‘วูนเด็ดนี’ กลับสู่รัฐสภาสหรัฐ เตรียมเรียกคืนเหรียญเกียรติยศจากการสังหารหมู่ชาวอินเดียน

การต่อสู้เรียกร้องโดยชาวพื้นเมืองแห่งสหรัฐอเมริกาเพื่อแก้ไขความทรงจำของผู้คนในประวัติศาสตร์สู่ความถูกต้อง ความภูมิใจของชนเผ่าพื้นเมือง และเรียกคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งหนึ่งในกรณีเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับ ‘การสังหารหมู่ที่วูนเด็ดนี’ (Wounded Knee Massacre) ที่ได้ดำเนินมายาวนาน หลังจากหลายสิบปีแห่งการต่อสู้ บัดนี้ ความพยายามอย่างไม่ลดละดังกล่าวส่อแววว่าอาจมีหนทางเป็นไปได้ในที่สุด

วุฒิสมาชิกสหรัฐประกาศเสนอร่างกฎหมายเรียกคืนเหรียญอิสริยาภรณ์กล้าหาญ (Medals of Honor) ที่มอบให้ทหารหลังจากการสังหารหมู่ที่วูนเด็ดนี

เมื่อวันพุธ 27 พฤศจิกายน สัปดาห์ที่ผ่านมา วุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครต เอลิซาเบธ วอร์เรน (Elizabeth Warren) และ เจฟฟ์ เมิร์คลีย์ (Jeff Merkley) ออกมาประกาศสนับสนุนร่างกฎหมายที่จะเรียกคืนเหรียญอิสริยาภรณ์เกียรติยศจากทหารกองทัพบกสหรัฐที่ได้ลงมือสังหารหมู่ที่วูนเด็ดนี ฆ่าฟันชาวอินเดียนพื้นเมืองที่ไม่ได้ถืออาวุธไปนับร้อยคน ตั้งแต่ปี 1890

วุฒิสมาชิกเอลิซาเบธ วอร์เรน, วุฒิสมาชิกเจฟฟ์ เมิร์คลีย์
วุฒิสมาชิกเอลิซาเบธ วอร์เรน และ วุฒิสมาชิกเจฟฟ์ เมิร์คลีย์

วุฒิสมาชิกวอร์เรนจากรัฐแมสซาชูเซตส์ เป็นนักการเมืองหญิงคนหนึ่งที่ประกาศจะรณรงค์เพื่อเป็นตัวแทนพรรคในสังเวียนเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งถัดไปในปี 2020

ร่างรัฐบัญญัติการเรียกคืนเหรียญอิสริยาภรณ์สำหรับ ‘ความกล้าหาญ’ ที่เคยมอบแก่ทหาร 20 นาย ในกรณีสังหารหมู่ครั้งนั้น เริ่มแรกได้รับการแนะนำขึ้นในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนหนึ่งรวมทั้ง สส.เด็บ ฮาแลนด์ (Deb Haaland – เดโมแครต, นิวเม็กซิโก) ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดา สส.หญิงอเมริกันพื้นเมืองอเมริกันคนแรก กับ สส.เดนนี เฮ็ค (Denny Heck) แห่งรัฐวอชิงตัน ซึ่งร่างกฎหมายนั้นยังไม่ได้ผ่านเข้าสู่กระบวนการลงมติ

“การกระทำอย่างน่าสยดสยองที่เกิดการใช้ความรุนแรงต่อผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก หลายร้อยคนที่วูนเด็ดนี สมควรถูกสาปแช่งและน่าได้รับการกล่าวโทษ ไม่ใช่เป็นการเชิดชูและเฉลิมฉลองด้วยการมอบเหรียญกล้าหาญ” วุฒิสมาชิกวอร์เรนกล่าว

“รัฐบัญญัติลบคราบมลทิน (Remove the Stain Act) ฉบับนี้จะเป็นการยอมรับเหตุการณ์อันน่าอับอายอย่างสุดซึ้งครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา และนั่นคือสาเหตุที่ดิฉันเข้าร่วมมือกับเพื่อนร่วมงานแห่งสภาผู้แทนราษฎรในความพยายามครั้งนี้เพื่อเสริมหนุนความยุติธรรมและก้าวสู่การแก้ไขความผิดต่อชนพื้นเมือง”

สส.ฮาแลนด์ กล่าวในแถลงการณ์ว่าการกระทำดังกล่าว “เป็นมากกว่าเพียงแค่การยกเลิกการมอบเหรียญอิสริยาภรณ์เกียรติยศแก่ทหารที่ประจำการในกรมทหารม้าที่ 7 ของสหรัฐ และการสังหารหมู่ผู้หญิงและเด็กชาวลาโกตาที่ไม่ได้ถืออาวุธ (ในปี 1890) – แต่ยังมุ่งจะทำให้ผู้คนตระหนักถึงประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ ที่เคยมีการเข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอเมริกันอินเดียน”

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยอ้างถึงกรณีวูนเด็ดนี ขณะที่กล่าวล้อเลียนการอ้างสิทธิของวุฒิสมาชิกวอร์เรนว่าตัวเธอเองก็มีเชื้อสายชนพื้นเมืองอเมริกัน เขาเรียกเธอว่า ‘โพคาฮอนตัส’ (Pocahontas) ที่กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่

ประกาศของวุฒิสมาชิกทั้งสองเกิดขึ้นเมื่อวันพุธ หนึ่งวันก่อนวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) ซึ่งวันหยุดทำการของรัฐบาลเพื่อระลึกถึงผลผลิตอาหารหลังฤดูเก็บเกี่ยวเมื่อปี 1621 มื้อที่ชาวอเมริกันพื้นเมืองและผู้แสวงบุญแบ่งปันกัน ระยะหลังมานี้วันขอบคุณพระเจ้าในสหรัฐอเมริกาได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น เมื่อผู้คนหลายฝ่ายกล่าวว่ามันสะท้อนถึงผลกระทบร้ายแรงจากการตั้งถิ่นฐานของคนผิวขาวในดินแดนของชนพื้นเมืองอเมริกัน

ตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมาชาวอเมริกันอินเดียนแห่งพื้นที่นิวอิงแลนด์ได้จัดงานวันชาติแห่งการไว้ทุกข์ของพวกตนในวันขอบคุณพระเจ้าเพื่อระลึกถึง ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนพื้นเมืองหลายล้านคน และการขโมยดินแดนดั้งเดิม’

มีการจัดงานรำลึก ‘วันแห่งการไว้ทุกข์’ ที่ พลีมัธ, แมสซาชูเซตส์ ซึ่งเป็นสถานที่แรกของการตั้งถิ่นฐานโดยผู้คนที่อพยพจากยุโรป

หนังสือพิมพ์ Washington Post บรรยายถึงกรณีวูนเด็ดนีว่า “เป็นหนึ่งในการกระทำที่น่าอับอายและนองเลือดอย่างหนักหนาที่สุดของการใช้ความรุนแรงต่อชาวพื้นเมืองในประวัติศาสตร์อเมริกัน” ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 29 ธันวาคม 1890

หัวหน้าบิ๊กฟุต (Chief Big Foot) ซึ่งกำลังนำพาพวกลูกเผ่า กลุ่มมินนีคอนจู ลาโกตา (ชาวเผ่าซู – Sioux) ที่กำลังอดอยากและหวาดกลัวการไล่ล่าของกองทหารออกแสวงหาแหล่งหลบภัยในเขตรัฐเซาธ์ดาโกตา เมื่อหน่วยทหารสหรัฐหยุดยั้งชาวเผ่าไว้ กลุ่มดังกล่าวยอมจำนนและถูกกวาดต้อนไปสู่บริเวณลำธารวูนเด็ดนี (Wounded Knee Creek) “โดยชาวเผ่าถูกโอบล้อมด้วยกองทหาร 470 นาย พร้อมกับปืนกลขนาดใหญ่ที่น่าเกรงขาม”  Washington Post เขียน

แม้ว่ารายละเอียดที่แท้จริงของการสังหารหมู่ไม่ได้รับการพิสูจน์ให้ปรากฏถ่องแท้ แต่เชื่อว่าเกิดการกระทบกระทั่งขึ้นขณะทหารกำลังพยายามปลดอาวุธบรรดาชาวเผ่าของหัวหน้าบิ๊กฟุต เป็นไปได้ว่ากระสุนปืนนัดหนึ่งลั่นขึ้นทำให้กองทหารม้าอเมริกันเริ่มเปิดฉากระดมยิง ก่อผลให้ชนพื้นเมืองอินเดียนถูกสังหารไประหว่าง 150 ถึง 400 ราย นักประวัติศาสตร์เห็นพ้องกันว่าผู้ที่ตกเป็นเหยื่อส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก

ต่อมาทหาร 20 นายแห่งกรมทหารม้าที่ 7 ที่มีส่วนร่วมในกรณีที่ทางการเรียกว่า ‘สมรภูมิวูนเด็ดนี’ แต่หลายฝ่ายเรียกว่า ‘การสังหารหมู่ที่วูนเด็ดนี’ ได้รับเหรียญอิสริยาภรณ์ชั้นสูง (Medal of Honor) ซึ่งตอนนั้นกองทัพอธิบายว่าเป็น “เหรียญระดับสูงสุดของประเทศสำหรับความกล้าหาญในการสู้รบที่เราสามารถมอบให้กับสมาชิกของกองทัพ”

Washington Post แจ้งว่า เหรียญจำนวนมากได้ถูกมอบให้เป็นรางวัลสำหรับ ‘วีรกรรมห้าวหาญ’ และ ‘ความกล้าหาญ’ แม้ว่าจะมีรายละเอียดเพียงเล็กน้อยเกี่ยวข้องกับการกระทำที่อ้างว่าเป็นไปในเชิงวีรบุรุษ

ผู้บังคับบัญชาระดับสูงนายหนึ่งแห่งกองทัพบก พลตรีเนลสัน ไมล์ส (Maj. Gen. Nelson A. Miles) เคยเขียนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า “ผมไม่เคยได้ยินเรื่องการสังหารหมู่แห่งใดที่โหดร้ายและเลือดเย็นมากไปกว่าที่วูนเด็ดนี”

Washington Post ระบุว่า ตามจดหมายที่อ้างถึงโดยพลตรีไมล์ส อธิบายถึงสภาพพวกผู้ที่ตกเป็นเหยื่อว่า “มีพวกผู้หญิงที่แบกลูกตัวน้อยอยู่บนแผ่นหลัง กับเด็กเล็กๆ ซึ่งถูกสังหารโดยพวกผู้ชายที่ลงมือฆ่าพวกเขาอย่างใกล้ชิด จนกระทั่งเปลวไฟจากดินปืนที่ปากกระบอกแผดเผาเนื้อหนังและเสื้อผ้า และปรากฏเด็กทารกมีรอยกระสุนห้ารูผ่านร่างยับเยิน”

ขณะที่การมอบเหรียญกล้าหาญเป็นไปอย่างหละหลวมและผ่อนปรนกันเองอย่างมากอยู่แล้วในศตวรรษที่ 19 นักวิชาการตั้งข้อสังเกตว่าจำนวนผู้รับเหรียญใน ‘กรณีวูนเด็ดนี’ อยู่ในอัตราที่สูงล้ำแบบค่อนข้างผิดปกติ ตัวอย่างคือในสมรภูมิแห่งแอนตีตัม (Antietam) ซึ่งเป็นการสู้รบดุเดือดเลือดพล่านครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในสงครามกลางเมืองเมื่อปี 1862 ได้รับกล่าวขวัญว่าเป็น ‘วันนองเลือดขนาดหนักสุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา’ ยังมีผู้ได้รับเหรียญกล้าหาญเพียง 20 รายเช่นกัน

ผู้สืบเชื้อสายชนพื้นเมืองอเมริกันได้พยายามผลักดันให้มีการเพิกถอนเหรียญตราที่มอบให้แก่ทหารที่เกี่ยวข้องกับ ‘กรณีวูนเด็ดนี’ มาโดยตลอดเป็นเวลาหลายสิบปีนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี 1997 สภาแห่งชาติของชาวอเมริกันอินเดียนได้มีมติเห็นพ้องเพื่อความพยายามขอให้ถอดถอนเหรียญกล้าหาญเหล่านั้น

สภาคองเกรสออกคำขอโทษอย่างเป็นทางการเมื่อปี 1990 โดยระบุว่า “ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งในนามของสหรัฐอเมริกาต่อลูกหลานของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ ผู้รอดชีวิต และชุมชนชนเผ่าของคนเหล่านั้น” แต่รายงานของสำนักข่าว AP ระบุว่า ร่างกฎหมายที่เสนอต่อสภาคองเกรสไม่ได้กล่าวถึงการชดใช้ในรูปแบบใด

สภาคองเกรสเคยเพิกถอนเหรียญอิสริยาภรณ์เกียรติยศนี้มาแล้วถึง 900 รายการ นับตั้งแต่ปี 1916

ร่างกฎหมายในสภาผู้แทนราษฎรฉบับนี้ได้รับการสนับสนุนจาก สส. จำนวนหนึ่ง รวมทั้งกลุ่มสมาคมและหน่วยของชนชาวพื้นเมืองอเมริกัน รวมทั้งสมาคมของทหารผ่านศึกจำนวนหนึ่ง

อ้างอิงข้อมูลจาก:
theguardian.com
nytimes.com
newsweek.com

 

Author

ไพรัช แสนสวัสดิ์
ทำงานหนังสือพิมพ์รายวันฉบับภาษาอังกฤษมาทั้งชีวิต มีความสนใจในระดับหมกมุ่นหลายเรื่อง อาทิ ประวัติศาสตร์ วรรณคดี การเมือง สังคม วัฒนธรรม ศิลปะ จักรยาน ฯลฯ ช่วงทศวรรษ 2520 มีงานแปลทะลักออกมาหลายเล่ม หนึ่งในนั้นคือ Bury my heart at Wounded Knee หรือ ฝังหัวใจข้าไว้ที่วูนเด็ดนี
ปัจจุบันเกษียณตัวเองออกมาทำงานแปลอย่างเต็มตัว แต่ไม่รังเกียจที่จะแปลและเขียนบทวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศ หากเป็นประเด็นที่คิดว่ามีประโยชน์ต่อชาวโลก

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า