อาถรรพ์เฮือนดินมูน*

1

 

ที่ดินเล็กๆ ผืนนี้ เฒ่าแวงได้รับเป็นมูนมรดกจากบรรพชน ที่ดินเพียงน้อยนิดไม่ถึงไร่ผืนนี้คือส่วนหนึ่งจากทั้งหมดที่ได้รับมรดกซึ่งพ่อแกยกให้

บรรดาพี่น้องทั้งหมดของเฒ่าแวงก็ได้รับการแบ่งปันอย่างเท่าเทียมจากพ่อแล้วเช่นกัน

ทีแรกที่พ่อปันให้ เฒ่าแวงบ่ค่อยพอใจนักดอก ที่ดินมันน้อย แถมขยับขยายออกไปทางใดก็ไม่ได้ แต่พออยู่ไปอยู่มาแกก็ทำใจ ยังไงยังดีกว่าไม่ได้ที่ในหมู่บ้าน ที่ไม่พอใจก็เพราะปัญหาบางประการที่เกิดจากน้ำจิตน้ำใจอันแห้งแล้งของเพื่อนบ้าน รวมทั้งความด้อยพัฒนาของถนนหนทางที่ทอดผ่านที่ดินผืนนี้เท่านั้น เหล่านี้ก็เป็นต้นว่า แนวเนินฟากสามเหลี่ยมทางทิศเหนือที่ติดกับสวนกล้วยพ่อใหญ่พรหมผู้เป็นนายฮ้อยเก่า เฒ่าที่เคยไล่ควายข้ามดงพญาไฟคนนี้ วางแนวหลักฮั้วตั้งสูงลิ่ว ไม่ปรารถนาที่จะเผื่อแผ่ช่องทางออกสู่ทุ่งกว้างแก่ผู้ใด แม้แกตายไปนานปีแล้วลูกหลานก็ยังคงนำเชื้อสืบแนวเห็นแก่ตัว จากแค่ฮั้วไม้แดงธรรมดา บัดนี้ได้กลายเป็นกำแพงอิฐหนาทึบปานแผ่นผา ด้านตะวันออกก็เป็นที่ดินนายฮ้อยอีกคน ซึ่งมารุ่งโรจน์ในยุคหลัง ยุคที่เฒ่าแวงยังเป็นบ่าวส่ำน้อย นายฮ้อยที่ว่าก็ออกจะจิตใจคับแคบพอกัน เขาปักเขตแดนด้วยลวดหนาม ไม่ยอมให้สิ่งใดกล้ำกรายพื้นที่ได้เลย โดยเฉพาะควายเปลี่ยวที่มักจะมาสร้างปัญหา เกิดการปะทะอย่างรุนแรง และควายตัวเมียที่อาจมาเกาะแกะควายผู้ที่เขาจะลำเลียงสู่โรงฆ่าสัตว์ที่กรุงเทพฯ มีเพียงทิศใต้ซึ่งเป็นทางเข้าไปสู่หมู่บ้านชั้นในเท่านั้น ที่พอจะเป็นเส้นทางสัญจรสู่โลกภายนอกของเฒ่าแวง และครอบครัวได้ ทว่ามันก็ไม่ค่อยสะดวกนักดอก ทางเข้าบ้านดงบงอุดมด้วยโสกลึกเหมือนสายห้วย หน้าแล้งเป็นปลักทราย เวลาควายงัวไทบ้านย่ำตีนผ่านเช้าเย็นยืนขี้เยี่ยว ดินทรายอมกลิ่นมูลสัตว์ได้ดียิ่งและมันมีผลทำให้คนอยู่ตรงนี้ต้องเผชิญกลิ่นไม่พึงประสงค์ตลอดเวลา ตกหน้าฝนเส้นทางไม่มีร่องน้ำระบาย น้ำจากหมู่บ้านชั้นในไหลเซาะกัดกินพื้นที่เข้ามาทุกที บางปีน้ำออกแก่งหลากท้นลำห้วยขึ้นมาจนถึงตีนแคร่ใต้ถุนเฮือน หลังน้ำลดแกพบว่าพลังน้ำกัดกินโคนเสาเฮือนตัวเองไปหลายต้น แล้งอีกคราวถึงได้ขนดินถมขึ้นใหม่ นำความลำบากลำบนมาสู่คนในเฮือนเฒ่าแวงอย่างยิ่ง

แม้ปัญหาอย่างว่ารุมเร้า แต่แกและครอบครัวก็สุขสบายดี อยู่เฮือนหลังนี้แกหากินไม่ขาดเขิน ปูปลานาน้ำในไร่ในหนองล้วนแต่อุดมสมบูรณ์เพียบพร้อม แต่หลังจากเมียคลอดลูกคนที่เก้า และพี่ชายคนติดแก ที่ชื่อเฒ่าวังซึ่งเป็นทหารเก่า ป่วยด้วยโรคประสาท ต้องตกกลายมาเป็นภาระเลี้ยงดูของแก ความเป็นอยู่เริ่มฝืดเคือง ทำมาหากินลำบากขึ้นเรื่อยๆ เฒ่าแวงจึงเริ่มไม่ค่อยเชื่อมั่นในที่ดินผืนนี้ ใจนั้นไพล่คิดว่ามันคือตัวการหลักในการนำความทุกข์ยากมาสู่ตน ที่ดินตาบอด ต่อให้อยู่ติดถนนก็ใช่ว่าภายภาคหน้าจะมีใครใส่ใจพัฒนาให้มันดีขึ้นกว่านี้ไหม หรือบางทีหลุมบ่อในแบบบวกควายแมบตมนั่น อาจถูกถมและสร้างเป็นพื้นที่สาธารณะของไทบ้าน ปิดทางเข้าออกของแกไปโดยปริยาย ซ้ำไทบ้านคงจะหารือกันซื้อที่ของเฒ่าแวงตรงนี้ เพื่อขยับขยายที่อันจะอำนวยประโยชน์แก่ชุมชนก็อาจเป็นได้ เมื่อเป็นดังนั้นแกจึงปรึกษาลูกเมียถึงการโยกย้ายไปปลูกเฮือนใหม่ ที่ที่จะปลูกสร้างตกลงกันแล้วว่าจะไปอยู่ทุ่งนาเหมือนครั้งพ่อแม่แกยังอยู่ หารือกันดิบดี แต่ปัญหามันมาตกที่ว่า อ้ายชายของแกไม่ยอมไปอยู่ด้วย คนบ้าไม่มีเหตุผลที่จะอธิบาย บอกว่าไม่ไปก็คือไม่ ทำให้เฒ่าแวงหนักใจยิ่ง อย่างไรเสียแม้ไม่ย้ายก็ต้องหาที่ดินเพิ่มให้มีพื้นที่หายใจหายคอบ้าง แต่จะทำอย่างไรได้เล่าในเมื่อเจ้าของที่ดินข้างเคียงไม่มีใครคิดเผื่อแผ่สักคน หนทางแก้ปัญหาสุดท้ายจากหมอพราหมณ์ที่ลิ่วไปหาก็คือ จะต้องเอาบุญเฮือนสักครั้ง ปัดเป่าเสนียดจังไฮที่อาจเกิดมี และสะสมอยู่ในที่ดินแห่งนี้ตามวิถีความเชื่อผีสางที่มีในชุมชนมาช้านาน ถึงจะขจัดไม่ได้ทั้งหมด แต่ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

เฒ่าแวงได้ตัดสินใจเอาบุญเฮือนตามคำแนะนำ ผลคือความเป็นอยู่ดีขึ้นกว่าเดิม สองปีผ่านไป ลูกเต้าเหล่าหลานเติบโต บางคนเริ่มได้กินแรงช่วยไถนา หว่านดำ แต่พอเข้าปีที่สามเมื่อลูกชายคนโตใกล้เกณฑ์ทหาร พี่ชายที่ป่วยเริ่มอาการหนักขึ้น เผลอไผลเป็นไม่ได้ เขาจะย่องขึ้นไปบนเฮือนเวลาน้องชายน้องสะใภ้และหลานๆ ไม่อยู่ ได้ที่บนเฮือนเหมาะๆ คนบ้าก็เบ่งขี้ทาเกลื่อนไปทั่วพื้นไม้กระดาน บางครั้งขี้ลงทางหน้าต่าง ฮาดลงมาตามแป้นแอ้มกระดานฝา ผู้คนเดินผ่านทางแต่เอามือปิดจมูกวิ่งหนี พ้นเฮือนยืนหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง ขำบักไข่หำเหี่ยวๆ และถ้ำดากผู้เฒ่า เฒ่าแวงกลับมาเจอเป็นต้องชำระล้างเฮือนกันยกใหญ่ ดุด่าอย่างไรมีหรือคนบ้าจะฟัง หนักเข้าขี้ใส่ถ้วยชามรามแก้ว หม้อแหกแตกกะลาจนต้องเอาไปทิ้งที่ลำห้วยไม่มีใครกล้าเอามาใส่กินอีก อ้ายชายเฒ่าแวงเป็นแบบนี้อยู่ราวสามเดือน พาไปโรงพยาบาลพระศรีมาโพธิ์อาการดีขึ้นสักพักก็เป็นอีก ไม่ขี้ใส่ถ้วยชามรามไห แต่หนักตรงขับของเสียลงมาทางหน้าต่างให้ไทบ้านเห็นตลอด สิ้นหน้าเก็บเกี่ยวปีหนึ่ง ดูท่าแล้วคงไม่ไหว เฒ่าแวงตัดสินใจออกไปปลูกเฮือนกลางทุ่งนา ปล่อยเฒ่าวังอยู่เฮือนเพียงลำพัง ให้ลูกชายคนที่สามคอยส่งข้าวน้ำและมานอนเป็นเพื่อนทุกคืน

“เป็นจั่งใด๋น้อ ออกมาอยู่นา ดีกว่าอยู่บ้านบ่” ไทบ้านเลี้ยงงัวควายที่แวะเวียนกินน้ำกินท่าไถ่ถามข่าวคราวความเป็นอยู่

“จั่งแม่นข้อยส่วง ข้อยว่าที่ดินหม่องนั่นล่ะเฮ็ดให้ซุมข้อยทุกข์ยาก หนีออกมาได้จั่งแหม่นข้อยซำบายใจบ่หยุ่งสมองแล้วบัดนี้” เฒ่าแวงกล่าวกับผู้มาเยือนอย่างสบายอารมณ์ แถมปีนี้ลูกชายคนโตเจริญตามผู้เป็นลุงจับสลากได้ใบแดงเป็นทหารรับใช้ชาติ ยังความภาคภูมิใจล้นเหลือมาสู่เฒ่าแวงผู้เป็นพ่อที่อาภัพ สลากเลี่ยงทั้งที่แกสูงใหญ่สมชายชาติทหาร การนี้เฒ่าแวงจัดงานเลี้ยงบายศรีสู่ขวัญผูกข้อต่อแขนส่งลูกชายไปรับใช้ชาติอย่างเอิกเกริก เฮือนกลางทุ่งคึกคักญาติพี่น้องแห่มาชื่นชมและช่วยงานแทบจะทุกหน้าค่าตา แต่อาหารการกินก็แค่เพียงกุ้งหอยปูปลาที่หาได้ตามห้วยหนองตามมีตามเกิด และสาโทที่ทำกันแบบหลบๆ ซ่อนๆ ขึ้นเองเท่านั้น

 

เฮือนกลางนาหลังใหญ่ตั้งอยู่บนเนิน มองจากทางลูกรังเชื่อมต่อหมู่บ้านมันดูโอ่อ่าน่าอยู่ มีฉากหลังเป็นป่าเต็งรังผืนใหญ่ เฒ่าแวงทำไร่ไถนาอยู่กับลูกเมียเงียบๆ อย่างมีความสุข หนึ่งปีต่อมา เฒ่าวังผีบ้าก็ตกจากหน้าต่างคอหักตาย ขณะปีนขึ้นไปขี้ฮาดกระดานฝาส่งกลิ่นเหม็นทุเรศทุรัง ให้ไทบ้านแช่งชักหักกระดูก อ้ายตายยิ่งทำให้ผู้เป็นน้องชายอยู่อย่างไร้กังวลต่อสิ่งใด หลังเฒ่าวังตาย ที่นามรดกทั้งหมดของชายวิกลจริตตกเป็นของเฒ่าแวงกับลูกเมีย แกลงแรงกับลูกๆ ทั้งจ้างคนงานขุดบ่อปลากลางทุ่งสามบ่อ ตั้งหน้าตั้งตาทำการเกษตรหน้าแล้ง ตามคำแนะนำจากเกษตรตำบลที่มาติดพันลูกสาว เรียกว่าห้วงนี้แทบจะลืมเฮือนร้างกลางหมู่บ้านไปเลย สองปีผ่าน กระทั่งลูกชายคนโตปลดประจำการทหารมาอยู่ร่วม ช่วยงานพ่อแม่แข็งขัน แต่จู่ๆ วันหนึ่งเขาก็มีอาการบ้าบอคล้ายกับผู้เป็นลุง ลูกชายคนโตของเฒ่าแวงไม่ได้ขึ้นไปขี้บนหน้าต่าง แต่มันชอบหาขี้ไก่โป่นวดเหลวมาสีฟันแทนยาสีฟันที่น้องสาวซื้อมาใช้ ครั้งแรกที่พี่น้องมองเห็น พวกเขาต่างอ้วกแตกอ้วกแตน มันใช้นิ้วป้ายขี้ไก่ดำๆ ยิงฟันแล้วถูไปมาอย่างเพลิดเพลิน บอกว่าอยู่ที่ค่ายก็ทำเช่นนี้มาแล้ว ได้แปรงฟันด้วยขี้ไก่แสนสดชื่น ปากสะอาด เสร็จแล้วก็ร้องไห้โฮขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย นั่งซึมกะทือทั้งวัน ไม่ยอมกินข้าวกินปลา วันหนึ่งขณะนั่งอยู่กับพี่น้องดีๆ ก็ผุดลุกขึ้นทำท่าถือปืนแล้วปีนขึ้นต้นไม้ไปยืนบนคาคบสูง กระโดดตุบลงมาขาหัก นอนแซ่วให้น้องนุ่งดูแลเฝ้าไข้ หายป่วยมันกลายเป็นคนคุ้มดีคุ้มร้ายอารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอย บทจะดีก็ดีเสียจนไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีอาการแบบนั้นได้อีก แต่วันดีคืนก็ป่วงบ้าขึ้นมา วิ่งเข้าป่าเข้าดอนให้ญาติวิ่งไล่จับวุ่นวาย

สิ้นฤดูเก็บเกี่ยวปีที่น้องๆ โตเต็มหนุ่มสาว คนลงกรุงเทพฯ เยอะ ลูกสาวแกก็ล่องกรุงแสวงโชคกับเขาด้วย ลำพังแค่ทำนาไร่ใครกันจะอยู่ได้ เป็นคนมันไม่ได้มีชีวิตเพื่อกินแต่ข้าวอย่างเดียว ยังมีอย่างอื่นอีกมากที่ต้องเสาะหาเพื่อความสะดวกสบายขณะมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยๆ ก็ไม่น้อยหน้าคนอื่น ลูกๆ แกแต่ละคนที่ลงกรุงเทพฯ ไปแล้วก็ล้วนหายจ้อยเหมือนปล่อยเอี่ยนลงตม แกไม่ได้ห่วงใยอะไรนักเพราะพวกไปหาเงิน ทุกคนเอาตัวรอดปลอดภัย ห่วงก็แต่พวกที่อยู่กับตัวเองนี่แหละ มันทำให้แกปวดหัวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เพราะดวงสมพงษ์หรือเปล่าแกก็ไม่แน่ใจ เฒ่าแวงเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ ได้ลูกชายแต่ละคนสูงเกินร้อยเจ็ดสิบทั้งหมด แทบไม่มีใครรอดพ้นจากการเป็นทหารเกณฑ์ แต่นั่นก็เป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งยวดของแก เพราะตัวเองไม่ติดทหาร ยุคสมัยของแกใครไม่ติดทหารถือว่าเสียชาติเกิด ลูกห่างหาย ความยุ่งยากในชีวิตยิ่งตีกระหนาบเข้ามารอบด้าน แต่เฒ่าแวงก็อดทนต่อสู้เพื่อครอบครัว ไม่เคยปริปากบ่นให้ใครได้ดูหมิ่นดูแคลน แต่ยิ่งสู้เหมือนยิ่งย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ ลูกชายไปเป็นทหาร ลูกสาวลงกรุงเทพฯ บ้างก็แต่งงานไปอยู่บ้านผัว แรงงานทำนาของเฒ่าแวงลดน้อยถอยลงทุกวัน มันถดถอยพอๆ กับกำลังแรงกายที่แกจะต้องต่อสู้ฝ่าฟัน หลายปีมานี้ควายเหล็กเข้ามาแทนที่ควายเนื้อ อายุมากขึ้น แกไม่อาจต่อกรกับเครื่องจักรแบบนี้ไหว ถามลูกคนไหนก็ไม่ยอมกลับมาทำไร่ไถนา ด้วยว่ามันลำบากลำบนทั้งเหนื่อยทั้งร้อน ยิ่งทำยิ่งจน ในที่สุดแกตัดสินใจขายนาหนึ่งแทวให้ไทบ้านคนหนึ่ง ซึ่งเขากำลังมีเรี่ยวแรงในการบากบั่น เฒ่าแวงขายโดยมีข้อแม้ว่าถ้าไผอยากได้ที่นา ต้องซื้อที่ดินเฮือนในหมู่บ้านด้วย ไม่เช่นนั้นแกก็จะไม่ยอมขายเด็ดขาด เพราะรอให้ไทบ้านมาซื้อทำเป็นที่สาธารณะ เช่นศาลากลางหมู่บ้าน หรือที่อ่านหนังสือคงเป็นไปได้ยากแล้ว เพราะแม้แต่วัดในหมู่บ้านยังไม่มีวี่แววที่จะสร้างเสร็จ ชายสูงวัยอยากปลดปล่อยตัวเองออกจากความเหนื่อยล้าจนยาก และความเป็นไปแบบบ้าบอคอแตก หลังได้รับมูนเป็นที่ดินผืนนั้น พักหลังๆ เกิดเรื่องแปลกประหลาดในครอบครัวบ่อย อดไม่ได้ที่จะต้องโทษไปทั่วทีปทั่วแดน ไม่เว้นแม้ที่ดินมูนมังสังขยาประสาคนหัวเสีย เมื่อทั้งลูกทั้งพี่ชายต่างเป็นบ้าเป็นบออย่างไม่รู้สาเหตุ

 

2

 

มันทะเลาะกับน้องเขยทุกวันเรื่องที่ดินที่นา เพราะตัวเองไม่ได้นาตีนบ้านที่น้ำท่าดี และดินร่วนซุยถกเถียงจะวางมวยกันหลายรอบ จนที่สุดพ่อรำคาญ ขายควายถึกห้าตัวซื้อที่นาทั้งที่ดินบ้านเฒ่าแวงให้ มันชื่อว่าบักแหล่ฮุน ที่จริงแค่ชื่อแหล่เฉยๆ เป็นคนสีผิวค่อนข้างคล้ำ มีคำว่า ฮุน พ่วงท้ายก็ด้วยนิสัยมุทะลุดุดันของมันนี่เอง หลังขายที่ดิน เฒ่าแวงต้องเกณฑ์ลูกหลานไปรื้อเฮือนออกมาจากหมู่บ้าน คนซื้อไม่ยอมเอาเฮือนหรือไม้ที่เลอะเทอะไปด้วยขี้เด็ดขาด ที่จริงเจ้าของเฮือนคนเก่าอย่างแกก็ไม่อยากเอาเช่นกัน แต่จะทำไงได้ จะเผาทิ้งก็กลัวลามไหม้เฮือนซานลานแป้นคนอื่น รื้อถอนมา ยังพอทำเล้าเป็ดเล้าไก่ สัตว์คงไม่นึกรังเกียจขี้เยี่ยวเหมือนคน หลังรื้อเฮือนเลอะขี้เสร็จ บักแหล่ฮุน เร่งปลูกเฮือนใหม่ทันที รอนานไปหวั่นจะเป็นฆาตกรฆ่าน้องเขย ผู้เป็นนักเลงเก่าเมืองเพชรบูรณ์ เขม่นจะฟาดปากกันทุกวัน ด้วยปัญหากระจุกระจิกบนที่ดินเฮือนทั้งที่ดินทำกินดังกล่าว

เมื่อได้เงินขายที่ดินมรดกตรงนั้นเรียบร้อย เฒ่าแวงก็ขึ้นลวดหนามล้อมนาตัวเอง ล้อมโดยที่ปีนั้นจะมีงบขุดสระหลวงมาลงที่นาของแก แกเอาเงินยัดผู้ใหญ่บ้านให้เขาลงที่นา แม้เสียที่ดิน แต่ประโยชน์ที่จะได้มหาศาล บ่อน้ำอยู่ใกล้ถนนลูกรัง ไทบ้านเข้ามาตักไปใช้ดื่มกินได้สะดวก แต่จะทำกันอย่างสุรุ่ยสุร่ายเหมือนสระหลวงตีนห้วย ทั้งลงทอดแหหาปลา แข้งกุ้ง ช้อนปลาซิว แทงเอี่ยนไม่ได้อีกแล้ว หมู่บ้านเริ่มเจริญก้าวหน้า มีไฟฟ้าใช้ ใครจะทำตัวถ่วงความเจริญไม่ได้ แกขึงลวดหนามสูงถึงหน้าอก ปีถัดมาน้ำในสระหลวงปริ่มคัน กิจกรรมการเกษตรเชิงเดี่ยวก็เริ่มต้น เชิงเดี่ยวในที่นี้หมายถึงแกทำคนเดียวในที่นาตนเอง ไทบ้านคนอื่นไม่เกี่ยว — ไม่เกี่ยวทั้งที่ได้รับคำแนะนำจากเกษตรตำบลว่าต้องรวมกลุ่มกัน รวมก็ได้ แต่ไทบ้านห้ามมาปลูกผักในที่นาแก นาใกล้ๆ ของญาติพอมีบ้างที่เขาอนุญาตให้ปลูก น้ำท่าแกไม่ได้หวง แต่คนจะไหวไหมล่ะ หาบไกลถึงสามสี่ร้อยเมตรไปรดผักทีละต้น ข้าวโพดทีละหลุมสองหลุม ที่สุดจึงกลายเป็นเกษตรเชิงเดี่ยวดังกล่าว

แกอ้างว่า พวกนายฮ้อยรายรอบเฮือนหลังเก่าที่ขายไปนั่นเองแหละ ที่แพร่เชื้อเห็นแก่ตัวและหัวหมอเหล่านี้มาสู่เฒ่าแวง

“ซุมค้าควายยังเฮ็ดได้ กูกะเฮ็ดได้คือกัน…” เฒ่าแวงกล่าวเฉียบขาดกับญาติๆ

 

นาเฒ่าแวงอยู่ติดกับนาบักแหล่ฮุนตั้งแต่มันยังไม่ได้ซื้อนาจากแกเพิ่ม เพราะว่าปู่ของมันซื้อนาแปลงนั้นกับลุงแกไว้แต่ครั้งทั้งคู่ยังหนุ่ม ผืนนาที่ว่าบ่ได้ความดอก แล้งแถ มีแต่ดินทราย ด้านทิศตะวันตกติดกับลำห้วย ตะวันออกติดนาเฒ่าแวง มันเป็นทางน้ำผ่านของท่าน้ำนาขนัน ซึ่งเป็นหมู่บ้านของอีกตำบล น้ำออกแก่งแต่ละทีกวาดต้นข้าวหมอบราบติดดินสามคืนกว่าน้ำจะพ้น ข้าวตายเป็นแปลงๆ บักแหล่ฮุนเป็นคนหัวดีพอตัว มันป้านคันดินส่งทางน้ำลงท่าวังหินที่อยู่ฟากกันไป แต่ก็แค่พ้นฤดู หน้าแล้งควายงัวก็มาทำคันดินพังจนได้ ส่วนมากก็ควายคนนาใกล้นี่แหละและมันเป็นอีกเหตุผลที่เฒ่าแวงขึ้นลวดหนาม ด้วยต้องการป้องกันไม่ให้ควายงัวตัวเองไปทำลายคันดินบักแหล่ฮุน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างแกกับมันในระยะแรกเริ่มยังเป็นไปด้วยดี

หลังซื้อขายระหว่างกันแล้ว วันหนึ่งห้วงยามแตกแยกก็มาถึง เมื่อบักแหล่ฮุนได้ลูกคนแรกซึ่งเป็นลูกชาย เด็กน้อยอายุขวบเศษกำลังหัดพูด ช่วงลงนามันผูกเปลลูกไว้กับป่าจิกป่าเป้ง บักลังลูกชายคนโตของแก ที่สติไม่เต็มเต็งเป็นผีบ้าผีบอเดินเล่นอยู่ชายป่าแถบนั้น แกไม่รู้ดอกว่าลูกชายวิกลจริตของตนไปทำอีท่าไหน พวงหำเด็กน้อยถึงเปื่อยเต็มไปด้วยรอยฟันของมดจีลอย (มดลิ้น) เห็นแต่บักแหล่ฮุนไล่เตะไล่ถีบบักลังยกใหญ่ เถือกด่าด้วยความโกรธเกลียดเหลือจะบรรยาย แกและลูกอีกคนรีบวิ่งไปดู พบว่าบักลังยืนเงอะงะปล่อยให้บักแหล่ฮุนทั้งเตะทั้งกำปั้นฟาดตามใบหน้าอยู่ตรงนั้น คนตัวเล็กที่สติดี ตีคนตัวโตที่สติไม่สมประกอบอย่างเมามัน แต่คนถูกกระทำไม่มีทีท่าว่าจะคว่ำฟุบลงกับมือตีนแม้เพียงนิด บางจังหวะบักลังผีบ้ายกมือขึ้นป้องกัน ฟาดกำปั้นไปโดนศอก บักแหล่ฮุนถึงกับครางอู้หน้าบิดเบี้ยวเหยเก

“เซาๆ พอแล้วๆ มันเฮ็ดผิดหยัง คือเฮ็ดกันปานนี้” เฒ่าแวงปรี่เข้าห้าม

“แค่นี้มันยังน้อยไป เจ้าเบิ่งมันเฮ็ดกับลูกข้อยแหน่เป็นหยัง” บักแหล่ฮุนชี้ให้ดูหำเด็กที่ร้องไห้โยเยในอ้อมอกแม่ “เบิ่งๆ สิปัวจั่งใด๋เจ้าว่า มีปัญญารักษามันบ่”

เฒ่าแวงหันมอง แกหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจนึกหาวิธีรักษาไม่ออก ลนลานกล่าวขอโทษบักแหล่ฮุนที่กำกำปั้นขบฟันกรามกรอดๆ โมโหสุดขีด แกรู้ว่าคำขอโทษไม่อาจช่วยให้หำเด็กน้อยที่เปื่อยแดงกลับมาเป็นปกติดังเดิม แต่ชั่วขณะนั้นเฒ่าแวงทำได้ดีที่สุดแค่นี้

บักแหล่ฮุนไม่รับฟังคำทอโทษ มันพาลูกเมียขึ้นจักรยานปั่นแหวกทางลูกรังพาลูกน้อยไปหาหมออนามัยด้วยอารมณ์โกรธแค้นอย่างที่สุด

ผูกข้อต่อแขนเด็กน้อยเป็นเงินสองพัน ทั้งธุระจัดการยารากไม้หรือสมุนไพรอื่นที่พอรักษาได้ เด็กถูกพาไปเป่าโดยพระนามว่า ญาคูลี อาการมันดีขึ้นในยามปกติ แต่พอปวดเยี่ยวขึ้นมาทุกคนจะเห็นได้ว่าเด็กทรมานมาก ใบหน้ามันบิดเบี้ยวเหยเก ตะเบ็งเสียงร้องไห้ทั้งยืนเยี่ยว วันแรกฉี่ออกมาเป็นเลือดหยดติ๋งๆ พอแผลพอกสมุนไพรสองสามวันหำเด็กบวม เวลาเยี่ยวจึงทะลักออกมาเหมือนน้ำที่พุ่งออกจากฝักบัว บักแหล่ฮุนร้องไห้ไปกับลูกทุกวัน เห็นบักลังเป็นไม่ได้ จาฆ่าจาแกงตลอด เมื่อเด็กน้อยใกล้หายดี หายแบบอาจต้องสูญเสียอวัยวะเพศที่ใช้การไม่ได้ไปตลอดชีวิต ไม่นานบักลังลูกชายเฒ่าแวงก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นอีก คราวนี้หนักยิ่งกว่าตอนเอาขี้ไก่โป่นวดมาทำยาสีฟัน ก่อนเรื่องจะเป็นไปในทางอับอายขายขี้หน้า บักลังเข้าไปในหมู่บ้านซึ่งปกติแล้วมันไม่เคยกล้ำกราย นับตั้งแต่เสียสติหลังกลับจากทหาร ไทบ้านที่เห็นบอกว่า มันถูกเด็กในหมู่บ้านขว้างปาด้วยก้อนหิน และต่อว่า ว่ามันขบหำเด็กน้อย แอบเคี้ยวหำเด็กน้อยจนแหลกเละใช้การไม่ได้ มันต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองด้วยการตัดหำทิ้ง ว่าแล้วเด็กๆ เหล่านั้นก็หัวเราะ แล้วขว้างก้อนหินใส่มัน บางคนมียิงหนังสติ๊กด้วย จากที่เคยทนมือทนตีนบักแหล่ฮุนได้ แต่พอเจอฤทธิ์ของแข็งอย่างหินหนามหน่อริมถนนลูกรัง คราวนี้บักลังเลือดอาบหัวกลับมาร้องไห้ใต้ร่มไฮข้างเฮือนกลางทุ่ง หลังพาไปพบแพทย์อนามัยเพื่อเย็บแผล สองวันต่อมาบักลังก็ไม่ใส่กางเกง เดินเปลือยท่อนล่างไปตามท้องทุ่ง ไทบ้านยินมันพูดเหมือนกำลังจินตนาการว่าฝึกตามคำสั่งใครก็ไม่รู้ ที่น่าจะมีอิทธิพลต่อมันอย่างมากมายมหาศาล แอ่นเอ้ทำสะพานโค้งกลางแดดเปรี้ยงๆ ให้พวกหากบหาเขียด เลี้ยงงัวควายเห็นแล้วรู้สึกอุจาดตา ทุกคนเก็บสิ่งที่เห็นไปพูดในหมู่บ้านสนุกปาก

“บักลังป่วงเป็นผีบ้า ป๋าหำตากแดด พี่น้องเอ๊ย ข้อยล่ะอายตาง”

เรื่องราวของบักลังแว่วสู่การรับรู้ของเฒ่าแวงชั่วข้ามวัน แกเข้มงวดกับลูกมากขึ้น กักบริเวณไม่ยอมให้ออกไปไหน แต่ก็ไม่ได้ล่ามโซ่อะไรมัน บักลังรับฟังในช่วงแรก พอพ่อและน้องนุ่งเผลอไผลมันก็ไปทำท่าสะพานโค้งอีก และคราวนี้เข้าไปทำในหมู่บ้านให้คนเห็นกันทั่ว ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงผู้หญิงทั้งสาวแก่แม่ม่ายหวีดร้องขึ้น บักแหล่ฮุนจะออกมายืนยิ้ม หัวเราะเยาะ สมน้ำหน้า พอเห็นอริเก่า บักลังหยุดทำในทันที นั่งลงฟุบหน้ากับดินแล้วร้องไห้ฟูมฟาย

“สมน้ำหน้า มึงสิเป็นเบิ๊ดเฮือนนั่นแหละบักอัปรีย์ จักหน่อยเฒ่าแวงพ่อมึง อ้ายน้องมึงทุกคนกะต้องเป็นผีบ้า นี่หละบาปที่มึงเฮ็ดกับลูกกู มึงจำไว้โลด ฮ่าๆๆ”

 

3

 

โดยลืมว่าตนเองได้ปลูกเฮือนไว้บนที่ดินเก่าของเฒ่าแวงหรือที่จริงอาจไม่ได้ลืม แต่เป็นเพราะไม่ได้เชื่อในเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับครอบครัวเฒ่าแวง สำคัญเห็นว่ามันเป็นโรคทางกรรมพันธุ์ เหมือนที่หมออนามัยบอกตอนพาลูกไปรักษา คนพวกนี้สบชะตากรรมอยู่กับอาการทางประสาท เป็นผีบ้าผีบอไปเมื่อถึงวัยหนึ่ง แม้ไม่ต้องสาปแช่ง สักวันคนเฮือนนี้ก็ย่อมเป็นเพิ่มมาอีก อาจใครสักคน ลูกชาย ลูกสาว หรือไม่ก็เฒ่าแวงเอง มันเชื่ออย่างนี้เพราะมีตัวอย่างเช่นเฒ่าวังอ้ายชายเฒ่าแวงที่เป็นมาก่อน

ทั้งที่รู้อยู่ว่ามันบ้า แต่ด้วยความเกลียดชังที่บักลังทำกับลูกตน เล่นพิเรนทร์อุ้มลูกตนที่นอนในอู่ใต้ต้นจิกไปไว้บนหลุมมดจีลอย บักแหล่ฮุนจึงสาปส่ง ขณะไม่เชื่ออาถรรพ์ที่ดิน แต่ชีวิตในอีกมิติหนึ่งบักแหล่ฮุนยังงมงายอยู่กับผีอีคำใบ ผีที่พ่อใหญ่ของมันบอกว่าปู่ทวดตอกวิญญาณไว้กับเสาไม้แดง มันเพียรขอเลขทุกงวดจากอีคำใบ บักแหล่ฮุนเคยถูกเลขหลายงวดจากผีตนนี้ ทุกวันมันจึงจุดธูปเทียนบูชาผีสาวอยู่เช่นนั้น ก่อนหน้านี้บักแหล่ฮุนทำนาเช่าเพราะอยากแยกเฮือนจากพ่อแม่ มันอยากสำแดงกล้ามดากว่าตัวเองก็มีกำลังวังชาทำมาหากินไม่แพ้คนอื่น ทำสองสามปีพ่อจึงยกที่นาให้แต่ก็น้อยนิดเพราะลูกเต้าหลายคน จำเป็นต้องขายควายซื้อที่นา และที่ดินปลูกเฮือนของเฒ่าแวงให้ ทุกครั้งที่บักแหล่ฮุนย้ายที่อยู่จากนาแต่ละผืน มันแบกเสาไม้แดงตีตะปูแปดขึ้นเกวียนไปด้วยเสมอบักแหล่ฮุนเรียกเสาไม้แดงที่ตอกวิญญาณผีนี้ว่า เสาอีแม่คำใบ บูชาดอกไม้ธูปเทียน ของกินดีๆ ที่มันหามาได้ทุกวัน

หน้าหนาวคืนหนึ่งช่วงหำลูกชายหายดีแล้ว หลังตีข้าวเสร็จในรอบวัน บักแหล่ฮุนจุดธูปเทียนบูชาเสาอีแม่คำใบเพื่อขอเลขตามเคย อาบน้ำเสร็จกลับเข้านอนกอดเมีย ตกกลางดึกเพลิงมหาศาลโชติช่วงที่ลอมฟางหลังเถียง บักแหล่ฮุนผวาตื่นปลุกเมียหอบลูกออกจากเถียงนา ขนข้าวของออกไปได้หลายอย่างก่อนไฟจะลามถึงเถียง เฒ่าแวงและลูกรวมทั้งคนนาใกล้มาช่วยดับ แต่ก็รักษาลอมข้าวได้ไม่ทั้งหมด ไฟไหม้ข้าวไปกว่าครึ่งลาน แปลกแต่จริง ทั้งที่ไฟไหม้ทั้งข้าวทั้งลอมฟางและเถียงนาไปเกินครึ่ง แต่เสาอีแม่คำใบของบักแหล่ฮุนไม่มีแม้แต่ร่องรอยไฟเลีย นั่นยิ่งทำให้เจ้าตัวศรัทธาเพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัว เชื่อถืออย่างสุดใจ ยิ้มยกอกชื่นที่ตนเองและลูกเมียรอดเปลวอัคคีมาได้ แต่พอหันมาจะพูดกับเมียเพื่อชี้ชวนให้เห็นว่าสิ่งที่ตนนับถือดีจริง ใจมันอยากโน้มน้าวให้เมียลดอุณหภูมิภายในหัวอกนางที่ร้อนรุ่มเพราะเสียดายหยาดเหงื่อแรงกายที่บากบั่นมาตลอดปี

“เจ้าเห็นบ่ว่าเฮารอดตายญ่อนเพิ่น ต่อไปนี้ต้องดูแลเพิ่นดีกว่าเก่า”บักแหล่ฮุนกล่าวน้ำเสียงตื่นเต้น ไม่เจือความขุ่นหมองใจของผู้ที่เพิ่งสูญเสียเม็ดข้าวบนลานไปแม้เพียงนิด มันจ้องหน้าเมียที่บูดบึ้ง เม้มริมฝีปากอยู่ใกล้ๆ ท่ามกลางไทบ้านที่มาช่วยเหลือ รวมทั้งเฒ่าแวงและลูกๆ แกด้วย

“บ่ต้องเสียใจดอกแม่บักหำ ข้าวนาปลาปูเฮาเฮ็ดใหม่หาใหม่ได้ เสาอีแม่คำใบยังอยู่กับเฮา ถือว่าเฮายังมีผลาหลวงหลายล้นพีนแล้ว”

“ผลาโคตรพ่อมึงบ้อบักแหล่ฮุน มึงมืนตาเบิ่งแหน่ ข้าวไหม้เป็นข้าวตอกแตกเบิ๊ดแล้ว มึงสิหาเงินไสมาใช้หนี้เขา มึงสิเอาหยังสะแตกแดกห่า..” เมียกระแทกเสียง นางสะอึกสะอื้นขึ้นกลางวง

“ฮ่วย!…เจ้าคือเว้าแบบนี้” บักแหล่ฮุนมองเมียอย่างงุนงง มันไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“ถ้าบ่ญ่อนมึงจุดธูปเทียนบูชากกเสานั่น เรื่องแบบนี้มันสิเกิดขึ้นได้บ่” เมียทรุดนั่งลงต่อหน้าเอามือกุมขมับเหมือนคนอับจนหนทางแล้วทุกอย่าง

“เพิ่นปกป้องเฮา เจ้าอย่าลบหลู่เพิ่นแบบนั้น บ่มีเพิ่นเฮาถืกไฟครอกตายแล้ว”

“มันสิครอกได้จั่งใด๋ถ้าบ่มีคนก่อ ต้นเหตุมันอยู่ที่มึง”

“ฮ่วย! อีห่านี่ มึงคือโทษแต่กูแท้ บัดยามถืกเลข มึงคือถามหาแต่เงินกับกูแท้”

“ถืกเลข มึงเอาเงินกับกูไปซื้อ เงินหานำกัน หือมึงเคยเอาเสาไม้แดงต้นนี้ไปแลกบิลเลขมาได้”

ตุบ ตับ ผัวะ เผียะ !!!

“ฮือๆๆๆ อีพ่อ อีแม่ อย่าตีกัน” บักพิณลูกน้อยหำพิการตะเบ็งเสียงร้องไห้เหลืออกทกใจ

เฒ่าแวงและไทบ้านกรูกันเข้าห้าม แต่ก็ช้าเกินไปที่จะไม่ทำให้ผู้เป็นเมียเลือดตกยางออก นางหอบเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นที่เหลือเดินตัดทุ่งข้ามห้วยกลับบ้านเดิมในคืนนั้น ปล่อยให้บักแหล่ฮุนได้แต่นั่งปลอบลูกชายหำพิการตัวน้อยเพียงลำพัง เฒ่าแวงให้กำลังใจ ไทบ้านเห็นใจ แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง ก่อนจากเมียย้ำกับผู้เฒ่า ซึ่งเป็นญาติที่มาช่วยดับไฟว่าไม่ต้องไปตามนางเด็ดขาด หากบักผัวตัวดีไม่ทิ้งเสาไม้แดงไปเสีย นางเชื่อว่าเพราะเสานี่แหละเป็นสาเหตุของการทะเบาะแว้งและสูญเสียข้าวครั้งนี้ ขณะที่ไทบ้านรวมทั้งเฒ่าแวงที่หันมาเชื่อว่ามันมากกว่านี้ เสาอีแม่คำใบแค่ช่วยส่งเสริมเท่านั้น

หลายวันผ่านไป นั่งคิดทบทวน ประกอบกับคิดถึงเมีย บรรยากาศในห้วงยามที่เคยเว้าเคยจีบแรกๆ ในงานบุญผะเหวด ช่วยเหยียบหางครกมองในวันบีบข้าวปุ้นก่อนบุญบ้าน คืนนั่งฟังลำเรื่องต่อกลอนผาแดงนางไอ่ แบ่งปันคั่วในหมากขาม แห่กัณฑ์หลงกัณฑ์หลอนไปด้วยกันจับมือถือแขนสัญญามั่นสิฮักกันไปจนวันตาย นึกถึงตอนเมียเข้าห้ามผู้บ่าวบ้านนาง ไม่ให้รุมกระทืบตนหน้าเวทีหมอลำหลายครั้งหลายหน จนหลงรักเทียวไปมาหาสู่ เลิกเป็นนักเลงหัวไม้ ไม่ตายโหงจากขวานหีหมู ระเบิดขวด ปืนลูกซองไทยประดิษฐ์ก็เพราะนาง บักแหล่ฮุนน้ำตาไหลพราก อุ้มลูกหำพิการไปร้องขอผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านให้พาตนไปขออ่อนขอยอมพ่อตาแม่ยายขอเมียกลับมาอยู่ด้วยอีกครั้ง มันยอมรับผิดทุกอย่าง ต่อไปนี้จะเลิกงมงายกับเสาไม้แดงท่อนนั้นแล้ว จะให้หมอธรรมพาเอาไปทิ้งป่าช้า ให้อีแม่คำใบอยู่กับญาติศรีพี่น้องตามวิถีของเพิ่น สูตรถ้อยความพราหมณ์ปลดปล่อยเพิ่นกับมันให้ขาดจากกันนับแต่นี้เป็นต้นไป

เมียบักแหล่ฮุนกลับมาอยู่กับผัว ไม่นานนางก็ตั้งท้องลูกที่สอง คลอดออกมาเป็นหญิงหน้าตาน่ารักน่าชัง บักแหล่ฮุนเห่อลูกสาวมากเพราะคนครอบครัวตนไม่ค่อยมีลูกหลานเพศหญิง แต่พอลูกเกิดไม่ถึงเดือนพ่อบักแหล่ฮุนก็ไหลตาย ตายทางดิบในช่วงพลบค่ำหน้าแล้ง บ้านดงบงโกลาหลวุ่นวายกลัวผีแม่ม่าย ทำปลัดขิกขนาดเท่าแข้ง ทาหัวสีแดงจ่ายหว่ายไว้หน้าเฮือนตนเอง ต่อมาไม่นานบักลินลูกชายคนที่สองของเฒ่าแวงก็จับได้ใบแดงเป็นทหารเหมือนบักลัง พี่ชายที่กลับมาแล้วเป็นบ้าเป็นบอ ห้วงนั้นบักลังคลุ้มคลั่งบ่อย แล้วในที่สุดมันก็เดิน เดินเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย ไปทั่วทีปทั่วแดน เฒ่าแวงตามกลับมาบ่อยครั้ง แต่ไม่นานมันก็เดินอีก

หลังปลดจากทหารเกณฑ์เมียลูกชายคนรองของเฒ่าแวงมีชู้ หล่อนเป็นลูกสาวคนติดการพนันหัวปักหัวปำคนหนึ่งในหมู่บ้าน หลังจากพ่อตาย หล่อนแต่งกับบักลิน บักลินเสียอกเสียใจดื่มเหล้าเมาหยำเป การงานไม่ทำ ที่สุดหลงเข้าไปติดสารระเหยประเภทกาวปะยางรถ ทินเนอร์ เฒ่าแวงเอาไปบำบัดถึงถ้ำกระบอกสระบุรี หายดีกลับมา จึงหาเมียคนใหม่ให้ หลังแต่งงานบักลินดีขึ้นกว่าเดิม มันตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน ฐานะทางครอบครัวดีขึ้นเรื่อยๆ ปลูกเฮือนหลังใหญ่ใกล้พ่อ ทำการเกษตรหน้าแล้งท่ามกลางนวัตกรรมใหม่ที่เคลื่อนเข้าสู่ดงบงสักพักแล้ว นั่นก็คือรถไถนั่งขับ บักลินเป็นคนสูงใหญ่ไม่แพ้พี่ชายที่เป็นบ้า และยังเดินให้ครอบครัวตามกลับอยู่ทุกปี ผู้น้องแข็งขันด้านสร้างครอบครัว ผู้พี่แข็งขันด้านสร้างปัญหา เดินโชว์คยให้ไทบ้านส่าลือ ที่สุดเมื่อต้องตามกลับบ่อยจนเอียน ครั้งสุดท้ายเฒ่าแวงตามบักลังกลับมาจากท่าฝั่งของท่าอุเทน นครพนม มันเดินตามถนนยุทธศาสตร์รอบประเทศไปเสียไกล พอไปอีกครั้งก็ไม่มีใครตามแล้ว

ขณะที่ฐานะดีขึ้นเมียเก่าบักลินก็ทำท่าจะกลับมาหาผัว หล่อนให้ลูกสาวคนแรกของบักลินมาเป็นตัวล่อ แรกๆ มาขอเงินกินขนม เมียบักลินไม่ได้ว่าเมื่อเห็นลูกสาวกลับมาหาพ่อ แต่เธอก็คอยดูพฤติกรรมเสมอ เมียคนแรกของบักลินเป็นคนหน้าตาดี แน่นอนว่าหล่อนเป็นลูกสาวหมอลำเก่าที่บ้าการพนันเขย่าไฮโล ซึ่งเป็นเบาหวานน้ำตาลขึ้นช็อกตายคาวงเมื่อไม่กี่ปีก่อน คนเป็นหมอลำ เสียงดีลำดี เลือกได้ พอมีทายาทโดยมากจึงหน้าตาดี ส่วนเธอแค่ลูกคนไทบ้านธรรมดา ตัวดำๆ ขี้ริ้วขี้เหร่ มีดีที่ขยันขันแข็งเป็นแม่ศรีเรือน เดินตามฮีตคองประเพณี จึงเป็นที่หมายตาของเฒ่าแวง เธอกลัวเหลือเกินว่าถ่านไฟเก่ามันจะปะทุ และต่อมาไม่นานแม้อยู่ในสายตาตลอดแต่เธอก็พลาดจนได้

ก็อย่างที่ภาษิตไทยว่า เสียทองเท่าหัวไม่ยอมเสียผัวให้ใคร มันใช้ได้ทั้งไทยและลาวหรือใครก็ตามในโลกใบนี้ การทะเลาะตบตีแย่งผัวเกิดขึ้นราวสามสี่ครั้ง ทุกครั้งรุนแรงเป็นที่อับอายขายขี้หน้าไทบ้านไทเมืองเสมอ บักลินไม่ยอมเลือกใครทั้งนั้น แต่อย่างไรพ่อก็บังคับให้อยู่กับเมียที่แกเลือกให้ ไม่เช่นนั้นก็อย่ามาเหยียบแผ่นดินของแก เหตุการณ์ลุกลามรุนแรงถึงขั้นพ่อลูกทะเลาะกันด้วยคำพูดไม่ยั้งคิดของบักลินที่บอกว่า หรืออีพ่ออยากได้เมียดีๆ อย่างอีดำร่วมกับตน

กำปั้นเท่าหมากตาลของเฒ่าแวงเหวี่ยงใส่กกหูลูกชายอย่างแรง จนคนตัวใหญ่ล้มคว่ำคะมำลงดิน ท่ามกลางเสียงหวีดร้องอย่างตื่นกลัวของลูกหลานและเมียทั้งสองของผู้ถูกกระทำ อีดำเมียใหม่ผวาเข้าประคองผัว ส่วนเมียเก่าเห็นท่าไม่ดีหล่อนเก้กัง สักพักก็หายแวบไประหว่างที่อดีตแม่ผัวกับพ่อผัวทะเลาะกันในห้วงเวลาต่อมา

เหตุการณ์ครั้งนี้สงบลงด้วยดีเมื่อเมียเก่าไม่มาเกาะแกะอีก พี่น้องโล่งอก คิดว่าจากนี้ไปคงจะไม่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับครอบครัวพวกเขาอีกแล้ว แต่พอผ่านพ้นไปเพียงหนึ่งปี บักลินก็เริ่มมีอาการประหลาดเกิดขึ้นกับตัวเอง มันปวดหัวอย่างรุนแรงเหมือนจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ครางโอดโอยไม่เป็นอันกินอันนอน เอามือสองข้างบีบกุมหัวทั้งวัน ไม่ช้าเฒ่าแวงเรียกหมอผีมาดู ต่อด้วยไปตรวจที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ และถูกส่งต่อที่โรงพยาบาลใหญ่ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ ต้องนอนให้หมอเช็คอาการอยู่เป็นเดือนๆ ที่บ้านเฒ่าแวงหาหมอธรรมมาปัดเป่าหลายสิบรอบ แต่คนป่วยยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ยิ่งนานวันยิ่งปวดทรมาน หมอถามว่าเคยประสบอุบัติเหตุรุนแรงที่ศีรษะไหม เจ้าตัวบอกว่านอกจากถูกพ่อชกแล้วก็ถูกเตะด้วยคอมแบ็ทของครูฝึกตอนเป็นทหารขณะฝึกยิงเป้า กระสุนขัดลำกล้อง บักลินแก้ไขไม่เป็น ด้วยไร้ประสบการณ์ แม้ฟังคำสั่งแต่ก็เผลอหันปลาย

ปืนไปทางครูฝึก แล้วโดนเตะสวนกลับมา ผลคือมันสลบคาตีน ไปฟื้นบนเตียงพยาบาล จากนั้นก็ไม่มีอะไรอีก ไม่เคยปวดหัวแบบนี้มาก่อน แพทย์เอกซเรย์อีกครั้ง บอกกับญาติว่า ต้องวินิจฉัยด้วยการผ่าตัด อาจมีเลือดคั่งในสมอง การผ่าตัดรอบแรกเป็นไปด้วยดี ศีรษะถูกปัตตาเลี่ยนไถจนโล้นเลี่ยนห่อพันด้วยผ้าพันแผล อาการปวดบรรเทาลงบ้างในช่วงแรกเพราะได้ยาชา แต่พอผ่านไปสามวันก็ต้องเข้าห้องไอซียูอีกครั้ง กลับออกมาครั้งนี้บักลินจำใครไม่ได้เลย ลูกเมียพ่อแม่ก็ไม่รู้จัก สองเดือนผ่านไปมือขวาขยับได้แค่ปลายนิ้ว ลุกนั่งลำบาก ลิ่วเข้าห้องตรวจฉุกเฉินอีกครั้ง ที่เฮือนกลางทุ่งทำพิธีเอาบุญเฮือนครั้งใหญ่เอิกเกริก ผ่าตัดครั้งที่ห้าแพทย์ยังไม่สามารถวินิจฉัยโรคของบักลินได้ที่สุดผู้เป็นพ่อและไทบ้านหมดเชื่อว่า เกิดจากที่ดินที่ขายไปแล้วผืนนั้น พวกเขาผูกโยงสายสิญจน์จากนากลางทุ่งไปไกลถึงที่นั่น ทีแรกเจ้าของใหม่ไม่เชื่อ แต่พอไทบ้านทั้งหมดเห็นร่วมกัน บักแหล่ฮุนก็ยอมให้ทำตามนี้ แม่มันบอกว่าไม่เสียหายดอก ทำบุญอุทิศแก่ผีเป็นเรื่องดี อย่างน้อยมันก็ได้ผลบุญนั่นด้วย บักลินถูกส่งกลับบ้านในเดือนต่อมา ด้วยสภาพของคนพิการอัมพาตทั้งตัว ร่างกายทุกส่วนสัดขยับไม่ได้ เพียงดวงตาที่กรอกไปมามองผู้คนที่มาเยี่ยมยามถามข่าวอย่างเลื่อนลอย และอีดำเมียใหม่ก็ปรนนิบัติเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวผัว ทำมาหากินด้วยลำแข้งตัวเองเพียงลำพังนับแต่นั้น

 

4

 

ขณะที่ครอบครัวเฒ่าแวงเผชิญชะตากรรมประหลาด ทำบุญก็แล้ว รักษาทางแพทย์แผนปัจจุบันก็แล้ว ยังไร้วี่แววว่าบักลินจะกลับมาหายดี เดินเหินได้ตามปกติเหมือนเดิม ทางด้านครอบครัวบักแหล่ฮุนก็เลวร้ายไม่ต่างกัน น้องชายมันประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในไซต์ก่อสร้าง ปล่อยเมียกับลูกแฝดอยู่อย่างลำบากลำบน หลังฟูมฟักเลี้ยงดูลูกแฝดอย่างแร้นแค้นไม่นานเมียน้องชายก็เข้ากรุงเทพฯ หางานทำโดยฝากลูกๆ ให้ลุงอย่างบักแหล่ฮุนเลี้ยง เมื่อหลานมาอยู่ด้วย เมียบักแหล่ฮุนก็หาได้ยินดี นางเองก็มีลูกตั้งหลายคนแล้ว ยังต้องลำบากเลี้ยงหลานอีก สองผัวเมียทะเลาะตบตีกันทุกวัน แม้ลูกชายหำพิการคอยห้ามปรามทั้งสองก็ไม่ฟัง บางครั้งฉุนเฉียวหลงปากพล่อยด่าลามถึงปมด้อยลูกชายด้วยซ้ำ ถูกพ่อด่าบักพิณผู้หำพิการเช็ดน้ำตาร่อยๆ ขบกรามกรอดๆ มันโตเต็มหนุ่มแล้ว ร่างกายกำยำล่ำสันกล้ามเป็นมัด แข็งแรงดุจช้างสาร แต่พอถูกว่าถึงปมด้อยจากผู้บังเกิดเกล้าจิตใจมันอ่อน ไหวยวบยาบ โกรธ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ คนรู้เรื่องของมันไม่ใช่แค่ในครอบครัว ไทบ้านรู้ เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันรู้ ถูกล้อบ้าง แต่มันระบายได้ด้วยมือตีน เพื่อนไม่กล้าพูด แต่พ่อพูดมันสุดช้ำใจ เด็กหนุ่มเก็บเสื้อผ้ายัดใส่ถุงปุ๋ย ขึ้นรถบรรทุกสิบล้อกับเพื่อนในหมู่บ้าน ลงไปตัดอ้อยเมืองกาญจน์ทันที พอลูกผู้แข็งแรงกำยำไม่อยู่ บักแหล่ฮุนยิ่งรับภาระหนักขึ้นอีก ไม่นานเมียน้องชายเอาผัวใหม่ไม่ยอมส่งเสียลูกตน ยิ่งปากกัดตีนถีบมากกว่าเดิม หลานทั้งสองเหมือนเลือดเนื้อเชื้อไข ปล่อยทิ้งตามยถากรรมก็รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ใช่คน หมาแมวยังเลี้ยงได้ นี่หลานแท้ๆ หนักหนายังไงก็ต้องทน วันหนึ่งบักแหล่ฮุนประกาศขายที่ดินที่ซื้อจากเฒ่าแวงในหมู่บ้าน มันหอบลูกหลานออกมาอยู่เถียงนาไม่ไกลจากเฮือนเฒ่าแวง ขายทั้งดินทั้งเฮือนถูกสุดๆ แค่แปดหมื่น หลายคนสนใจมาดู แต่ฟังประวัติความเป็นมาถึงความอาถรรพ์มีอันเป็นไปของคนเคยอยู่จากคนในละแวกแล้ว ต่างก็ถอนตัว กันหมด เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับคนสองเรือนเป็นที่พรั่นพรึงแก่พวกเขา

หลังจ่าวขายเฮือนพร้อมที่ดิน แต่บ่มีไทบ้านคนใดกล้ามาซื้อเป็นที่อยู่อู่นอน ฐานะความเป็น อยู่ของบักแหล่ฮุนยิ่งแย่กว่าเดิม ประกอบกับสถานการณ์ในครอบครัวก็แย่ลงไปอีกเมื่อลูกสาวคนที่ตนเองออนซอนมาแต่เด็กหนีออกจากโรงเรียนวิ่งตามทหารเกณฑ์ที่มาเที่ยวงานพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อวัดปากแซงถึงเมืองอุบล ตามไปอยู่กับเขา เช่าแมนชั่นใกล้ๆ วิทยาลัยที่บักผู้บ่าวมันเคยเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงนั่นแหละ มันบอกว่าติดทหารแค่ปีเดียว ฝึกไม่นานก็พ้นภาระหน้าที่ชายไทยอย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากนั้นผู้บ่าวจะไปขอลูกสาวของบักแหล่ฮุนแต่งงาน เห็นจะจริงในตอนแรกที่เขารักลูกมันจริงจัง พาไปหาพ่อแม่ เชิญบักแหล่ฮุนไปดูหลักฐานเฮือนชานลานแป้นของตัวเอง พ่อผู้สาวเชื่อใจเขาและรู้สึกโล่งใจพักใหญ่ แต่พอปลดจากทหารผู้บ่าวก็หายหน้าหายตาไป ลูกสาวตามไปถึงเฮือนพ่อแม่มัน แต่ก็ไม่พบ พ่อแม่ผู้บ่าวไม่รู้ไม่เห็น พูดจาไม่เหมือนวันที่บักแหล่ฮุนมาหา ลูกสาวปาดน้ำตามาหาพ่อถึงเถียงนา วิญญาณนักเลงหัวไม้หน้าเวทีหมอลำโชนฉายขึ้นในดวงตา มันจูงแขนลูกขึ้นรถประจำทางไปข่มขู่คนเมืองถึงเฮือนเขา ห้วงนั้นหัวใจบักแหล่ฮุนหาญกล้าและร้อนรุ่มดังสุมไฟ ถ้าลูกสาวจะต้องอับอายขายขี้หน้าไทบ้านเกินกว่านี้ มันพร้อมยอมตาย เห็นหน้าบักแหล่ฮุน พวกนั้นอ่อนปวกเปียกรู้สึกผิดต่อการกระทำของลูกชาย และพร้อมจะชดใช้ค่าเสียหาย แต่เงินที่บักแหล่ฮุนเรียกเกินฐานะของตนเหลือหลาย ปรับไหมใส่โทษขั้นเป็นล้านใครกันจะยอมมัน ประสาไทบ้านนอกจนยาก หาขี้สักก้อนสิจี่ยาไส้ตัวเองและลูกเมียยังยาก ถ้าจะเอากฎหมายเข้าว่า พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นต่อหลายขุม ศาลที่ไหนจะฟังคนจนอย่างบักแหล่ฮุน เขาให้ได้มากสุดแค่หนึ่งแสนบาท คนเมืองมากหน้าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นญาติฝ่ายชายมาพูดคุยเจรจา ที่สุดบักแหล่ฮุนตกลงตามนั้น กำขี้ดีกว่ากำตด มันมีเงินแสนปลูกเฮือนใหม่ให้ลูกหลานที่ยังเด็กได้ซุกหัวนอน อยู่อย่างไม่ลำบากลำบนทนฝนสาดแดดเผาเกินไปนัก น้องๆ ดีใจยิ้มยกอกชื่น ส่วนลูกสาวที่หวงแหนก็ต้องปล่อยไปตามยถากรรม ไม่ถึงเสียผู้เสียคน แต่สิ้นอนาคตทางการศึกษา ไปโดยปริยาย ตามน้าลงไปทำงานโรงงานกรุงเทพฯ เด็กสาววัยสิบเจ็ดน้ำตานองหน้าขึ้นรถปรับอากาศชั้นสองยังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน คล้อยหลังน้องสาวบักพิณหำพิการกลับมา มันรับรู้เรื่องราวน้องสาวสุดรักจากพ่อแม่ ตะคอกดุด่าเทวดาฟ้าดินถึงความไม่ยุติธรรมในชีวิตของตนเอง และครอบครัว มันไปแค่สองปีเหตุใดเฮือนชานลานแป้นถึงตกต่ำลงได้เพียงนี้ ที่จริงตกต่ำมาตลอด แต่มันคิดว่าควรจะดีขึ้นมากกว่า มันเหลือเงินมาให้พ่อเรือนห้าหมื่น กึ่งหนึ่งคิดว่าให้เป็นค่าเล่าเรียนของน้องๆ แต่เมื่อน้องสาวไม่ได้เรียนมันจึงให้แค่สองหมื่นห้า เหลือจากนั้นถลุงลงขวดเหล้าขาวกับพรรคพวกเพื่อนฝูงจากหมู่บ้านใกล้เคียงที่ไปตัดอ้อยด้วยกัน บักพิณปูเสื่อบนลานข้าว ตั้งลำโพงเครื่องเสียงที่มันแบกหามรับจ้างซื้อหามาก่อนหน้า เปิดเพลงกินเต้นร้องรำสนุกสนานประชดชีวิตถอดเสื้อเผยกล้ามเนื้อ แผ่นอกเป็นลอนดั่งนักเพาะกายทีมชาติ บนราวนมสักอักษรไทยเขียวเข้มว่า พ่อ-แม่ เอาไว้อย่างมีกตัญญู แผ่นหลังสักลายหนุมานเหินหาวมือถือตรีและกงจักร ดวงตาจ้องดาวเดือนเหมือนจะรวบกิน แม่มองเห็นตกตะลึงแววตาเผยริ้วรอยขยาดหวาดหวั่น โยนเสื้อกลับไปให้ลูกชายสวมใส่ แต่มันเมาเสียแล้ว ความเมาทำให้สันดานที่คงจะรับมาจากพ่อได้แผ่ผาย ตะคอกดุด่าลมฟ้าอากาศแบบไม่รู้สาเหตุบอกว่า “อยากเตะปากคน กูอยากเตะปากคนเด้!!!” กลางวงเพื่อนฝูงที่หัวเราะลั่นเวลาบักพิณพูด แม่ต้องปรี่เข้ามาเอามืออุดปากไม่ให้พูด ทั้งเมามาย ทั้งกำลังวังชามหาศาล มีหรือแม่ผู้อ่อนแอกรำแดดฝนทำนาเลี้ยงลูกหลานนานปีต้านทานไหว ที่สุดหันไปขอร้องเพื่อนว่าอย่าถือสา ทั้งที่อยู่ที่โน่นทุกคนต่างรู้ดีว่ามันเป็นอย่างไร พวกที่นั่งด้วยกันบักพิณกำราบด้วยตีนมาหมดแล้ว อย่าว่าแต่เพื่อนเลย แม้แต่นายจ้างก็ไม่กล้าหือเมื่อมองเห็นดวงตาของมัน แต่บักพิณก็รู้สูงต่ำ มันกระทำกับบางคนที่เห็นว่าประพฤติตนไม่เหมาะควรและกร่างใส่มันก่อนเท่านั้น

สามวันสามคืนของการดื่มกินอย่างหัวราน้ำ เข้าวันที่สี่ทุกคนเลิกรา เตรียมตัวกลับลงไปทำงานบักพิณถามพ่อว่าอยากให้อยู่ช่วยทำนาไหม บักแหล่ฮุนปฏิเสธ มันยังแข็งแรง สู้นาไหว ใจจริงไม่อยากให้ลูกจมปลักอยู่ที่นี่เหมือนตนเอง ตลอดห้วงเวลาที่ผ่านมาผู้พ่อเหนื่อยสายตัวแทบขาด ทำนาทั้งทำงานรับจ้างปลูกสร้างบ้านเฮือนเลี้ยงลูกหลาน บักแหล่ฮุนไม่ได้บอกลูกชายว่าตัวเองเพิ่งตกจากหลังคาเฮือนชั้นเดียวที่ไปก่อสร้างย่างสามวันสามคืนช่วงหลังปีใหม่ที่พ้นผ่าน หน้านาปีนี้ก็ไม่ทราบว่าจะลุยนาได้แค่ไหน ดีหน่อยที่บักแพ๊ดน้องชายคนเล็กของบักพิณอยู่ชั้นประถมหกแล้ว ปีกลายก็ได้มันนั่นแหละช่วยไถคราด เจ้าตัวย้ำแค่ว่า อย่างไรเสียปีหน้าอย่าลืมกลับมาเกณฑ์ทหารทำหน้าที่ชายไทยให้สมบูรณ์ ยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหนก็ต้องกลับมาคัดเลือกให้ได้ อย่าให้เขาหาว่าเสียชาติเกิดเด้อลูก บักแหล่ฮุนได้ฟังวิทยุซ้ำๆถึงความองอาจมาดแมนของทหาร ควายมดีงามสุดๆที่มีต่อชาติบ้านเมือง รักชาติยิ่งชีพ ฟังไปก็เคลิ้มไป และบักแหล่ฮุนก็เชื่อมั่นในความดีงามเหล่านี้เสมอ อยากให้ลูกชายคนโตเป็นทหารเพื่อเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล แต่หวั่นใจเหมือนกันว่า การที่บักพิณมีหำที่พิการอาจถูกเพื่อนทหารล้อ ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการรับใช้ชาติของลูกบ้างไหม

 

5

 

ระหว่างที่คนเฮือนบักแหล่ฮุนอยู่อย่างอีลากอีเลือ หากินแร้นแค้น อดีตเจ้าของที่ดินมรดกเดิมกำลังตกอยู่ในความชราภาพ เดินเหินลำบาก เป็นโรคเกี่ยวกับเส้นประสาท เขย่าข้อมือขวาทั้งวัน ทุกครั้งที่ลูกชายหรือบักลินเข้าไปตรวจตามใบแจ้งนัดจากหมอ แกก็จะตามไปตรวจโรคของตัวเองด้วยเสมอ มือขวากระตุกสั่นสะบัดขึ้นเองทุกๆ สี่ห้านาที มันใช้การอะไรไม่ได้เลย ต้องขดงอเข้าหาตัวเองตลอด บางทีกระตุกไปทั้งแขน พุ่งไปข้างหน้า ใครอยู่ใกล้ต้องรีบฉากหนี ไม่งั้นอาจโดนมือขนาดใหญ่กระแทกปลายคางถึงน็อกสลบ เฒ่าแวงรู้สึกหงุดหงิดรำคาญจนบ่นกับเมียว่าอยากตัดมือตัวเองทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด เมียได้แต่ปลอบ แค่นี้มันยังไม่ทรมานถึงครึ่งหนึ่งที่ลูกชายคนรองกำลังเผชิญอยู่ บักลินเป็นเจ้าชายนิทรา หมอต้องเจาะคอให้อาหาร อีดำเมียมันปรนนิบัติผัวอย่างภักดีไม่คิดทอดทิ้ง ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าผัวเป็นร้อยเท่าพันเท่า ดีหน่อยแต่ว่ามีเอื้อยน้องที่อยู่กรุงเทพฯ คอยให้กำลังใจ พวกเขาบางคนเอาลูกสาวคนโตของมันไปอยู่ด้วย ส่งเสียเล่าเรียนตามกำลัง แต่อยู่ได้ไม่กี่ปีก็ต้องกลับมา เมื่อลูกโตพอรู้ความช่วยเหลือแรงงานได้ เจ็ดปีแล้วที่ผัวป่วย รอบข้างมีแต่คำชมครูอาจารย์ของลูกมาเยี่ยมให้กำลังใจเสมอ ได้รางวัลแม่ดีเด่นระดับอำเภอ แต่นางไม่เคยอยากได้สิ่งเหล่านี้ ถ้าฟ้าจะกรุณา ขอผัวของนางคืนจากอาการหลับใหลไร้วันตื่นทั้งที่ยังมีชีวิตได้ไหม

นานๆ เฒ่าแวงจะกระย่องกระแย่งมาเยี่ยมลูกชายสักครั้ง คนป่วยนอนหลับใหลเหมือนคนตายไม่รู้สึกรู้สมว่าใครมาเฝ้ามาดู เรียกชื่อลูกทำทีเป็นตลกโปกฮา “ลินเอ๊ย ฟ่าวลุกฟ่าวยอมาหาไถไห่ไถนาถะแหมะลูก มันเสร็จสวยเพลงายแล้วตั่ว” ว่าแล้วสะอึกสะอื้นเดินกลับเฮือนตัวเองด้วยความหดหู่ในหัวใจอย่างที่สุด

มีสิ่งแปลกประหลาดอยู่เรื่องนึง เกี่ยวกับสิ่งบักที่ลินเป็น ทั้งที่ป่วยนานนมแล้วแต่ทำไมมันไม่ซูบผอมลงเลย ร่างกายยังกำยำล่ำสันไม่ได้ผ่ายผอมแบบคนป่วย บางคนว่าน่าจะเป็นผลมาจากการฝึกที่เข้มข้นตอนเป็นทหารรับใช้ชาติ แต่เหตุใดจึงขี้เกียจสันหลังยาวนอนให้เมียหาเลี้ยงไปวันๆ คนที่พูดแบบนี้ส่วนมากก็พี่น้องมันนั่นแหละ พูดล้อเล่นขบขันกลบอารมณ์ขมขื่นต่อความป่วยไข้ของพี่ชาย สงสารพี่สะใภ้ บางครั้งที่กลับมาเยี่ยม พวกน้องๆ บักลินจะมาตั้งวงกินเหล้าใกล้แคร่นอนมันเสมอ ชวนพี่ชายกิน พูดถึงงานบุญวิ่งตามหลังขบวนแห่ผ้าป่าเข้าวัดเมื่อครั้งยังเด็ก-อ้ายลินจำได้บ่ พวกเขาไม่มีญาติทำงานกรุงเทพฯ ไม่ได้รับแจกขนมจากหนุ่มสาวโรงงาน แต่ลูกๆ เฒ่าแวงได้เงินจากโชเฟอร์รถทัวร์ที่พูดภาษาไทยโผงผางสองแง่สองง่ามหลังอาสาส่งจดหมายน้อยแก่ผู้สาว ทั้งกกกอดบีบนวดคนป่วยอย่างไม่ชิงชังรังเกียจ ก่อนกลับสู่ย่านอุตสาหกรรมด้วยน้ำตานองทุกคน

 

6

 

มันเป็นคนหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ อายุห่างจากบักแหล่ฮุนสิบกว่าปี แต่ก่อนอยู่คุ้มเดียวกัน มันเคยเป็นทหาร แต่หนีออกจากกรมกองทั้งที่ฝึกจบแล้ว นายพันเคยมาตามถึงเฮือนกลางหมู่บ้าน ทว่ามันเป็นคนช่างสังเกต มีสัญชาตญาณเยี่ยงเดียวกับสัตว์ที่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส มันหนีลงห้วย ทหารมาติดต่อกับพ่อแม่อีกหลายครั้ง แต่มันย้ำเด็ดขาดว่าไม่ไป กลับไปก็โดนขัง ถูกซ่อม กลับไปให้โง่ทำไม มันทะเลาะกับพ่อนานสองนาน ผ่านไปสองเดือนไม่มีใครมาตามอีก พ่อมันจึงเรียกมันว่าบักคนเถื่อน และไทบ้านก็เรียกมันตามพ่อมัน หลังจากหนีทหาร บักคนเถื่อนไปทำงานเป็นกรรมกรก่อสร้างอยู่แถบชานเมืองย่านอุตสาหกรรม แต่ก่อนเป็นคนเงียบหงิม อยู่ในโอวาทของพ่อแม่ตลอด อยู่ท่ามกลางภาวะ “ฮักบังซังเบี่ยง” รักลูกไม่เท่ากัน ทำนาช่วยพ่อแม่หลายปีจนโตเต็มหนุ่ม คัดเลือกและติดทหาร ไม่เคยมีสมบัติพัสถานที่พอตั้งตัวได้ อย่าว่าแต่ตั้งตัวเลย แม้แต่จะซื้อกางเกงยีนสักตัวยังลำบาก พอหนีทหารมาได้ เหล้ายาเข้าปากก็เปลี่ยนเป็นคนละคน เป็นนักเลง ตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก ช่วงหนึ่งเคยไปทำไม้กวาดรับจ้างแถวเขื่อนลำโดมน้อย เก็บเงินซื้อควายได้หนึ่งตัว สิ้นฤดูเก็บเกี่ยว กลางวันรับจ้างแบกหาม กลางคืนเที่ยวชมหมอลำหนังกลางแปลงตามเทศกาลงานบุญต่างๆ จนตกหลุมรักผู้สาวคนหนึ่ง อ้อนวอนพ่อแม่ไปขอให้ ผู้เป็นพ่อที่อยากปัดความรับผิดชอบต่อลูกชายคนนี้อยู่แล้วจึงชวนผู้เฒ่าผู้แก่ไปด้วยกัน แต่สินสอดห้ามเกินกว่าควายหนึ่งตัวที่มันลงแรงหามาได้ ฝ่ายพ่อแม่ผู้หญิงรู้จากคำร่ำลือถึงความขยันขันแข็งของบักคนเถื่อนแต่เดิมอยู่แล้ว พวกเขาจึงตกลงตามนั้น แต่สินสอดควายตัวเดียวในยุคสมัยที่บ้านเมืองกำลังเข้าสู่ยุคใหม่เช่นนี้มันช่างฟังดูไม่สมเหตุสมผล ไทบ้านนินทาพ่อแม่หญิงสาวยกใหญ่ ยิ่งใกล้วันแต่ง พ่อแม่ผู้สาวยิ่งร้อนรนใจ ที่จริงอยากได้ลูกเขยคนนี้ใจแทบขาด แต่ต้องตัดใจส่งลูกสาวไปอยู่กับพี่ๆ ที่กรุงเทพฯ มาส่งถึงท่ารถอีแดงพัดลมในอำเภอเขมราฐ ย้ำกับลูกว่าเพื่ออนาคตที่ดี วันข้างหน้าต้องเจอคนที่ดีกว่านี้แน่ๆ ขึ้นรถแล้ว แต่ใจที่โหยหา ด้วยใจรักของเธอที่มีต่อบักคนเถื่อน ถึงกลางทางช่วงบ้านนาหว้าใหญ่จับสามล้อเครื่องลิ่วมาหาผู้บ่าวคนฮักถึงดงบง แจ้งเรื่องที่พ่อแม่หักหลังพวกตน สองคนจึงหนีลงกรุงเทพฯ ด้วยกันทางรถไฟวารินฯ ในคืนนั้น แต่ความที่ยังเป็นวัยรุ่นอารมณ์ปรวนแปร เห็นใหม่มักหน้าลืมชู้เก่าหลัง บักคนเถื่อนแยกทางกับแฟนสาวชั่วไม่ถึงปี และกลับมาบ้านเกิดกับขบวนผ้าป่าในสภาพผู้บ่าวฮิปปี้ในปีถัดมา คราวนี้ชีวิตมันเละตุ้มเป๊ะ สำมะเลเทเมาสุดๆ พ่อแม่ไม่ยอมรับ ผลักไสไล่ส่ง พอดีช่วงนั้นบักแหล่ฮุนขาดแคลนแรงงานจึงอาสามาช่วย สนิทชิดเชื้อกันนับแต่นั้น

บักคนเถื่อนมาถามถึงเฮือนและที่ดินตรงนั้นกับนายจ้างเก่า เจ้าตัวฝันว่ามีคนรูปร่างสูงใหญ่ชวนให้มาอยู่ด้วยกันในบ้านหลังนี้ คนคนนั้นบักคนเถื่อนไม่รู้จักดอก อาจเกิดทันแต่ยังจำความไม่ได้ บอกว่าจะพาห่างมีดีได้ในวันข้างหน้า มันไม่เชื่อความฝันเท่าไหร่นัก เพียงแค่อยากมีเฮือนซานลานแป้นอยู่แบบไทบ้านเขา มันมีเงินไม่ถึงแปดหมื่นแต่งัวที่มีอยู่ประเมินราคาค่าตัวแล้วน่าจะมากกว่านั้น

บักพิณจับได้ใบดำสลากเลี่ยง อดเป็นทหารเกณฑ์ แม้ผิดหวังกับเรื่องนี้มาก แต่บักแหล่ฮุนก็ดีใจที่พอลืมตาอ้าปาก จากเงินคำกำแก้วที่ลูกชายทำงานส่งมา พอได้ยินคำกล่าวของลูกน้องเก่าอย่างบักคนเถื่อน มันจึงวางเขื่องมาดใหญ่อยู่ดาวหาว แปดหมื่นนั้น เป็นราคาเมื่อห้าปีก่อน นาทีนี้สนนราคาแค่นั้น มีหรือบักแหล่ฮุนจะได้ยิน

“เฮาอยากได้สิบห้าโตว่าใด๋ อันนี้คนกันเองเด้อ ถ้าคนอื่นเฮาเอิ้นแพงกว่านี่” ด้วยความที่สูงวัยขึ้น ประกอบกับช่วงหลังต้องดิ้นรนทำมาหากินเลี้ยงลูกหลาน ลวดลายลีลาเว้าจาของบักแหล่ฮุนไม่เหมือนเดิม มันร่วมหุ้นกับคนไทบ้าน ลงทุนฆ่าซี้นขายญายปลาแดก เป็นพ่อค้าเนื้อโคพื้นเมืองที่โดยมากซื้อขายกันด้วยเงินเชื่อ ราคาที่ว่า สิบห้า ในความหมายนี้ของบักแหล่ฮุนคือ หนึ่งแสนห้าหมื่นบาท

บักคนเถื่อนอึ้งกิมกี่ไปชั่วขณะ คิดในใจว่า-คนกันเองบ้านพ่อมึงหรือ เรียกแพงขนาดนี้-จากวันแรกที่บักแหล่ฮุนจ่าวขาย ถึงตอนนี้เวลาก็เลยมาราวห้าปี ซึ่งก็ถูกของมันล่ะว่าของต้องมีขึ้นราคาบ้างตามสภาพเศรษฐกิจสังคมที่มันเปลี่ยนแปลงไปมาก ของอย่างอื่นเขาก็ขึ้นกันนับตั้งแต่ สบู่ ยาสีฟันยันรถรา เฮือนชานลานแป้นที่ดินที่ดอนไม่ต้องพูดถึง บักคนเถื่อนไม่คิดต่อรอง แสนห้าแพงเกินไปสำหรับคนที่เพิ่งตั้งตัวอย่างมัน ที่ตรงนั้นไม่ต่างที่ตาบอด แถมประวัติความเป็นมาก็ลดมูลค่าของผืนดินเอง ยิ่งระยะหลังบักแพ๊ดลูกชายคนเล็กวัยสิบหกของเจ้าของเฮือนชอบพาเพื่อนมามั่วสุมเสพสังวาส กินเหล้าเมายา เปิดเพลงเสียงดังให้ไทบ้านรำคาญหนวกหู หอบหิ้วผู้สาวนอนค้างอ้างแรมมั่วสุมกันเหมือนซ่องกะหรี่เล้าแม่จ้าง เสียงขี้ปากไทบ้านกรอกหูอยู่ตลอดเวลา ถึงความเป็นอยู่ของคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่ดินตรงนี้ ทั้งเฒ่าแวงกับลูกๆ ทั้งบักแหล่ฮุนอ้ายชายที่เคยช่วยเหลือแรงงานผู้นี้ แต่ที่ตนมาเพราะไม่มีที่ซุกหัวจริงๆ เลวร้ายยังไงก็คงต้องเสี่ยงเอา ดูน้ำหนักทิศทางอันย่ำแย่ของทั้งคู่แล้ว คนที่เคยอยู่มาก่อนอย่างเฒ่าแวงดูเหมือนจะเผชิญชะตากรรมที่หนักหนากว่าบักแหล่ฮุน อาจเพราะแกคือต้นเค้าที่รับมูนมังสังขยาผืนนี้มา ที่ดินตกทอดมาสองมือ บ๋าบนไหว้สาน่าจะดีขึ้นบ้าง บักคนเถื่อนคิด มันอยากลบคำสบประมาทของคน อยากสร้างครอบครัวเล็กๆ ของตนให้ทัดเทียมกับไทบ้านคนอื่น ที่มักติฉินนินทามาแต่อดีต ทุกวันนี้มันเองมีครอบครัวใหม่แล้ว ได้เมียเป็นอดีตกะหรี่ร้านอาหารริมฝั่งของ หล่อนเป็นคนฝั่งโน้น มาเป็นเด็กนั่งดริงค์ขายบริการ มันเมาหัวราน้ำไปฟักเฟือกกกอดหล่อน เงินจ่ายค่าตัวไม่มี คิดจะใช้คารมพาออกจากร้านหลังเลิกงานแล้วฟันหล่อนฟรี แล้วก็ได้ฟันฟรีจริงๆ แต่ฟันเสร็จดันถอนตัวไม่ได้ หล่อนติดมันอ้อนต้อนไปทุกหนทุกแห่ง ที่สุดก็ต้องยอมรับหล่อนเป็นเมีย เวลานี้มีลูกด้วยกันแล้วสองคน เป็นหญิงทั้งคู่ ช่วงแรกที่อยู่ด้วยกัน มีทะเลาะเบาะแว้งตบตีกันบ่อย เพราะบักคนเถื่อนติดเหล้างอมแงม ดื่มทุกวัน ฟิวส์ขาดตลอดเวลาที่ฤทธิ์แอลกอฮอล์ไหลเวียนในร่างกาย พักหลังญาติที่มันเคยช่วยงาน เขาเห็นอกเห็นใจและสงสาร กลัวลูกสาวจะเป็นปมด้อยซึ่งในจิตใจลูกที่กำลังโตเป็นสาว อาจมีคำคำนี้ฝังจมอยู่ก่อนพอสมควรแล้ว แต่ยังไงถ้าถอนตัวตอนนี้ก็ยังทัน เขาพามันไปออกเหล้าที่วัดข่าโคมเขตอำเภอเขื่องใน ออกเหล้าคือไปสาบานตนกับพระถ้าหากดื่มขอให้มีอันเป็นไปในสามวันเจ็ดวัน จากวันนั้นถึงวันนี้สามปีแล้วที่มันไม่เคยแตะต้องสุราเมรัยหรือสารเสพติดอย่างอื่น ยกเว้นก็แต่ยาเส้นที่ต่อให้มันตายลงไปในตอนนี้ก็เลิกไม่ได้เด็ดขาด หลังเลิกดื่ม มุ่งทำงานรับจ้างแบกหาม ทำงานก่อสร้างแถบหมู่บ้านหรือตำบลใกล้ไกล เก็บเงินเก็บทองซื้องัวมาเลี้ยง ตกหน้านาเช่านาเขาทำ เอาข้าวไว้กิน ขายบ้าง ส่งลูกเรียน พอมีที่เหยียบยืนในสังคมไทบ้านได้ในระดับหนึ่ง อยากมีเฮือนมีที่ หันหาคนที่พอเกื้อหนุนได้ กลับเจอแต่สถานการณ์อย่างนี้เข้าจึงผิดหวัง คิดถอนตัวโดยไม่ยื้อต่อรองอะไรอีก ตอนยุ่งยากกิจการนาไร่ หาคนงานไม่ได้ ปรี่มาหา บักคนเถื่อนก็กุลีกุจอไปช่วยทั้งที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว เสียคำพูดเพราะบักแหล่ฮุนก็หลายหน ถึงเคยสำมะเลเทเมามาก่อน แต่ยามปกติที่ไม่เมารับจ้างรับวานพอมีหัวทางช่าง มันรู้ความผุพังของเฮือนที่บักแหล่ฮุนทิ้งร้างมานาน ถ้าซื้อหรือแลกด้วยงัวงามของตน จำเป็นจะต้องซ่อมแซมขนานใหญ่กว่าจะเข้าไปอยู่ถาวรได้ ถ้าต้องยกเงินคำกำแก้วงัวสามแม่ลูกเพื่อแลกกับเฮือนผุๆ หลังเดียวบนที่ดินอาถรรพ์แบบนี้ บักคนเถื่อนคิดว่ามันขอถอนตัวดีกว่า บ่เอาแล้ว แต่พลันจะลุกจากแคร่ขอตัวกลับ บักแหล่ฮุนผู้นั่งหยั่งเชิงอยู่ใกล้ๆ ก็พลันเอ่ยคำพูดออกมา

“เอาจั่งซี้ อ้ายขอไปเบิ่งงัวก่อนได้บ่ สิส่วยสิแหลมจั่งใด๋เฮาจั่งว่ากันอีกเทือหนึ่งเรื่องราคา”

บักคนเถื่อนมองหน้าคนคุ้นเคย เห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของพ่อค้าเขียงงัวลาด แต่ก็ตกลง ถ้ามีเฮือนอยู่ถาวร คนหนุ่มวัยสามสิบเศษอย่างมันยังพอมีหนทางก้าวหน้า ไม่อยากให้ลูกเมียน้อยหน้าใคร….

 

7

 

จูงงัวกลับทุ่งนาอย่างสบายใจเฉิบ งัวเทศแม่แดงทั้งสามอายุราวหกเดือนหนึ่งตัว ปีเศษหนึ่งตัว และแม่มันแก่สุดน่าจะหกเจ็ดปีแล้ว บักแหล่ฮุนตีราคาให้แค่แปดหมื่น ส่วนเฮือนพร้อมที่ดินลดราคาลงมาที่แสนสอง บักคนเถื่อนต่อรองขอความเห็นใจ อยากให้ลดลงมาอีกเหลือแสนเดียวได้ไหม บักแหล่ฮุนไม่ยอม แต่มันให้สินเชื่อไว้ให้จ่ายปีละหมื่น คนกันเอง นี่ก็ขอค่าขนมหลาน-มันว่าอย่างนี้ ว่าเหมือนเศรษฐีคนเมือง พูดถึงเงินเป็นหมื่นเปรียบเทียบเป็นแค่ค่าขนมเด็กไม่กี่ตังค์ คุยกันอยู่นานลดลงมาได้กันที่หนึ่งแสนหนึ่งหมื่น แต่ต้องจ่ายสองงวด งวดละหมื่นห้าต่อปี แปลว่าเสียงัวแล้วบักคนเถื่อนยังต้องเป็นหนี้บักแหล่ฮุนอีกสามหมื่น บัดนี้สมบัติพัสถานทั้งหมดของบักคนเถื่อนจึงเหลือมอเตอร์ไซค์เทน่า ที่ตกรุ่นหลายปีแล้วหนึ่งคันไว้เทียวทำงานก่อสร้างกับเมียในตัวอำเภอ และอีกชิ้นคือสร้อยคอทองคำหนักห้าสิบสตางค์ที่เป็นของเมีย ซึ่งหล่อนเก็บหอมรอมริบตอนขายบริการกะว่าจะไปให้แม่ฝั่งโน้น เก็บไว้ปลูกเฮือนใหม่หากหล่อนได้กลับไป แต่พอมาได้ผัวที่ฝั่งนี้ จึงต้องเก็บมันอย่างดีเพื่อใช้ในยามฉุกเฉินหาไม่ทัน ตอนนี้บักคนเถื่อนสามารถพาลูกเมียเข้าไปอยู่ในเฮือนดินมูนได้ ส่วนโฉนดที่ดินยังก่อน ไว้ได้เงินครบถึงจะโอนให้ แต่จะโอนในรูปแบบไหนล่ะ ในเมื่อบักคนเถื่อนมันหนีทหาร ไม่มีบัตรประชาชนมาหลายปีแล้ว คนซื้อหนักใจในเรื่องนี้พอสมควร แต่ทางออกที่คิดได้คือ จะให้บักแหล่ฮุนโอนเป็นชื่อน้องชายคนเล็กวัยสิบเก้าของตน เมื่อถึงห้วงเวลาที่จะได้โอนกันน้องชายน่าจะบรรลุนิติภาวะแล้ว คนขายไม่หนักใจในเรื่องนี้เลย บักแหล่ฮุนไม่ได้คิดจะโกง แต่เมื่อถึงเวลานั้น อาจมีเงื่อนไขต่อรองเพิ่มมาอีก เรื่องนี้ทั้งคู่ยังไม่ได้พูดคุยกันไว้ เพียงแค่ให้ต่างคนต่างเชื่อใจซึ่งกันและกัน โดยฝ่ายขายกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เก็บซ่อนเล่ห์ร้ายอยู่ภายใน

ปีแรกบักคนเถื่อนมีจ่ายตามสัญญา แต่พอเข้าขวบปีที่สองของการเข้าอยู่ในเฮือนหลังดังกล่าว อาถรรพ์ของเฮือนก็ทำพิษแก่คนมาอยู่ใหม่ เรื่องของเรื่องว่าเกี่ยวก็เกี่ยว ว่าไม่เกี่ยวก็ได้ อาจพูดได้ว่าไม่เกี่ยวกับที่ดิน ปัญหามันเกิดจากคนล้วนๆ นั่นก็คือบักคนเถื่อนธรรมแตก มันซัดเหล้าเมามายเสียอกเสียใจที่น้องชายจับได้ใบแดงลงชายแดนใต้ แค่น้องติดทหารมันก็จะตายชักแล้ว นี่ต้องลงไปสุ่มเสี่ยงอยู่บนพื้นที่อันตรายสุดๆ คนเป็นพี่อย่างมันมีหรือจะทำใจได้ พี่น้องทุกหน้าค่าตาในครอบครัวล้วนแต่ชิงชังและกีดกันบักคนเถื่อน เห็นมันได้ดิบได้ดีก่อนหน้านี้ก็พากันริษยา มีรถมีงัวเห็นอยู่ว่ามันทำงานหนักจนผอมเกร็งทั้งผัวทั้งเมีย แต่เอื้อยน้องของมันก็ใส่ความว่าค้ายาบ้า ยกเว้นแค่น้องชายที่เพิ่งติดทหารคนนี้ นอกนั้นพูดจาค่อนแคะดูถูกเสียงดังจนไทบ้านเอือมระอา แทบไม่มีใครคบค้าสมาคมกับคนเฮือนนี้ ไทบ้านเห็นอกเห็นใจบักคนเถื่อนแต่พวกเขาก็ตำหนิมันที่กลับมาอยู่ในวังวนซ้ำเดิมซึ่งนำจะพาชีวิตย่ำแย่ลงไปอีก วันน้องออกเดินทางมันหอบพระที่เพื่อนให้ไว้ สวมคอให้น้อง กกกอดร้องไห้ ทั้งเมาเหล้าเมาน้ำตาน่าเวทนาแก่ผู้พบเห็น หลังน้องจากไป บักคนเถื่อนยังไม่เลิกดื่ม นั่งโจ้บนแคร่เฮือนดินมูนเพียงลำพัง ต่อมาเริ่มทะเลาะตบตีเมีย ลูกสาวสองคนร้องไห้ลั่นหมู่บ้าน บักแหล่ฮุนเข้ามาเห็น แต่ก็ไม่กล้าว่าอะไร มันรู้ดีว่าเวลาบักคนเถื่อนเมาก็เหมือนปีศาจตนหนึ่ง เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวที่เคยมีก็เหมือนจะชะงักงันลงไปเสียดื้อๆที่สำคัญมันคล้องแขนขวาด้วยผ้าขาวม้าแพรด้ามผูกโยงรอบคอ บักแหล่ฮุนเพิ่งได้รับบาดเจ็บจากการถูกบักแพ๊ดลูกชายคนเล็กจับเหวี่ยงใส่เสาเฮือน โกรธที่พ่อไม่ให้เงินไปซื้อยาบ้ามาเสพ แขนหักสองท่อน ไหปลาร้าหัก ไม่ไปโรงหมอเพราะคิดว่าหายยาก ในหมู่บ้านมีหมอกระดูก ตั้งใจมาปรึกษาเรื่องเอาบุญเฮือนตรงนี้อีกสักครั้ง คิดอยากให้ทำร่วมกันจริงจัง ลูกหลานคนทั้งสามครอบครัวอยู่ที่ไหนเรียกมาให้หมด มันได้หมอพราหมณ์เก่งกาจที่สุดจากคำแนะนำของพระธุดงค์รูปหนึ่ง บักคนเถื่อนตกลง บางทีทำสิ่งนี้แล้วอาจทำให้ทุกอย่างดีขึ้น มันคิดเหมือนกันว่าน้องชายที่ติดทหาร ไปเสี่ยงคมกระสุนอยู่ชายแดนภาคใต้ก็ถูกหางเลขจากเรื่องนี้ ทำพิธีเสร็จน้องชายอาจแคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง

ถึงวันสูตรขจัดเสนียดจังไฮ คนสามครัวมาพร้อมหน้า เฒ่าแวงให้ลูกหลานประคองเดินมา มือขวาของแกยังสะบัดอยู่ตลอดเวลา บักลังมาอยู่บ้านเกิดก่อนนี้เป็นเดือน มีคนโพสต์เฟซบุ๊คแจ้งว่า พบชายร่างใหญ่ในวัดแห่งหนึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ ท่าทางสติไม่เต็มเต็งแต่พูดคุยพอรู้เรื่อง บอกกับเจ้าอาวาสว่าต้องการกลับบ้าน ให้แกช่วยหน่อย เมื่อน้องสาวเห็นจึงไปตามตัวกลับมา มันไม่โชว์ของลับแล้ว แต่ห้ามให้เห็นขี้ไก่โป่นวดเด็ดขาด บักพิณก็กลับมาและมาแบบเป็นที่ตกตะลึงของไทบ้าน มันได้เมียมาด้วย ได้เมียสามปีแล้วแต่ยังไม่มีลูก เมียมันสวยมาก ขาวจุ่นผุ่นปานหยวกกล้วยทุกคนมองเห็นแล้วแทบไม่เชื่อสายตา-ก็ไหนบอกว่ามันหำพิการ แล้วนี่ไปทำอีท่าไหนจึงได้เมียสวยขนาดนี้ มันนั่งไม่ไกลจากบักลัง หันมองชายวิกลจริตด้วยสายตายากหยั่งรู้ความนึกคิด ส่วนบักลังดันทำท่าเอียงอายขวยเขิน ดุจผู้สาวถูกผู้บ่าวเพ่งจ้องด้วยอารมณ์พิศวาส ทำเอาใครๆ ต่างมองด้วยอาการงุนงง ผู้ที่ไม่ได้มามีเพียงคนเดียวคือบักลิน มันยังคงหลับใหลไม่รู้สติสตังอยู่เฮือนกลางนา ทุกคนนั่งตะหมอบตอบขา ประนมมือฟังคำสูตรหมอพราหมณ์ ชมการเรียกสิ่งชั่วร้ายให้เข้ามาสู่บั้งอุบาทว์ที่เป็นกระบอกไม้ไผ่เพื่อเอาไปทิ้งยังน้ำของ ให้ความไม่ดีไม่งามไหลไปมหาสมุทรไกล อย่าย้อนมาทำร้ายพวกตนอีก เสร็จสรรพกินข้าว เหล้ายาปลาปิ้งร่วมกัน บักคนเถื่อนเป็นเจ้าเฮือน วันนี้มันก็ซดเหล้าตลอดงาน ยังไม่ปรากฏว่าทำพิธีกรรมเสร็จแล้ว สถานการณ์ย่ำแย่ในชีวิตมันจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมเลย บักแหล่ฮุนนั่งกินข้าวอย่างยากลำบาก เพราะมีแขนที่ใช้การได้แค่ข้างเดียว ไม่นานอิ่มพีมีผญาทั่วหน้าทั่วตากัน

 

8

 

ก่อนหมอพราหมณ์ขอตัวกลับ จู่ๆ ท้องฟ้ามืดครึ้มคล้ายจะมีฝน ทุกคนแหงนมองฟ้าที่ครืนคราง อึดใจนั้นพวกเขาได้ยินเสียงโวหกเหวกโวยวายของผู้คนจำนวนมาก กึกก้องขึ้นรอบๆ ตัว ฟังคล้ายมีการทะเลาะทุ่มเถียงหาข้อยุติอะไรสักอย่าง พอสังเกตน้ำเสียงชัดๆ กลับไม่ใช่ ไม่มีใครแน่ใจว่าคือเสียงของอะไรกันแน่ ทุกคนตกตะลึงหันมองหน้ากันและกันอย่างหวาดหวั่น หัวใจพวกเขาเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ สักครู่เริ่มมีเสียงผู้คนเถียงกันอีก เถียงคอเป็นเอ็นไม่ได้ยินหูเข้าหูออก ที่สำคัญคือ ถ้อยคำที่เถียงกันนั้นฟังดูประหลาด จะว่าเป็นคำของมนุษย์ยุคนี้ก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นการใช้ภาษาของมนุษย์เผ่าใดก็ไม่ชัด เหมือนภาษาของคนที่ถูกผีเข้า จังหวะนั้นบักลังผีบ้าหันมองหน้าทุกคนเลิ่กลั่ก หวาดกลัวลนไม่รู้สาเหตุแน่ชัด มันวิ่งเตลิดตะเลอออกไปอย่างไม่คิดชีวิต สักพักบักคนเถื่อนเกิดอาการหวาดผวาวิตกจริต ตัวสั่นเทาเหมือนนักโทษที่ถูกทรมานในคุกมืด บักแหล่ฮุนตัวสั่นงันงก ริมฝีปากบิดเบี้ยว คล้ายมีมือลึกลับยื่นมาออกแรงบีบบี้ให้ปากของมันผิดปกติ บักพิณหำพิการจู่ๆ ก็ซุกหน้าเข้าหาเมียร้องไห้ครวญคราง มือกุมหำตัวเอง บอกว่าปวดแสบปวดร้อนราวกับถูกไฟลน ขณะที่เฒ่าแวงและคนอื่นต่างนอนราบลงกับพื้น แก้มแนบดิน ดิ้นเร่าเหมือนงัวถูกทุบหัว ตอนแรกไทบ้านที่มาช่วยงานต่างตกตะลึง แต่ผ่านไปสักพักนึกอะไรบางอย่างได้ จึงต่างเร่งรีบเข้าช่วยเหลือ บางคนช่วยมาประคองทุกคนให้ลุกขึ้นนั่ง บางคนประคองร่างยื่นยาดมใส่รูจมูก หลายคนผวาจับคนที่อาการหนักดิ้นเร่าๆ สีหน้าท่าทางคนที่ช่วยเหลือไม่ได้หวั่นวิตกอะไรนัก คิดว่านี่คงเป็นแค่การอุปทานหมู่ ซึ่งคนหมู่บ้านนี้เป็นกันมาแต่ครั้งบรรพชนแล้ว

“ข้อยยอมแล้ว อย่าเฮ็ดข้อยถ่อน ข้อยยอมแล้ว… โอยๆๆๆ” นั่นคือถ้อยคำที่เปล่งออกมาพร้อมเสียงครวญครางระงมของทุกคนที่เกิดอาการประหลาด

ไทบ้านหลายคนส่งเสียงเร่งให้หมอพราหมณ์สวดแก้ไขตามความเชื่ออย่างเร็วไว

ทว่าเฒ่าชุดขาวยังเก้ๆ กังๆ ไม่อยากทำเท่าไหร่ ไม่แน่ใจว่าการทำพิธีครั้งที่สองนี้ ใครจะเป็นคนจ่ายค่าคายอ้อยอครูกับแก ถ้าเกิดว่าอาการประหลาดที่ไทบ้านผู้พัวพันกับที่ดินตรงนี้ ไม่กลับมาเป็นผู้เป็นคนดังเดิม กระทั่งผู้ใหญ่บ้านรับปาก เสียงคำบาลีปะปนคำลาวจึงเอื้อนขึ้นอีกครั้ง.

 

*มูน หมายถึง มรดก

จารุพัฒน์ เพชราเวช เป็นชื่อสกุลจริง เกิดวันที่ 19 กรกฎาคม 1975 จังหวัดอุบลราชธานี มีผลงานเรื่องสั้นตีพิมพ์ตามหน้านิตยสารและเวทีประกวดต่างๆ ช่วงหลังรัฐประหาร ปี 2006 มีผลงานรวมเรื่องสั้นเล่มแรกชื่อ อีกา และนิยายขนาดสั้นเล่มแรกชื่อ เงาเหนือแม่น้ำ  ปัจจุบัน ทำอาชีพค้าขาย และเขียนหนังสืออย่างจริงจัง

สนับสนุนวรรณกรรมไทย โดย

สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย
สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย
สำนักพิมพ์แสงดาว
สำนักพิมพ์แสงดาว

Author

WAY of WORDS
โครงการเปิดรับต้นฉบับเรื่องสั้นและบทกวี ไม่จำกัดความยาวและเรื่องที่อยากเล่า ต้นฉบับทั้งเรื่องสั้นและบทกวี ถูกอ่านและพิจารณาโดยคณะบรรณาธิการสายแข็ง ก่อนเผยแพร่ทาง waymagazine.org

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า