Sex Worker OnlyFans & Sex Creator : คนนอกระบบ บนแพลตฟอร์มระคายต่อมศีลธรรม

เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายน เว็บไซต์ OnlyFans ประกาศแบนเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่หรือ 18+ ภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2021 หลังถูกกดดันจากพาร์ทเนอร์กลุ่มธนาคาร หากแต่ในเวลาต่อมา ทิม สโตกลีย์ (Tim Stokeley) กลับลำไม่ระงับเนื้อหาดังกล่าว ทำให้คอนเทนต์ของบรรดา creator ทุกรูปแบบยังคงสามารถเผยแพร่บนแพลตฟอร์มได้

ต่อมาวันที่ 21 กันยายน ที่ผ่านมา ตำรวจนำกำลังบุกจับกุม ‘น้องไข่เน่า’ sex creator บนแพลตฟอร์ม OnlyFans พร้อมแฟนที่โรงแรมย่านบางพลี จังหวัด สมุทรปราการ ด้วยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 ข้อหาร่วมกันผลิตและเผยแพร่สิ่งลามก ทำให้เกิดกระแสการพูดถึงสิทธิของคนกลุ่ม sex worker อีกครั้งหนึ่ง

2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงขวบเดือนที่ผ่านมา ปรากฏคำสำคัญอยู่ 2 คำใหญ่ๆ คือ sex worker และ OnlyFans คำสองคำนี้ไหลเวียนอยู่ในโลกของการถกเถียงในกระแสสังคมอยู่ตลอดเวลา คำแรก ในฐานะของสิ่งที่รัฐจ้องจับผิด จับวางคู่เคียงกับศีลธรรมอันดีอย่างย้อนแย้ง ส่วนคำหลัง ถูกพูดถึงอย่างมากภายหลังการระบาดของโควิด-19 ในสังคมโลก

WAY ชวนคุยกับ ยู (นามสมมุติ) sex creator บนแพลตฟอร์ม OnlyFans ถึงการปรับตัว มุมมอง และความเป็นไปของสังคม sex worker ในไทย ท่ามกลางห้วงเวลาของ 2 เหตุการณ์ข้างต้น ประกอบกับข้อถกเถียงที่ว่า sex worker ควรถูกกฎหมายหรือไม่ แม้ทัศนะดังกล่าวจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ แต่ก็ช่วยให้เราเข้าใจความซับซ้อนของโลกที่ทับถมด้วยศีลธรรมอันดีได้ในระดับหนึ่ง 

ปรากฏการณ์ ‘น้องไข่เน่า’ ไม่ใช่เรื่องใหม่ของสังคม แต่ทำไมจึงถูกจุดกระแสขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า 

ในกลุ่ม Onlyfans มีการตั้งข้อสังเกต 2-3 เรื่อง หนึ่ง มันเป็นการเบี่ยงประเด็นข่าวเพื่อหวังผลทางการเมืองอะไรบางอย่างหรือไม่ สอง อยู่ๆ เสือกหวังดีกับสังคมขึ้นมาเสียอย่างนั้น เพราะเห็นว่าสิ่งนี้เป็นอันตรายหรือเป็นภัยต่อศีลธรรมอันดี

ประเด็นเรื่องเบี่ยงประเด็นทางการเมือง คนเขาก็วิเคราะห์กันตามประสาที่ว่ารัฐกำลังผลักกฎหมายให้ต่างชาติครอบครองที่ดิน[1] ซึ่งกำลังตกเป็นข่าววิพากษ์วิจารณ์กัน แล้วรัฐก็ถนัดปั่นกระแสข่าวพอสมควรในระดับยุทธศาสตร์ เราจะเห็นว่า พอมีการดำเนินนโยบายใดก็ตามที่ประชาชนไม่พอใจ เหมือนอยู่ๆ ก็จะมีข่าวอะไรก็ไม่รู้โผล่ขึ้นมาเป็น talk of the town ตีคู่กันมาแทบจะทุกครั้ง

ประเด็นที่สอง คนทั่วไปมองว่า อยู่ๆ พวกผู้ใหญ่ก็เห็นสิ่งนี้ขึ้นมา เลยแสดงความเป็นห่วง แล้วลงมาควบคุมดูแล ถ้าเป็นไปในทิศทางนี้ก็สร้างความมึนงงต่อคนทำคอนเทนต์พอสมควร

กรณีคุณไข่เน่า ผมคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่รัฐต้องแอคชั่นอยู่แล้ว ตำรวจเองก็มีการแอคชั่นด้านนี้กันมาต่อเนื่อง การจับคนที่ไปมีเพศสัมพันธ์กันในที่สาธารณะ จับคนที่เขาไปนัดสวิงกิงกัน จับวัยรุ่นนัดปาร์ตี้เซ็กส์หมู่ จับฝรั่งที่ถ่ายทำคลิปโป๊ในประเทศไทย ซึ่งก็จะมีกระแสข่าวแบบนี้อยู่เป็นพักๆ แต่ไม่เคยพูดถึงการแก้ปัญหา แล้วเราก็เมินกันมาตลอด ซึ่งผมเห็นข่าวพวกนี้ตลอดเวลา มันแทบจะทำให้ใจผมปลงตั้งแต่ตอนนั้นแล้วครับว่า ทำไมไม่ค่อยมีคนสนใจประเด็นหรือพูดถึง

กรณีของคุณไข่เน่าที่เป็นกระแสขึ้นมา อาจเพราะคุณไข่เน่าเขาเป็นแอคเคาท์ที่โด่งดัง ก็เลยทำให้คนออกมาปกป้องกันเยอะ ซึ่งต่างกับต่างชาติที่เข้ามาถ่ายทำคลิปโป๊ในบ้านเรา ตอนนั้นไม่มีใครเรียกร้องให้เขาเลย แม้แต่ sex worker ข้างถนนที่โดนจับ ก็ไม่มีใครต่อสู้ให้เขา เพราะไม่ใช่ข่าวกระแสหลัก แต่พอเกิดปรากฏการณ์น้องไข่เน่าที่ฮือฮาขึ้นมา ผมก็พยายามมองมันอย่างเข้าใจนะ เพียงแต่ผมหมดความอินไปกับมันไปเสียแล้วครับ เพราะเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอยู่ตลอด

แต่ทำไมคนเพิ่งออกมาต่อสู้เรียกร้องกรณีน้องไขเน่า ซึ่งเราอาจจะมองได้ว่าเป็นหมุดหมายที่ดีในการเริ่มต้นหรือเปล่า หรือว่าการตื่นรู้ของคนมันพร้อมแล้วที่จะเปลี่ยน paradigm เพื่อหาทางแก้ไขตรงนี้กันแล้ว

สำหรับกลุ่มคนผู้ชายที่ออกมาพูด เท่าที่ผมเห็นคอมเมนต์ ก็มีคอมเมนต์ทุเรศๆ นะ ผมลองไปไถเฟซบุ๊คดู เห็นเพื่อนในเฟซบุ๊คแสดงความคิดเห็นในประเด็นนี้จนผมแทบจะอ้วกเลยครับ “เฮ้ย มึงไปประกันตัวน้องเขาสิ” ไอ่เชี่ย อะไรเนี่ย วิธีคิดมึงคืออะไร มึงจะไปประกันเขาทำไม mindset แบบนี้มันส่อไปในทาง harassment ในตัว จากการที่ออกมา call out ให้คุณไข่เน่าด้วย

ถ้าเป็นคนที่เฝ้ามอง เขาอาจรู้สึกว่า harassment ได้ อย่างกลุ่ม creator เขามองสิ่งนี้ว่าต้องรักษาสิทธิของกลุ่มอาชีพนี้ไว้ แต่ในกลุ่มที่เฝ้ามอง เขาเข้าใจอย่างนั้น 100 เปอร์เซ็นต์หรือเปล่า อาจจะมีคนสักครึ่งหนึ่งที่เข้าใจว่า sex worker ก็คืองาน แต่อีกกลุ่มหนึ่งก็เรียกร้องเพื่อความสนุกปาก อะไรอย่างนี้ ผมว่ามันก็มีอยู่

เราไม่ได้ต้องการให้รัฐเข้ามาควบคุมดูแลอะไรหรอก เพราะในกลุ่ม sex worker เองก็มีความเข้าใจ และยอมรับสภาพกันพอสมควรแล้ว สิ่งที่เขาต้องการคือ แค่มองพวกเขาให้เป็นมนุษย์คนหนึ่งในสังคมก็พอ

เอาจริงๆ ทุกคนก็ค่อนข้างจะรู้ว่าทำแบบนี้มันผิดกฎหมายในไทย แต่ไม่จำเป็นต้องผลักดันให้เป็นรูปธรรมหรือมีผลในทางปฏิบัติ เขาก็สามารถที่จะทำต่อไปได้ แค่แบบว่า คุณปล่อยไปเถอะ แล้วคุณไปจับพวกข่มขืน พวกล่อลวงเด็ก อะไรอย่างนั้นดีกว่า พวกนั้นดูเป็นอะไรที่คุณน่าจะทำมากกว่ามาไล่จับ creator ที่เขาตระหนักรู้ในเรื่่องของสิทธิและจริยธรรม อันนี้เป็นข้อเรียกร้องของผมนะ อย่างในกลุ่ม Onlyfans เขาก็มีการรวมรายชื่อเพื่อเรียกร้องเปลี่ยนแปลงกฎหมายอยู่แล้ว 

สำหรับผม มันเป็นเรื่องเทาๆ ไม่ขาว ไม่ดำ คนเราใส่เสื้อผ้ามากี่ปีกี่ยุคกี่สมัยแล้ว จะมาให้เขาแก้ผ้าเดินภายในวันนี้พรุ่งนี้ คงเป็นไปได้ยาก

ทำไมถึงเริ่มทำ OnlyFans แล้ว sex worker กับแพลตฟอร์ม OnlyFans อยู่ในชะตากรรมเดียวกันไหม

เริ่มแรก ผมเคยมีคลิปช่วยตัวเองหลุดออกไปในทวิตเตอร์ แล้วเผอิญว่ามีคนรู้จักส่งกลับมาให้ผมดู ว่าคลิปผมมันหลุดออกไปนะ แล้วทีนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองก็มี potential ด้านนี้ ก็เลยลองทำจริงจังขึ้นมาครับ ตอนแรกก็ทำไปเล่นๆ แบบว่าลงรูปตัวเองตอนออกกำลังกาย ถ่ายรูปตัวเองทุกครั้งหลังออกกำลังกาย แล้วก็ลงในทวิตเตอร์ ลงใน OnlyFans ลงไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดว่าจะมีคนติดตามอะไรมาก แต่สุดท้ายพอทำไปทำมาก็มีคนเริ่มเข้ามาติดตามเรื่อยๆ เริ่มมีคน donate หรือให้ทำอะไรอย่างนี้ครับ จากนั้นผมก็เริ่มทำจริงจัง เริ่มคิดเป็นระบบ มีการถ่ายทำจริงจัง มีการวางแผน ทำได้ประมาณ 2-3 เดือน ก็มีแนวโน้มว่าพอจะเลี้ยงตัวเองได้ มีรายรับเข้ามา 10,000-20,000 บาทต่อเดือน แต่พอเกิดเหตุการณ์ที่ว่า OnlyFans จะปรับกฎการเผยแพร่ มันก็เลยสะดุดไป

แพลตฟอร์มเหล่านี้พอทำไปถึงจุดหนึ่งแล้ว มันจำเป็นที่จะต้องหาพาร์ทเนอร์ร่วมกับธนาคาร เพื่อใช้เป็นช่องทางการจ่ายเงิน แล้ว OnlyFans เขาอยากให้กลุ่มเขาเป็นเหมือนทวิตเตอร์ อย่างเช่นเว็บไซต์ของทวิตเตอร์มันเป็นการแชท OnlyFans เขาเห็น potential ด้านนี้ที่เหมือนเป็นพื้นที่ส่วนตัว ไม่จำเป็นต้องเป็น sex worker เท่านั้น เป็นกลุ่มโปรดิวเซอร์ กลุ่มคนทำเพลง กลุ่มดารา คุณก็สามารถสร้างพื้นที่ OnlyFans ของคุณได้ เขาอยากจะผลักดันให้ OnlyFans เกิดพื้นที่ตรงนี้ โดยเขาอาจจะลืมไปว่า จริงๆ แล้วกลุ่ม sex worker ทำให้ OnlyFans เกิดขึ้นมาได้ 

ตอนนั้นกลุ่ม sex worker ก็เสียฐานลูกค้าไปมาก อย่างคนที่ subscribtion ผมอยู่ เขาก็เลิกติดตามไปเลยถึง 50 เปอร์เซ็นต์ กระทบเหมือนกันทั่วโลก คือกลุ่มผู้ติดตามหายไปเกือบครึ่งหนึ่ง แล้วก็ย้ายแพลตฟอร์มกระจัดกระจายกันไป ในช่วงนั้นที่ OnlyFans ประกาศกฎนี้ออกมา กลุ่ม sex worker ก็เริ่มสมัครหาแพลตฟอร์มใหม่ๆ แต่สุดท้ายแล้ว หลายๆ คนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ฐานลูกค้ามันไม่แน่นเท่า OnlyFans

พอ OnlyFans เปิดให้กลับไปทำได้ ไม่ใช่ทุกคนแฮปปี้นะ ก็คือด่านะ คือตบหัวแล้วมาลูบหลังเรา แต่ในฐานะที่เราเป็นคนทำเงินกับด้านนี้ มันก็ไม่มีตัวเลือก ก็ต้องกลับไปอยู่กับเขา

เหตุการณ์ที่ OnlyFans จะแบนแอคเคาท์ 18+ เกิดขึ้นเมื่อประมาณต้นเดือนกันยายน พอช่วงปลายเดือนก็เกิดเหตุการณ์คุณไข่เน่าขึ้นมาอีก หลายๆ คนก็เลิกเล่น เลิกทำคอนเทนต์ช่วงนี้ไปเลย ไปไล่ลบรูปกันใหญ่ ไล่ล็อคแอคเคาท์ บางคนก็พักมันไปเลย มีหายกันไปเยอะ ส่วนคนที่ไม่หายมันก็มี เพราะว่าคนกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทยด้วยซ้ำ หรือไม่ได้ใช้ธนาคารไทยในการรับเงิน เขาก็เลยเลือกที่จะอยู่ต่อ แล้วก็กำลังดูสถานการณ์กันอยู่ด้วย โดยเฉพาะการแอคชั่นเรื่องการแก้ไขพระราชบัญญัติการค้าประเวณี อะไรประมาณนี้

กลุ่ม sex worker เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงกันต่อ ส่วนใหญ่ก็ปิดแอคเอาท์ไปก่อน พอเรื่องคลี่คลายก็ค่อยกลับมาทำใหม่ ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้กัน 

OnlyFans ตอบโจทย์กลุ่ม sex worker อย่างไรในช่วงโควิด-19

OnlyFans ในตัวของมันเองแล้ว พาร์ทเนอร์ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่ม sex worker ตัวแพลตฟอร์มนี้ในเว็บต่างประเทศก็ค่อนข้างมีมาสักพักแล้ว พอสังคมไทยเริ่มรู้ว่ามันขายได้ มี potential ทำเงินจากตรงนี้ได้ ก็ถือว่าเป็นช่องทางในการทำเงินในช่วงวิกฤติโควิดอย่างนี้เหมือนกัน 

ถามว่าแบบมันเป็น solution หนึ่งไหมสำหรับกลุ่มนี้ บอกเลยว่าใช่ครับ แต่มันก็มีช่องทางอื่นที่เขาทำกันก่อนที่ OnlyFans จะเกิด อย่างเช่นว่า บางคนก็จะเปิดกรุ๊ปไลน์ของตัวเอง เปิดทวิตเตอร์ ทวิตเตอร์ที่เป็น ‘แอคล็อค’ อย่างนี้ก็มี แบบว่าจ่ายค่าสมาชิก แล้วเขาก็จะแอดเฟรนด์คุณเข้าไปอยู่ในแอคเคาท์ของเขา เพื่อให้เข้าไปดูคอนเทนต์ของเขาได้ ผมว่ากลุ่มไลน์น่าจะมาก่อน OnlyFans เลยด้วยซ้ำ

ถ้าติดตาม OnlyFans กลุ่มคอนเทนต์เขาก็จะมีการแคปรูปรายได้เขาลงมาอวดให้ดู ว่าเขามีรายได้เป็นล้านอะไรแบบนี้ แต่ก็เป็นส่วนน้อยเหมือนกันที่จะอยู่กับมันได้จริงๆ เพราะว่าการทำคอนเทนต์ตรงนี้ มันแลกมาด้วยหลายอย่าง 

พอมาทำคอนเทนต์จริงๆ มันก็เป็นเหมือนงานหนึ่งที่ต้องวางแผนการผลิตมันออกมา ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ มันก็อยู่ไม่ได้ หรือว่าทำเป็นแค่คลิปซ้ำๆ เดิมๆ ไม่มีคอนเทนต์อะไรใหม่ๆ คนเขาก็เลิกติดตาม นอกจากจะมีความเหลื่อมล้ำทางด้านหน้าตาแล้ว ก็มี privilege ต่างๆ อีกมากมายที่ต้องตอบโต้กัน 

มีคนออกมาพูดทำนองว่า แก้ผ้าแบบนี้มันหาเงินได้นะ คือบางทีมันก็พูดง่ายไปหน่อย จะแก้ผ้าและทำงานได้ มันก็ต้องมีลักษณะที่ดีด้วย ต้องมีความเข้าใจด้วยนะครับ ถามว่าคนที่ทำคอนเทนต์ตรงนี้แล้วไม่ประสบความสำเร็จมีเยอะไหม ก็เยอะนะเท่าที่ผมเห็น เปิดได้เดือนสองเดือนไม่รอดก็เลิกกันไป หรือทำแล้วไม่รุ่งก็เลิก หรือว่าบางคนทำแล้วดังเกินไปก็ไม่ตอบโจทย์กับตัวเอง ก็เลิกไปก็มี เหมือนมันต้องแลกกับอะไรหลายอย่าง sex worker ก็เหมือนกัน แต่ถ้าเขายอมรับได้ ยอมรับว่ามันเป็นงาน ยอมรับว่าราคาที่ต้องจ่ายเป็นชีวิต ผมว่ามันก็มีคนที่ทำได้อยู่แล้ว

ผมมองว่า sex worker เป็นอาชีพยุคใหม่เลยนะ การหาเงินสมัยนี้มันไม่ได้จบอยู่ที่ว่า เราจะไปเข้างานที่บริษัทแล้วเราจะได้เงิน เดี๋ยวนี้แคสต์เกมก็ได้เงิน ถ่ายภาพนู้ดก็ได้เงิน หรือว่าจะเป็นฟรีแลนซ์นั่งทำงานอยู่บ้านเราก็ได้เงิน มันเป็นการหารายได้ที่ไม่เหมือนโลกยุคเก่าแล้วน่ะครับ สัญลักษณ์ตรงนี้มันก็ค่อนข้างเป็นการตอบโต้ทางเจเนอเรชั่นอยู่เหมือนกันนะ

ถ้าคนนอกมองเข้ามา เขาอาจคิดว่าสิ่งนี้คือสื่อลามก เขาก็จะมองแค่ว่าพวกนี้หากินกัน ถ่ายแบบเซ็กซี่กัน แต่สำหรับกลุ่มคนที่เขาทำคอนเทนต์ เขาจะมองว่า อ๋อ คนนี้ทำคอนเทนต์กับแฟนนะ คนนี้ทำคอนเทนต์กับ anonymous นะ คนนี้ทำคอนเทนต์เดี่ยว คนนี้ทำอะไรๆ มันแยกกัน จะไม่ใช่เป็นรูปแบบเดียวกันอย่างที่คนนอกเข้าใจ มันมีกลุ่ม มีความชอบ ที่แยกย่อยอยู่ในนั้น เหมือนกับวงการเพลง เพลงร็อค เพลงฮิปฮอป เขาก็จะอยู่กลุ่มก๊วนเดียวกันประมาณนี้

ถึงเวลาหรือยังที่ sex worker ควรถูกกฎหมายได้แล้ว

ประเด็นที่ว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งผิดกฎหมายไหม ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเทาๆ เบลอๆ อาจยังไม่อยู่ในช่วงที่สุกงอมพอที่จะให้มันเป็นเรื่องถูกกฎหมายหรือว่าให้มันผิดกฎหมายไปเลย มีการพูดคุยกันมานานแล้วในประเด็น sex worker แต่ก็ไม่สามารถผลักดันให้เกิดขึ้นจริงได้ ก็ต้องเคลื่อนไหวกันไป

ดูง่ายๆ อย่างประเด็นหวยใต้ดิน แค่เอาขึ้นมาบนดินยังขึ้นไม่ได้เลย การทำให้พวก creator สาย sex worker ขึ้นมาถูกต้องตามกฎหมาย ก็เป็นเรื่องที่ยากและเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกัน

ผมเคยคุยกับพี่คนหนึ่งที่เขาทำยุทธศาสตร์ให้กับพรรคการเมือง เขาบอกว่าการผลักดันประเด็น sex worker ให้ถูกกฎหมาย มันเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ไม่ผ่านสักที เพราะไม่สามารถไปเจรจากับกรมศาสนาได้ ไม่สามารถเจรจากับกระทรวงสาธารณสุข หรือกรมกองอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทางด้านวัฒนธรรมประเพณี เวลาเขาเข้าห้องประชุม แล้วถกกันเรื่อง sex worker จริงๆ เขาตอบคำถามให้กับกรมพวกนี้ไม่ได้ ถ้าเป็นเรื่องผลประโยชน์มันเคลียร์กันไม่ยากหรอก เพราะคุยกันแค่ตัวเลขมันก็จบ แต่ถ้าจะไปเถียงกับกรมศาสนา คุณจะไปอธิบายเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ ผิดลูกผิดเมียกับกรมศาสนายังไง

เราลองจินตนาการว่า ถ้ามันถูกกฎหมาย เราจะบอกลูกหลานเรายังไง หรือจะบอกเด็กเยาวชนที่เขายังไม่เข้าใจสิ่งนี้อย่างถ่องแท้ยังไง …ผมก็ไม่รู้จะนิยามว่าอะไร อาชีพ sex worker เนี่ย มันเป็นเหมือนไฟน่ะครับ ตรงที่ว่ามันตอบสนองต่อสัญชาตญาณโดยตรง ธรรมชาติคนเราก็อยากเอากัน คนเราก็เงี่ยน ความเงี่ยนมันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว แต่อารมณ์เงี่ยนมันโดนกดทับไว้ ทำให้มี sex worker เกิดขึ้นมา อาชีพ sex worker มันเลยดูเป็นอะไรที่หอมหวาน น่าลอง น่าทำ เพราะว่ามันสนุก มันได้โน่น ได้นี่ ได้นั่น แต่ทีนี้เราจะบอกลูกหลานยังไง จะบอกเหตุผลให้เขาตระหนักรู้ในความเข้าใจตรงนี้ยังไง ผมว่ามันค่อนข้างเป็นเรื่องยากครับ อาจจะต้องอธิบายกันเรื่องศีลธรรม หรือการ define ที่มันค่อนข้างยากมากๆ

ถ้าวันหนึ่งอาชีพนี้ถูกกฎหมายขึ้นมา แล้วเราสามารถแก้ผ้าถ่ายรูปลงเฟซบุ๊ค หรือโฆษณาตัวเอง หรือเป็นพรีเซนเตอร์ พอลูกหลานเห็นแล้วชื่นชอบ แล้วปฏิบัติตามในด้านที่มันผิด อันนี้ก็จะเป็นดาบสองคมได้ มันอาจเป็นการทำร้ายเขาไปด้วยในขณะเดียวกัน แต่ถ้าหากคนที่เขารู้เท่าทันหรือมีวุฒิภาวะ เขาอาจจะเข้าใจว่า อ๋อ อันนี้เป็นแค่งาน เป็นแค่อาชีพ เพราะว่าในสังคม sex worker เท่าที่ผมอยู่ มันมีการจำแนกหลายๆ กลุ่มงานกันครับ อย่างผมจะเป็นการถ่ายภาพเซ็กซี่ของตัวเอง แล้วก็มีคลิปเพศสัมพันธ์บ้างในบางโอกาส ผมจะทำคลิปเฉพาะคนที่เป็น sex worker เหมือนกัน แต่ก็จะมีกลุ่มคนแบบว่า แค่ไปนัดเอากันแล้วก็ถ่ายคลิปมาลง อันที่จริงมันมีหลายแอคชั่นมากครับ ทีนี้แอคชั่นที่มันอันตรายก็คือ อาจจะเกิดการล่อลวงกันไปถ่ายคลิป หรือพาเขาไปถ่ายคลิปแล้วตั้งกล้องแอบถ่ายแล้วเอามาขาย ผมเลยบอกว่ามันเป็นจุดที่ต้อง concern อยู่ตลอดเวลา

ผมคิดว่าถ้า sex worker ถูกกฎหมาย จะช่วยคุ้มครองได้มาก แต่ด้วยบริบทสังคมไทย ผมก็ไม่รู้ว่าเราจะเชื่อมั่นตรงนั้นได้หรือเปล่าว่าสิ่งนี้จะเป็นเครื่องมือหากินให้กับคนเฉพาะกลุ่มในการมีกฎหมายขึ้นมา ผมจะชอบเปรียบเทียบกับประเด็นใกล้เคียงกัน อย่างเช่นการเกิดขึ้นของ Grab ที่ให้สิทธิพิเศษแค่คนบางกลุ่มหรือเปล่า หรืออย่างกรณีการเกิดขึ้นของเบียร์คราฟต์ จากเดิมที่มีแค่นายทุนใหญ่เท่านั้นที่สามารถผลิตเบียร์ได้ จนไปปิดกั้นช่องทางของผู้ผลิตรายย่อย ถ้าลองจินตนาการว่าในอนาคตอาจเกิดองค์กรใดขึ้นมา prove sex worker รัฐจะให้เขาทำงานภายใต้องค์กรนี้ไหม ทีนี้ความยากก็จะเกิดขึ้นในแง่ของวิธีการ อันนี้ผมลองคิดแค่ในมุมที่มีกฎหมายกำกับ และมีองค์กรเข้ามาดูแล แต่เรื่องดีเทลจะมีแผนยังไง ตอนนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่

โดยหลักแล้ว คนทั่วไปก็คงอยากผลักให้มันถูกกฎหมาย เพื่อที่จะให้กฎหมายเป็นตัว prove ว่าฉันก็เป็นกลุ่มอาชีพที่มีกฎหมายรองรับเบื้องต้นนะครับ มันเป็นสิ่งแรกอยู่แล้วในการทำให้อาชีพนี้ดูเป็นที่ยอมรับขึ้นมาได้ แต่ผมคิดว่า

ถ้าจะทำให้มันเป็นอาชีพนะ อย่างแรกคือ การที่พยายามไปนิยามเขา มันดูผลักเขาไปกลายๆ เหมือนกัน มองง่ายๆ ว่าการมีกฎหมายคุ้มครองเพื่อให้เรามีปากมีเสียงได้นั้น เพราะว่าเราเป็นคนต้อยต่ำในสังคมเหรอ ถ้าคุณคิดอย่างนั้นแล้ว แสดงว่าคุณก็ดูถูกว่าอาชีพนี้ต้อยต่ำ

แล้วคุณต้องหาใบดีกรีอะไรสักอย่างมา prove ว่าคุณไม่ได้ต้อยต่ำนะ คุณเป็นคนที่รัฐรับรองนะ แต่ถ้าในความรู้สึกผม คุณไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น แค่ให้ทุกคนมีความรู้ มีความเข้าใจที่ตรงกัน มันก็จะไม่ดูถูกคนในอาชีพนี้แล้ว

การเป็น sex worker คุณแค่รู้ว่าสิ่งนี้มันเป็นงานที่มีความยากลำบาก ต้องแลกมาด้วยบางอย่าง อย่างกรณีของนักเทรดหุ้น ถ้ามองกันหยาบๆ มันก็เหมือนนักพนันคนหนึ่ง การทำอาชีพอะไร มันก็มีทั้งขาวและดำอยู่ในตัว อยู่ที่เราจะเรียนรู้ที่จะเข้าใจว่ามันเป็นธรรมชาติ เป็นคน เป็นมนุษย์

ถ้าสังคมเข้าใจอาชีพนี้ว่าไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ได้ไปฆ่าใครตาย หรือข่มขืนใคร ผมว่ามันก็ไม่ได้มีปัญหาว่าเราจะเขียนกฎหมายคุ้มครองไปทำไม เพราะในเมื่อสุดท้ายแล้ว sex worker ก็สามารถใช้กฎหมายการคุ้มครองผู้บริโภคได้ หรือใช้กฎหมายหมิ่นประมาทได้ มันไม่จำเป็นต้องผลักให้เกิดกฎหมายเป็นรูปธรรม แต่การรับรู้ของคนในสังคมคือสิ่งสำคัญกว่า

กฎหมายที่ว่าจะต้องมอง sex worker เป็นอาชีพหนึ่ง อันนี้พูดมันก็พูดได้ครับ แต่อย่างที่ผมพูดไปตอนแรกก็คือ ถ้าคุณทำให้ถูกกฎหมายขึ้นมาได้ แต่ประชาชนยังไม่เข้าใจ เขาก็ไม่สามารถอธิบายลูกเขาได้ คนที่เขาไม่เชื่อว่าสิ่งนี้คืออาชีพ เขาก็ไม่สามารถอธิบายให้ลูกเข้าใจได้ว่าสิ่งนี้มันคืออะไร 

ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น คนคนหนึ่งมีลูกเป็นผู้ชาย แต่มีความชอบผู้ชายด้วยกันเอง สุดท้ายแล้วลูกคนนี้จะโดนเรียกว่าเป็นกะเทยใช่ไหม เวลาคนอื่นมาถามพ่อแม่ของเขา พ่อแม่เขาก็จะรู้ว่าต้องพูดว่า อ๋อ ลูกฉันเป็นกะเทย ลูกฉันเป็นอะไรต่างๆ แล้วคำตอบพ่วงท้ายมาเขาก็จะพูดประมาณว่า เออ จะเป็นเพศไหนก็เป็นไปเถอะ ขอให้เป็นคนดีก็พอ อันนี้ผมคิดว่ามันเป็นการพูดข่มๆ โดยที่ไม่เข้าใจคำของมันโดยแท้จริง พูดไปอย่างนั้น เพราะมันมีการ prove ออกมาแล้วว่า กะเทยไม่ใช่สิ่งผิดของประเทศไทย และไม่ใช่สิ่งผิดของสังคม และเพราะมันผ่านการ prove มาแล้วว่า LGBT มันเป็นคำสากล ไม่ได้มีความหมายเหยียดหรือต่อว่าอะไร แต่ถามว่าการเหยียดกะเทย เหยียดเพศ ยังมีอยู่ไหม มันก็มีอยู่จริง แม้กระทั่งกลุ่ม LGBT ด้วยกันเองก็เหยียดกันอยู่ สุดท้ายแล้วการมีกฎหมาย ผมคิดว่ามันไม่ได้ตอบโจทย์ในระยะสั้นหรือระยะยาว การรวมความซับซ้อนเข้าไว้ในทางกฎหมาย ถ้าเกิดมีใครทำอะไรนอกเหนือจากกฎหมาย คุณก็ต้องไปแก้กฎหมายกันอีกที

ที่จริงมันแค่เรื่องความเงี่ยนเลยครับ เราขายแค่ความเงี่ยนที่ไม่ไปเบียดเบียนใคร คุณดูคลิป คุณเงี่ยน คุณก็ชักว่าวอยู่บ้าน คุณช่วยตัวเองอยู่บ้านไป ทีนี้ถ้าเกิดมีรสนิยมอื่นๆ ที่ไม่ถูกกฎหมาย ก็ต้องวุ่นวายไล่แก้กันไป แต่ถ้าสังคมมีความเข้าใจว่าเรื่องเงี่ยนเป็นธรรมชาติของคน เขาก็ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายหรอกครับ สามารถใช้กฎหมายหมิ่นประมาท หรือ พ.ร.บ. ใดๆ ที่คุ้มครองทุกกลุ่มอาชีพหรือลูกค้าทุกคนก็ได้

ดูเหมือนว่า sex worker ไม่ได้ต่อสู้อยู่กับแค่สังคมภายนอกอย่างเรื่องกฎหมาย ภายในกลุ่ม sex worker มีความซับซ้อนหรือการต่อสู้ในลักษณะใดบ้าง 

มันมีเยอะ มีเยอะมาก จนแทบไม่รู้จะนิยามยังไง อย่างตัวผมเอง ตอนแรกที่ทำก็ไม่ได้นิยามตัวเองว่าเป็นอะไร แต่พอทำไปเรื่อยๆ ก็จะมีกลุ่มเพื่อน sex worker ด้วยกันบอกว่า งานผมเป็น feminist นะ งานดูเป็นผู้หญิงมากเลย ผมก็รู้สึกว่าค่อนข้างโอเคกับคำพูดนี้ เพราะผมมีแนวคิดที่ว่า งานนู้ดหรืองานคลิปลามกมักถูกผลิตจากมุมมองของผู้ชายเสียส่วนใหญ่ เช่น คลิปใน Pornhub หลายๆ คลิป มันโดนผลิตโดยผู้ชาย แล้วส่วนใหญ่ผู้ชายก็จะดูกัน ผมเคยคุยกับเพื่อนผู้หญิง เขาก็มีการพูดถึงว่า เวลาผู้หญิงจะหาคลิปโป๊ดูเพื่อทำให้ตัวเองมีอารมณ์ มันหาดูได้ยากมาก เพราะคลิปส่วนใหญ่ก็จะโดนเซิร์ฟให้แต่ผู้ชาย ผมก็เลยลองศึกษาว่าผู้หญิงชอบดูอะไรกัน แล้วก็จะตอบสนองกับอารมณ์แบบไหน ผมก็เลยพยายามทำออกมา หา reference มา แล้วก็ลองทดสอบ ทำตาม มันก็ค่อนข้างจะไปได้ แต่อย่างผมเป็นผู้ชายแล้วทำคอนเทนต์นี้ ก็จะมีกลุ่มที่เป็นเกย์หรือกลุ่มที่เป็นคนรักเพศเดียวกันเข้ามาติดตามเยอะ มาพูดคุยเยอะ

ในความหลากหลายของสังคมตรงนี้ ผมว่ามันมีความหลากหลายมากเลย แล้วมีการถกเถียงในตัวเองอยู่ตลอด อย่างเช่นว่า ใส่ชุดนักเรียนแล้วทำคอนเทนต์ เราก็จะมีการถกเถียงกันว่ามันควรทำไหม หรือว่าพยายามเล่นเป็นเด็ก แต่งตัวให้เหมือนเด็ก หรือว่าออกไปถ่ายทำเอาท์ดอร์ในพื้นที่สาธารณะ ว่ามันเป็นเรื่องที่ควรหรือไม่ควร ซึ่งในสังคมเองก็มีการถกเถียงถึงการทำคอนเทนต์ที่เหมาะสมและไม่เหมาะสม และในกลุ่ม sex worker ที่เขามีการพูดคุยในหลังบ้าน ก็จะมีการตั้งประเด็นขึ้นมา มันมีเยอะมากครับ

คือเราต้องไม่มองว่ามันเป็นอะไร ต้องไม่มองว่าเป็นใคร มันแทบจะไม่ควรโดนนิยาม ถ้ามันโดนนิยามแล้วมันจะอธิบายยาก เพราะมันมีหลายกลุ่ม หลายความชอบ หลายรสนิยมครับ เราจึงไม่สามารถอธิบายการต่อสู้ของรายกลุ่มได้ว่ากลุ่มนี้เขาสู้อะไร อย่างไร แต่ว่ามันมีการต่อสู้อยู่ตลอดในการหาความเหมาะสมให้กับสังคม อะไรประมาณนี้ครับ

ทั้งความคลุมเครือเชิงกฎหมายและศีลธรรมที่สังคมมอบให้กับกลุ่ม sex worker เราในฐานะที่เป็น sex creator ใน OnlyFans มองตัวเองอยู่ตรงไหนในสังคม 

การเติบโตของคนรุ่นผม มันรู้สึกว่าไม่ได้เติบโตมาบนกฎหมายเท่าไหร่ ผมรู้สึกว่าเติบโตมาบนกฎโรงเรียน กฎเฟซบุ๊ค กฎยูทูบ กฎพอร์นฮับ กฎอะไรอย่างนี้ มันแทบจะเรียนรู้ commonsense สังคมจากกฎของเฟซบุ๊ค กฎของทวิตเตอร์ กฎของเกม แต่เราไม่ได้โดน base on บนกฎหมาย เราไม่รู้เลยว่ากฎหมายในราชอาณาจักรไทยห้ามอะไรบ้าง เราไม่รู้รายละเอียดเลย แต่ถ้าถามว่าเฟซบุ๊คห้ามอะไรบ้าง เราจะรู้ ยูทูบห้ามอะไร เรารู้ เกมนี้ทำยังไงถึงจะได้เล่น เรารู้ มีกฎอะไรบ้าง เราจะรู้กัน การเติบโตของผมถูกหล่อหลอมด้วยกฎอย่างนั้นโดยสิ้นเชิง ตราบใดที่เราไม่ทำผิดกฎเว็บไซต์ หรือทำผิดกฎแพลตฟอร์ม เราก็จะอยู่ในสังคมนั้นได้

การเกิดขึ้นของ OnlyFans เป็นสิ่งที่หลายๆ ประเทศบนโลกเขาก็ทำกัน ตัวเว็บไซต์ก็กำหนดกฎเกณฑ์ชัดเจนในการเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ มีข้อห้ามต่างๆ ชัดเจน เราก็เลยมองว่าการทำสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องผิดนะ เพราะเราทำตามกฎของเว็บ ถ้าใครทำผิดก็โดนแบนกันไป ถ้าเราจะทำคอนเทนต์ เราต้องส่งหลักฐาน ถ่ายบัตรประชาชน ส่งไป แล้วเขาก็จะบอกว่า ห้ามทำคอนเทนต์ร่วมกับคนอื่นที่ไม่ได้ส่งหลักฐานไป สมมุติว่าเราจะทำกับแฟน เราต้องส่งเอกสารทั้งของเราและของแฟนให้เว็บไซต์ตรวจสอบก่อนเราถึงจะทำคอนเทนต์ได้ Pornhub เองหรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่ทำคอนเทนต์ลักษณะนี้ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน 

พอมองสังคมบ้านเรา อย่างที่รู้ว่ามันก็มีอาบอบนวด มีพริตตี้ถ่ายรูปวาบหวิว มีอะไรเยอะแยะมากมาย มันก็ดูจะไม่เป็นปัญหาอะไร เราก็น่าทำได้ เพราะว่าเรา follow ตามกฎระเบียบของเว็บ ยังไงเราก็ทำได้

กลุ่มพวกเราเองแทบจะตระหนักรู้ว่าเราเป็นประชากรโลก เราก็ยึดจริยธรรมของโลกใบนี้ร่วมกัน มันเลยรู้สึกว่าไม่ได้ผิดบาปอะไรนะที่ฉันจะทำสิ่งนี้ แล้วพอทำไป มันก็มีกลุ่มคนที่ไม่ได้เติบโตมาเหมือนกับพวกเรา อย่างเช่นตำรวจ หรือคนรุ่นเก่าๆ พอเขาเห็นสิ่งนี้ เขาก็รู้สึกแบบว่า โอ๊ย มันเป็นอะไรต้องมาแก้ผ้าถ่ายรูปถ่ายคลิป ซึ่งวิธีคิดแบบนี้มันมีเป็นทุนเดิมทั่วโลกอยู่แล้ว

ไม่ว่าจะที่ไหน การมาเปลื้องผ้าถ่ายรูป การหาเงินด้านกามารมณ์ มันเป็นเรื่องที่ต้องรื้อกันระดับศาสนา หรือว่ารากฐานเก่าๆ พอสิ่งนี้ (sex worker, OnlyFans, ไข่เน่า) เกิดขึ้นมา มันก็เลยเป็นการชาเลนจ์สังคมของคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่

ผมจึงเรียนรู้และมีบทสรุปให้ตัวเองกับด้านนี้อยู่แล้วว่า พื้นที่ตรงนี้ก็เป็นพื้นที่อโคจรนะ เราก็แค่รู้หลบ รู้หลีก ให้ทันก็พอแล้ว อย่างผม ผมทำกับ OnlyFans โดยตรงเลย ไม่ใช้ธนาคารไทยในการรับเงิน หรือ donate เงิน ผมจะไม่เอาเข้าระบบไทยเลย ผมจะให้เขาไปจ่ายเงินกับทาง OnlyFans แล้วให้แพลตฟอร์มจ่ายเงินมาที่ผม เพราะถ้าเกิดตำรวจจะตรวจสอบหรือว่าจะจับ เขาต้องไปขอว่า IP ผมคือใคร IP ใครคือใครจากทางต้นเว็บ จากทางทวิตเตอร์ จากทาง OnlyFans ผมเลยตัดขาดส่วนนี้ ไม่ต้องยุ่งอะไรกับกฎหมายไทยไปเลย ทำตัวเป็นประชากรโลกและอยู่ร่วมภายใต้กติกาของเว็บไซต์สากล

OnlyFans ก็น่าจะเป็นที่เดียวด้วยแหละที่ทำให้เขา (sex worker) รู้สึกว่าเป็นประชากรโลก เพราะว่าเลิกศรัทธาในประเพณีหรือกฎหมายไทย เลิกศรัทธาความเชื่อในไทยไปหมดแล้ว

เชิงอรรถ

[1] วันที่ 18 กันยายน ครม. เห็นชอบหลักการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศ มีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถือครองที่ดิน การบริหารจัดการการทำงาน โดยเอื้อให้ชาวต่างชาติถือครองที่ดินได้ จาก https://www.thairath.co.th/business/economics/2196600
วันที่ 20 กันยายน คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐปรับเพดานหนี้สาธารณะเพิ่มจากเดิมไม่เกิน 60% ขยายเป็นไม่เกิน 70% จาก https://brandinside.asia/thailand-raise-public-debt-ceiling-to-70-percent/

Author

ยสินทร กลิ่นจำปา
ผู้ปกครองของแมวน้อยวัยกเฬวราก จิบเบียร์บ้างตามโอกาส จิบกาแฟดำเป็นครั้งคราว จิบน้ำเปล่าเป็นกิจวัตร เชื่อว่าสิ่งร้อยรัดผู้คนคือเรื่องราวและความหวัง พยายามเขย่าอัตตาตนเองด้วยบทสนทนากับคนรอบข้าง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า