื้อๆ (fantasy) ล้วนสำคัญทั้งสิ้น ยิ่งพาลูกไปพบช้าเท่าไรส่วนขยายและจินตนาการนี้จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
แทนที่จะลดลงไปตามกาลเวลา
เป็นดังที่ผมเขียนเสมอ ไม่สำคัญว่าความจริงคืออะไร ถ้าเด็กรู้สึก (feeling) ไปแล้ว มันคือใช่!
ข้อที่สอง จะเป็นภาระของคุณหมอในระยะยาว เราจึงควรให้กำลังใจคุณหมอที่ทำงานด้านนี้มาก กล่าวคือการตรวจรักษาครั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นไปตามระเบียบวิธีนิติจิตเวชศาสตร์ด้วย กล่าวคือคุณหมอจะได้บันทึกทุกสิ่งทุกอย่างเป็นหลักฐานทางกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นร่องรอยทางร่างกายหรือร่องรอยทางจิตใจ ร่องรอยทางร่างกายมีทีมแพทย์สหวิชาชีพทั้งโรงพยาบาลคอยเสริมทัพ
ด้านจิตใจเป็นงานของจิตแพทย์เด็กและนักจิตวิทยาคลินิก หลักฐานทุกอย่างอาจจะได้ส่งให้ฝ่ายกฎหมายในวันหน้า และคุณหมอต้องสละเวลาส่วนหนึ่งซึ่งไม่ค่อยจะมีไปให้การในชั้นศาลอีกด้วย เรียนตามตรงว่าเหนื่อยมากครับ เสียเวลาที่ศาลมากด้วย แต่เป็นหน้าที่
ในทีมสหวิชาชีพของโรงพยาบาลที่พรั่งพร้อม นอกเหนือจากแพทย์สาขาอื่นที่อาจจะต้องเข้ามาร่วมตรวจ ได้แก่ สูติแพทย์ ศัลยกรรมออโธปิดิกส์ ศัลยแพทย์ และกุมารแพทย์ ยังมีวิชาชีพที่ทรงคุณค่าสูงอีก เช่น พยาบาลวิชาชีพ นักพัฒนาการ นักกิจกรรมบำบัด นักแก้ไขการพูด เข้ามาร่วมประชุมและวางแผนการรักษาตามข้อมูลที่ได้รวบรวมมาตั้งแต่แรก
พูดง่ายๆ ว่าการรักษาครั้งนี้เป็นเรื่องจริงและมีประสิทธิภาพ มิใช่ของเล่น
“ลูกของเราคงไม่โดนมั้ง”
“ลูกของเราคงไม่เป็นอะไรมั้ง”
“ไม่ต้องไปตรวจคงไม่เป็นอะไรมั้ง”
เหล่านี้เป็นแฟนตาซีของพ่อแม่ ท่านตัดสินใจได้ อย่างไรก็ตามตำราเขียนไว้ชัดเจนว่าควรไป เพราะเราไม่แน่ใจว่าลูกแฟนตาซีไปไกลเท่าไร การตรวจ ทดสอบและรักษาจะช่วยได้
อ่าน เล่น ทำงานมากกว่าเดิม พอหรือไม่? สำหรับเด็กที่ไม่ถูกทำร้ายโดยตรง อาจจะได้ ขึ้นกับเขานั่งห่างจากเหตุการณ์กี่เมตร แต่สำหรับเด็กที่ถูกทำร้ายโดยตรง อ่าน เล่น ทำงาน มากกว่าเดิม–ไม่พอ
ปัญหากลับมาที่ระบบที่รองรับว่าทำงานได้ดีเพียงใด และรักษาความลับผู้ป่วยได้ดีเพียงใด
ประการสุดท้ายที่อยากจะเตือนคือ คุณพ่อคุณแม่ควรรักษาเรื่องนี้เป็นความลับส่วนบุคคล และถ้าทำได้ให้เลือกโรงพยาบาลที่มีระบบรักษาความลับผู้ป่วยคือเด็กซึ่งเป็นลูกของเราอย่างดีและเข้มงวดที่สุด ดังที่เขียนตั้งแต่ตอนต้นว่าควรพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เอิกเกริก
อย่าห่วงครับ หากทำดีๆ อนาคตของเด็กๆ จะเรียบร้อยดี เรามีวิชาการ ที่เหลือเป็นเรื่องกระบวนการ