จงตั้งคำถามกับศาสดา

sasdha 02

เรื่อง : อภิรดา มีเดช
ภาพ : facebook.com/sasdha

 

ท่ามกลางบรรยากาศกรุ่นกลิ่นอายสมานฉันท์ในสังคมไทย ยังมีเพจหนึ่งบนเฟซบุ๊คที่ดำรงอิสระเสรีทางความคิดจนน่าหมั่นไส้

ก่อนตั้งตนเป็น ‘ศาสดา’ หลายคนทราบที่มาที่ไปของไอดอลลึกลับบนโลกไซเบอร์ผู้นี้จากสื่อสำนักหนึ่งว่าเขาอยู่ในแวดวงรัฐศาสตร์ และเคยเป็นเจ้าของเพจ ‘ธเนศ เขตยานนาวา’ เพราะนับถือ อาจารย์ธเนศ วงศ์ยานนาวา เป็นการส่วนตัว แต่หน้าโซเชียลเน็ตเวิร์คที่กำลังไปได้สวยและได้ไฟเขียวจากเจ้าของชื่อตัวจริงโดยตรงก็จำต้องปิดลง เพราะกลัวคนสับสนและเกิดความเสียหาย

เรื่องราวบนเพจศาสดาค่อนข้างหลากหลาย ทั้งวิพากษ์สังคม วิจารณ์ศาสนา จิกกัดและตบหน้าความกระมิดกระเมี้ยนเรื่องเพศแบบไทยๆ ด้วยถ้อยคำในร่มผ้า ที่อาจระคายหูใครหลายคน

บางคนบอกว่า นี่คือหนามที่จะมาบ่งเสี้ยนดัดจริตที่ทิ่มตำหัวใจคนไทย เพราะสำนวนและประเด็นแบบศาสดาช่างแหลมคม แสบคัน ทว่าหนักหน่วงจนรู้สึกเหมือนโดนทุบหัวเข้าอย่างจัง

WAY ขอแหวกวงล้อมสาวกเพื่อตั้งคำถามกับศาสดา แต่จะให้ถามเพียง 5 ข้อ คงไม่พิเศษสมกับฉบับที่ 50 ครั้นชวนศาสดามาถกกันสัก 50 คำถาม คงเหนื่อยขาดใจ แต่เมื่อมนุษย์ธรรมดาปวารณาตัวเป็นศาสดา เราจึงขอมอบสถานะขั้นกว่าให้อีก 1 ข้อ

 

01 พอเป็นศาสดา พูดอะไรไปแล้วมีคนฟัง มีคนตาม รู้สึกถึงความเป็น ‘ศาสดา’ จริงๆ ไหม

แล้ว ‘ศาสดา’ แปลว่าอะไร ก็แปลว่าเป็นเจ้าลัทธิ เป็นคนที่พูดแล้วคนต้องเชื่อ ต้องเห็นด้วย ต้องเป็นสาวก เป็นอะไรที่ขัดไม่ได้ เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ หรือศักดิ์สิทธิ์ แต่ที่พูดมานี้กับเพจศาสดาคงไม่ใช่แน่นอน เพราะคุณก็เห็นแล้วว่าเพจผมโดนด่าเยอะ หลายคนที่กดไลค์ผม ไลค์เสร็จก็ด่าซะที อะไรอย่างนี้ บางคนเห็นด้วยบางเรื่อง อีกเรื่องไม่เห็นด้วย ก็เยอะแยะมากมาย คือมันไม่มีความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างศาสดากับสาวกแบบภาษาที่เราเข้าใจทั่วไป ดังนั้น จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นศาสดาแบบนั้นไม่น่าจะได้

อีกอย่าง สิ่งที่เพจศาสดาพูด ภาษาแต่ละคำที่ใช้ มันก็เหมือนเกรียนกับแว้นคุยกันนะ มีคำว่า ‘แม่ง’ แทบทุกประโยค ‘ห.ค.ย.’ วิ่งพล่านเต็มเพจ ศาสดาจริงๆ ที่ไหนเขาทำ? มันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

 

02 เอกลักษณ์หนึ่งของเพจที่ค่อนข้างติดตาคนอ่าน คือ คำหยาบ หมายความว่าการสร้างยอดไลค์ยอดรักจำเป็นต้องมีกระบวนการทางการตลาดหรือเปล่า

คือภาษาพวกนี้มันเป็นภาษาที่เราใช้กันอยู่ แต่ใช้ในบางสถานการณ์ อย่างคำว่า ‘แม่ง’ เราก็ใช้ในวงเพื่อน หรือขอโทษนะครับ แม้แต่ ห.ค.ย. นี่ ทุกคนก็พูด เกือบทุกคนต้องพูดนะ อย่างน้อยเวลามีเซ็กซ์กับแฟน เวลามีอารมณ์มากๆ คุณก็พูดไม่ใช่เหรอ? ไม่ว่าจะสบถ จะคราง ก็คำพวกนี้ทั้งนั้น

แต่ถึงที่สุดแล้วคุณก็ทำมันใน Private Space ที่ที่ไม่มีคนเห็น ไม่มีใครรับรู้ นอกจากคุณกับเพื่อนสนิทและแฟนคุณ แต่สิ่งที่เพจผมทำ ก็แค่เอาคำที่คุณพูดอยู่แล้วใน Private Space มาพูดใน Public Space เท่านั้นเอง ผมไม่ได้ทำอะไรใหม่ ผมไม่ได้ประดิษฐ์สร้างคำหยาบใหม่อะไรขึ้นมาเลยนะ ผมแค่ขยับ space ของมันเท่านั้นเอง แค่นี้คุณก็ว่าผมหยาบคายแล้วเหรอ?

 

03 ถ้ามีสาวกไปสร้างพฤติกรรมเกะกะระราน หรือล้ำเส้นไปถึงขั้นอาฆาตมาดร้ายผู้อื่น ในฐานะศาสดาจะทำอย่างไร

เฮ้ย ฟังแล้วทะแม่งๆ นะ คุณเข้าใจเพจผมว่ายังไง เพจผมไม่ใช่เพจล่าแม่มดนะ ไม่ใช่เพจเสียบประจาน คือ ถึงแม้ผมจะโพสต์อะไรขัดกับ ‘จริต’ ของชนชั้นกลางไทยอยู่บ้าง แต่ลึกๆ มันก็มีขอบเขตว่าเรานำเสนออะไร และจำกัดความเหมาะสมที่ตรงไหน นี่ผมไม่ได้บอกให้ใครทำตาม หรือบอกว่านี่เป็นมาตรฐานที่ถูกต้องดีงาม แต่มันเป็นเรื่องส่วนตัวที่ผมยึดไว้เอง ว่าผมมีขอบเขตแค่ไหน

เพจผมนี่ เน้นเสียดสี ล้อเลียน เอาเรื่องเครียดๆ มาทำให้ขำ และเอาเรื่องขำๆ มาทำให้เครียด ส่วนมากจะเน้นฮา แต่บางครั้งมีหัวข้อวิพากษ์วิจารณ์ แต่ถึงที่สุดแล้วมันต้องไม่ล้ำเส้นไปถึงการหยามเหยียดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่เหยียดเพศ ไม่เหยียดศาสนา คือ ขำๆ นะได้ แต่ถ้าใครมาแนวหัวรุนแรง หรือใช้ Hate speech นี่ ผมลบทันทีนะ เพราะผมไม่เห็นด้วย และไม่แฮปปี้ที่จะให้มันเกิดขึ้นในเพจนี้ ผมสนับสนุนสันติวิธี และต่อต้านความรุนแรง เพราะผมไม่ชอบความตาย ผมไม่อยากตาย

 

sasdha 01

 

04 ในประเด็นทางสังคมต่างๆ จำเป็นต้องมี ‘ศาสดา’ หรือผู้รู้ คอยชี้แนะให้หมดทุกเรื่องเลยหรือ

ผมคิดว่าดัชนีที่ชี้ว่าคนใช้ความฉลาดในเชิงเหตุผลของตัวเองได้ไหม มาจากความขัดแย้ง หรือดูจากการถกเถียง ถ้าที่ไหนคนเออออเห็นด้วยกันหมดนี่น่ากลัว เวลาเราพูดว่าตอนนี้สังคมเรากำลังขัดแย้ง แตกแยกทางความคิดเห็น นั่นแหละ แปลว่าคนฉลาดกำลังใช้เหตุผลกันอยู่

จริงๆ สังคมเราตลกมากที่สื่อมวลชนให้ความสำคัญกับผู้รู้มาก แล้วมันก็จะเป็นพล็อตเดิมๆ เพราะคุณใช้คนรุ่นแก่ๆ เดิมๆ ที่มีความคิดแบบนี้ มาลงเป็นข่าว แล้วก็ผลิตซ้ำความคิดเหล่านี้ออกไปเรื่อยๆ ศีลธรรมตกต่ำ บริโภคนิยม ฯลฯ โดยที่ไม่ให้คนที่มีความคิดต่างออกสื่อหลักบ้าง แล้วสุดท้ายสังคมจะมีอะไร ก็มีเสียงเดียว แล้วเสียงแบบเดิมๆ พูดมากี่ปีก็พูดเหมือนเดิม เอาแต่ด่าตะวันตก อวยสังคมไทย

สังคมประชาธิปไตย ถ้าอยากโฟกัสก็ต้องโฟกัสทุกเสียง คือให้ทุกๆ ฝ่าย ทุกๆ กลุ่มความคิดได้มีพื้นที่ หรือไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องแทรกความเห็นใครเลย เสนอแต่เนื้อข่าวล้วนๆ แล้วให้คนคิดกันเอง

สื่อต่างประเทศหลายๆ สื่อ จะมีการเสนอเหตุผลสนับสนุนควบคู่ไปกับข้อคัดค้าน (Pro & Con) สมมุติจะเสนอเรื่องอะไร เขาก็จะไปหาคนหนึ่งที่เห็นด้วย แล้วก็หาคนที่ไม่เห็นด้วยมาลงคู่กัน ให้มีมุมแย้งกันช็อตต่อช็อต แต่สังคมไทยไม่มี เรามีแค่หมอประเวศ, ว.วชิรเมธี, สุเมธ ตันติเวชกุล, เกษม วัฒนชัย วนกันไปอยู่อย่างนี้ ไม่เบื่อเหรอ? ทำไมไม่ให้ คำ ผกา หรือ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ออกสื่อหลักบ้างล่ะ

 

05 ในฐานะศาสดา พอจะแนะหนทางรับมือกับคนที่ตัดสินผู้อื่นโดยไม่ฟังเหตุผลบ้างไหม

ก็ต้องสู้ด้วยเหตุผลไปเรื่อยๆ ที่สุดถ้าคุณเชื่อว่าคุณเป็นฝ่ายที่ใช้เหตุผลจริงๆ ก็ต้องอดทนและใช้เหตุผลต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่ฟังก็ตาม

สิ่งที่เป็นประชาธิปไตยคือความอดทน ถ้าสุดท้ายเราไปมัดมือเขาแล้วบอกว่า มึงต้องเชื่อตามกู มันก็ไม่ใช่แล้ว สุดท้ายเราก็จะเลวไม่ต่างจากฝ่ายที่เราด่า

ถ้าคุณอยากให้ประชาธิปไตยเป็นกระบวนการ มันก็ต้องใช้เวลา แต่ถ้าคุณใช้มันเป็นข้ออ้างไปสู่ความสำเร็จ คุณทำอะไรก็ได้ เอาคนไปยิงกันก็ได้…ไม่มีปัญหา แต่ถ้าคุณอยากให้มันเป็นกระบวนการ อยากให้เป็นวัฒนธรรม อยากให้มันอยู่ยั่งยืน คุณก็ต้องอดทนและรอให้มันเบ่งบาน รอให้คนที่ไม่เคยฟังเหตุผลเลยหันมาฟังบ้าง แม้มันจะใช้เวลานานมากก็ตาม

และนี่คือปัญหาของสังคมไทยเหมือนกัน สังคมไทยใจเร็วนะ อย่างเช่น อยากจะกำจัดทักษิณ ก็ทำทุกทางเพื่อที่จะเอาทักษิณออกให้ได้ ไม่สนวิธีการและความถูกต้อง เพราะคุณไม่เชื่อ ไม่ศรัทธาว่าสุดท้ายกระบวนการในระบอบประชาธิปไตยจะกำจัดคนอย่างทักษิณออกไปได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งปืนและรถถัง

 

…………………………………………………………………………

 

คำถามพิเศษสำหรับศาสดา
06 ‘ความจริง’ ในมุมมองศาสดาคืออะไร

ความจริงมันก็มีหลายแบบนะ สิ่งที่มนุษย์ยังมีข้อจำกัดนั่นคือ ไม่ว่าจะยังไงคุณก็ไม่มีวันที่จะเห็นความจริงแบบ God’s eye view อย่าง Bird’s eye view มันคือมองจากมุมสูง แต่ God’s eye view คือคุณมองแล้วรู้ทุกสิ่งอย่าง ว่านั่นเกิดอะไรขึ้น นี่เกิดอะไรขึ้นแบบ 360 องศา ซึ่งมนุษย์ไม่มีความสามารถถึงขั้นนั้น

พูดง่ายๆ คือเกิดอะไรขึ้น เราก็ไม่รู้ แต่เรามองผ่านเลนส์ที่เราเห็น เลนส์ของเราที่เคลือบไปด้วยอุดมการณ์ที่เรายืน จุดยืนของเรา ตัวตนเรา การเลี้ยงดู ความเชื่อ ศาสนา การหลอมสร้างตัวตนเราขึ้นมา นั่นคือความจริงที่เราเห็น พูดในภาษาปรัชญา นั่นคือเรามองเห็นโลกภายใต้ ‘อัตตะ’ (subjectivity) ของเรา

ก็เหมือนกับฝ่ายที่โดนกล่อมเกลามากๆ เขาก็จะเชื่อว่า เราเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ มีคนจะแย่งเรา จะทำร้าย จะล้มสถาบัน เราต้องปกป้อง เขาก็โดนหล่อหลอม โดนปลูกฝังมาอย่างนั้น นั่นก็เป็นความจริงของเขา แต่ความจริงอย่างที่ผมและคนจำนวนมากเห็นก็คือมันไม่มีจริง นั่นมันพล็อตแบบนิยายชัดๆ

คือจะเชื่ออะไรนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่สุดท้ายมันต้องเถียงกันด้วยหลักฐาน ไม่ใช่ใช้จินตนาการ ซึ่งผมมองนี่คือปัญหาของสังคมไทย ที่เรามักเชื่อใน ‘ทฤษฎีสมคบคิด’ (Conspiracy Theory) คือชอบจินตนาการทุกเรื่องเป็นพล็อตนิยายไปหมด ซึ่งผมว่าแม่งเพ้อเจ้อ บ้า ประสาทแดก!

 

***********************************

(หมายเหตุ : ตีพิมพ์ครั้งแรก พฤษภาคม 2555)

Author

กองบรรณาธิการ
ทีมงานหลากวัยหลายรุ่น แต่ร่วมโต๊ะความคิด แลกเปลี่ยนบทสนทนา แชร์ความคิด นวดให้แน่น คนให้เข้ม เขย่าให้ตกผลึก ผลิตเนื้อหาออกมาในนามกองบรรณาธิการ WAY

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า