WAY of WORDS: ว่าด้วยการกลับชาติมาเกิด

 

เมื่อภาพในโทรทัศน์เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน เรื่องราวทั้งหมดทั้งที่เกิดแล้วหรือที่กำลังจะเกิดขึ้นก็ปรากฏแจ่มชัดในมโนสำนึกของเธอ เธอเข้าใจในที่สุดว่าเธอคืออีกรอบหนึ่งของการหมุนวนไม่รู้จบ กลับชาติมาเกิด ใครๆ เรียกมันเช่นนั้น ทุกสิ่งอัน ทั้งทุกรายละเอียดของความเป็นเธอ บุคคลรายรอบ รูปแบบของเหตุการณ์ ปัจจัย เงื่อนไข ได้ถูกหอบมาครบรอบกันหมด (และทั้งหมดก็คือ ‘ชาติ’) “ทุกอย่างได้ถูกกำหนดไว้” เธอพูดพึมพำด้วยถ้อยคำที่เธอพูดในทุกชาติ

จอแก้วกลายเป็นสีน้ำเงินกระด้างชวนปวดตา เสียงเพลงบาดหูไหลออกมาจากลำโพง ภาพนั้นแช่ค้างไม่เคลื่อนไหวและชวนให้ผู้ชมทั่วไปได้แต่นึกสงสัยว่าอะไรกำลังจะมา ทว่าเพราะเธอรู้ทั้งหมด (และใช่ เธอพึงพอใจเหมือนกับที่พึงพอใจในทุกชาติ – ระลึกชาติได้มันก็ดีเช่นนี้เอง) เธอจึงสิ้นความสนใจต่อมันอย่างรวดเร็ว บางชาติเธอจะนั่งดู แต่ชาตินี้ไม่ เธอฝืนลุกขึ้นแล้วเดินโซซัดโซเซไปปิดมัน ห้องกลับคืนสู่ความมืดอีกครั้ง

การตระหนักรู้ทั้งหมดทำให้สมองเธอมึนชา สาเหตุเนื่องมาจากรูปแบบเฉพาะได้เข้าแทนที่ว่างรวดเร็วเกินไป และมันก็ไม่ได้ไหลเข้ามาจากข้างนอก หากแตกโพละออกจากกระเปาะแล้ววางตัวมันลงประหนึ่งสัตว์ยักษ์ ยึดครอง ภายหลังการปรับสภาพที่ใช้เวลานานพอตัว เธออันจริงแท้ได้สวมร่างกายอย่างแนบสนิท ความหนักอึ้งในกายปลาสนาการไปสิ้น เธอพับแขนแล้วยืดออกซ้ำๆ เพื่อให้แน่ใจว่าประสาททั่วร่างของเธอกลับมาทำงานประสานกันอย่างดี “รู้แล้ว” เธอพูดพลางมองดูแววตาของตัวเองในกระจก ที่ผ่านมาเป็นเพียงการฆ่าเวลาและเป็นความเข้าใจผิดไปเองว่าตนเองไม่เป็นใครหรือว่าอะไรอื่น คล้ายคนความจำเสื่อมด้วยอุบัติเหตุ “แต่ฉันหายดีแล้ว” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจยิ่งขึ้น

ประสบการณ์อันสุดพิสดารหาได้ทำให้เธอตระหนก ตรงข้ามมันทำให้เธอรู้สึกปลอดโปร่งเพราะในที่สุดเธอก็รู้เสียทีว่าภาพที่ผุดวาบขึ้นมาในหัวเธอเหมือนแสงแฟลชทุกครั้งที่เธอสร้างสัญญาณเสียงด้วยการเป่าคืออะไรกันแน่ ปรากฏการณ์ดังกล่าวตามหลอกหลอนเธอมาเป็นเวลากว่าหกเดือนนับตั้งแต่ที่เธอเริ่มออกไปร่วมขบวนกับพวกเขา – ผู้ที่บางคนก็คือเธอเองในชาติอื่น – จากแรงขับของคำอย่างเช่น ‘ความถูกต้อง’ ‘ความโปร่งใส’ ‘อุดมการณ์’ และ ‘ความดีงาม’ ความตั้งใจแรกของเธอคือไปสังเกตการณ์หรืออาจร่วมร้องแรกแหกกระเชอบ้างเท่านั้น ทว่าด้วยบรรยากาศที่คึกคักราวกับงานรื่นเริงก็ได้เร้าให้เธอกับแฟนหนุ่มหัวขบถเกิดคะนองจนต้องซื้ออุปกรณ์ประท้วงมาแขวนคอด้วย และเมื่อเธอเป่า กระบวนการแห่งการระลึกชาติก็เริ่มต้น หลังจากนั้นไม่เคยมีวันใดเลยที่เธอไม่เป่ามัน ไม่ใช่เพื่อประท้วงอย่างที่ใครเข้าใจ หากเพื่อสุ่มเปิดบางส่วนของภาพปริศนาที่เธอไม่รู้จักซึ่งยิ่งทำก็ยิ่งสร้างความงุนงง

พอนึกถึงตัวเองในช่วงก่อนหน้า ร่างกายของเธอก็สั่นระริกอย่างสุดจะห้ามได้ เธอไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองที่ขาดการควบคุมโดยอำนาจกำหนดเหนือจะบิดเบี้ยวไปได้ถึงเพียงนั้น ทั้งกักขฬะหยาบคาย กิริยามารยาทไม่เรียบร้อย คุณสมบัติความเป็นผู้ดีก็ไม่มีสักกระผีก เธอเคยเล่นบทผู้หญิงที่ไม่รู้จักสำรวมปากคำ ไม่สนใจว่าเด็กหรือแก่ ขอเพียงแต่เอ่ยคำไม่เข้าหู เธอจะยกเอาวาทะของนักคิด ผู้ปกครอง หรือพระมาคัดง้างด้วยน้ำเสียงที่ทำให้คู่สนทนาอดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองโง่เง่า ตัวตนก่อนหน้าทำให้เธอรู้สึกสมเพชเวทนา ส่วนรสนิยมที่ต่ำทรามก็ทำให้เธอสะอิดสะเอียน ทั้งสารรูป (ใบหน้าที่ไม่เคยขาดเครื่องสำอาง ผมสีเหมือนลูกกวาด) การแต่งตัว (ที่มักจะเป็นเสื้อผ้าน้อยชิ้นไม่ก็กางเกงยีนส์ขาดๆ รวมถึงสร้อย/แหวนเงิน/ตุ้มหูอันรกรุงรัง) กลุ่มเพื่อนที่เธอเลือกคบและแฟนหนุ่ม (ทั้งหมดล้วนเป็นพวกคลั่งในความเชื่อ) ไม่มีอะไรจะเลวร้ายไปกว่าแฟนหนุ่ม พอนึกถึงรสสัมผัสอันสากกระด้าง หนวดเคราและกลิ่นบุหรี่ที่ยังค้างในความทรงจำ เธอก็เผ่นแผล็วเข้าไปในห้องน้ำก่อนสำรอกเอาทุกอย่างที่เธอเคยมีออกมาจนหมดไส้หมดพุง

เธอสลัดชุดนอนที่สวมใส่ทิ้งด้วยอาการลุกลน แกะตุ้มหู ถอดแหวน แล้วเสือกร่างกายเข้าไปรองสายน้ำที่ทะลักออกมาจากฝักบัว ให้มันชำแรกเข้าไปในทุกๆ ซอกมุมก่อนจะออกแรงขัดอย่างบ้าคลั่งทั้งที่ไม่มีคราบเปื้อนใดๆ บนผิว ถูแรงๆ กระทั่งร่างกายช้ำเป็นจ้ำแดงจึงพอใจ เธอสระผมสองรอบแม้รู้ว่ามันไม่ช่วยให้สีชมพูเหมือนขนมสายไหมหลุดลอก (คงต้องไปแก้ไขที่ร้านทำผมทีหลัง) สุดท้ายเมื่อไม่เหลืออะไรให้ทำอีก เธอก็เพียงยืนนิ่งให้น้ำปะทะกาย ขณะที่สมองใคร่ครวญเรื่องกระบวนการของการกลับชาติมาเกิด

การกลับชาติมาเกิดที่แท้ต่างจากที่คนส่วนใหญ่เข้าใจคนละโยชน์ มันไม่ใช่การหมุนเวียนกลับสู่ร่างกายของจิตวิญญาณบนกระแสเวลาที่ไหลไปข้างหน้า หากเป็นการเกิดซ้ำของรูปแบบทั้งชุดของชีวิตหนึ่งๆ โดยไม่มีพื้นที่หรือเวลามาเกี่ยวข้อง ผลก็คือ หนึ่ง เมื่อชาติหนึ่งสูญสิ้น ชีวิตจะถูกหอบกลับมาเกิดใหม่ ณ จุดใดก็ได้ของประวัติศาสตร์โดยไม่สนใจว่ามันจะเป็นช่วงเวลาก่อนหน้าชาติที่ผ่านมาหรือว่าช่วงเวลาดังกล่าวจะมีชีวิตชาติอื่นอาศัยอยู่ด้วยหรือไม่ และสอง เมื่อชีวิตได้กลับมาเกิดใหม่ เราสามารถแน่ใจได้ทันทีว่าทุกๆ เรื่องที่จะเกิดขึ้นกับเขา/เธอจะเป็นไปตามรูปแบบ ไม่เปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน

เธอเลือกเสื้อผ้าที่มิดชิดและดูสุภาพที่สุดเท่าที่มีในตู้มาสวมใส่ ก่อนจะสำรวมจิตใจอันพลุ่งพล่านแล้วเดินลงบันไดมายังชั้นล่าง พ่อของเธอเห็นเธอก่อน เขาตกใจจนพูดได้เพียงคำว่า “ลูกพ่อ” ส่วนแม่ของเธอที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น เมื่อได้ยินเสียงสามีก็เผลอร้องออกมาด้วยความแปลกใจ “แม่นั่นรู้จักลงมาจากห้องด้วยหรือ” แต่พอได้เห็นรูปลักษณ์ใหม่ของลูกสาว เธอเองก็กลายเป็นใบ้ไปเช่นเดียวกัน น้ำตาของทั้งสามคนย้อยหยาดจากเบ้าตา ความไม่ลงรอยที่มีมายาวนานถูกปัดเป่าให้สลายไปโดยไม่ต้องใช้วาจาทำความเข้าใจ ผู้เป็นพ่อเพียงถามคำถามเดียวว่า “ลูกเห็นทุกอย่างแล้วใช่ไหม” ผู้เป็นลูกตอบว่า “ใช่”

รูปแบบที่กลับมาเกิดเป็นเช่นนี้เสมอ: เธอมีพ่อแม่ – ที่กลับชาติมาเกิด – ซึ่งอายุเท่ากันหรือไล่เลี่ย ทั้งคู่จะเป็นลูกหลานในตระกูลที่มีหน้ามีตามาแต่รุ่นปู่ย่า คนใดคนหนึ่งจะมีเชื้อสายจีนเสมอและคนใดคนหนึ่งจะรับราชการ เช่นในชาตินี้พ่อของเธอเป็นตำรวจ ส่วนแม่ของเธอเป็นลูกสาวคนที่สามของเจ้าสัว K ประธานคณะผู้บริหารของกลุ่มธุรกิจใหญ่ในประเทศ อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขที่สำคัญที่สุดก็คือเธอจะมีชีวิตอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านในหน้าประวัติศาสตร์สมัยใหม่เสมอ เธอจะเริ่มต้นด้วยชีวิตที่ไม่น่าพิสมัยนัก คบกับแฟนหนุ่มผู้ฝักใฝ่การเมืองคนหนึ่งเพื่อจะเลิกกันภายหลังการระลึกชาติ หลังจากนั้นเมื่อสำเร็จการศึกษา เธอจะเข้าทำงานในหน่วยงานราชการสักหน่วยงานหนึ่ง ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมีครอบครัวที่เพียบพร้อมของตัวเอง มีชีวิตที่เปี่ยมสุขจวบถึงวันที่ต้องจากไปอย่างสงบในบั้นปลาย

หากถามว่าการระลึกชาตินำอะไรมาสู่เธอบ้าง คำตอบก็คือ ‘ความเข้ารูปเข้ารอย’ ก่อนการระลึกชาติจะเกิดขึ้น ไม่เคยมีสักวันที่เธอไม่ทะเลาะกับพ่อแม่เรื่องพฤติกรรมและทัศนคติอันเหลือรับ การระลึกชาติทำให้เธอตระหนักถึงลักษณะอันดีงามซึ่งเป็นแก่นแท้ของตนเองหากหลับใหลอยู่โดยไม่ต้องผ่านประสบการณ์ แล้วก็ไม่ใช่แค่ตัวตนของเธอเท่านั้นที่ถูกการระลึกชาติดัดเปลี่ยน แต่ความเป็นไปรอบๆ ตัวเธอก็เช่นกัน ทุกเรื่องทุกอย่างล้วนหันเหทิศทางเพื่อมุ่งตรงไปที่จุดเดียวนั่นคือที่ตั้งของความราบรื่น ธุรกิจครอบครัวที่อยู่ในภาวะไม่สู้ดีมาตั้งแต่มีการประท้วง ค่อยๆ คลี่คลายไปเอง บริษัทของแม่ได้มีส่วนร่วมในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล ขณะที่ตำแหน่งของพ่อก็กำลังจะเลื่อนขึ้นเพราะเพื่อนสนิทของพ่อผู้มียศสูงกว่ากำลังจะผูกคอตายทิ้งเก้าอี้ของตัวเองไว้ให้แก่พ่อ สำหรับตัวเธอ แม้จะไม่ใช่เรื่องจริงจังเท่า แต่เธอก็พึงพอใจที่จากนี้จะไม่ต้องติดแหง็กอยู่ในรถเป็นชั่วโมงๆ เมื่อต้องไปมหาวิทยาลัยอีก ทุกอย่างล้วนดี

ถ้าจะมีอะไรที่ยังเป็นปัญหากวนใจ ก็คงเป็นเรื่องแฟนหนุ่มของเธอ เขายังคงวุ่นวายกับเธอไม่เลิก แม้เธอจะขอเขาดีๆ ว่าเธอต้องการช่วงเวลาสำหรับการใคร่ครวญ พร้อมกับอธิบายมโนทัศน์ของการกลับชาติมาเกิดให้เขาฟังอย่างอดทน แต่เขาไม่อาจเข้าใจได้ว่าเธอไม่ใช่เด็กสาวคนเดียวกับที่เดินจับมือไปไหนมาไหนกับเขา (ทีทฤษฎีทางสังคมที่ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งยังน่าปวดหัว เขากลับเข้าใจได้ง่ายๆ แต่ก็อย่างว่า ถ้าเขาสามารถเข้าใจเรื่องนี้ เขาคงระลึกชาติได้ไปแล้ว) เธออยากสะบั้นความสัมพันธ์ให้มันเด็ดขาด อยากเลิกกับเขาไปเลย พูดออกไปอย่างชัดเจนว่าเธอไม่เหลือเยื่อใยให้เขาแล้ว แต่ก็ทำไม่ได้เนื่องด้วยวาระของมันยังมาไม่ถึง เธอถูกกำหนดว่าช่วงนี้สามารถแสดงออกได้แต่เพียงพฤติกรรมเท่านั้น เธอจึงทำด้วยการทิ้งระยะห่าง ไม่ยอมพบหน้า ไม่รับสายหรือตอบข้อความ แต่ผลลัพธ์ (ซึ่งเธอรู้อยู่แก่ใจ) ก็มีแต่จะเป็นไปในทางตรงข้าม เนื่องด้วยในสายตาของเขาจะมองพฤติกรรมของเธอเป็นการเรียกร้องความรักความสนใจ และทำให้เขามีมานะในการกระหน่ำโทรหาถี่ขึ้นเป็นวันละเป็นสิบๆ สาย กระทั่งนำเธอไปยังข้ออ้างสุดท้ายที่แม้แต่เธอเองก็เชื่อไม่ลง นั่นคือโทรศัพท์มือถือเสีย ก่อนจะเปลี่ยนเอาโทรศัพท์เครื่องใหม่มาใช้

เขาช่างพยายาม นั่นแหละที่น่าสมเพชที่สุด ในเมื่อความพยายามไม่มีความหมายอะไรเลย มันเป็นไปไม่ได้ อำนาจเหนือ – หรือที่พอจะอะลุ้มอล่วยให้เรียกว่าชะตากรรม – กำหนดทุกอย่างไว้แล้ว เขาไม่ใช่คู่แท้ของเธอ เธอมีเนื้อคู่อยู่แล้ว เนื้อคู่ที่เกิดมาพร้อมเธอเสมอตามลิขิต บางครั้งอยู่ใกล้ชิด บางครั้งอยู่ห่างไกล แต่เมื่อไหร่ที่คนหนึ่งมีประสบการณ์ระลึกชาติ อีกคนก็จะระลึกชาติได้ตามไปด้วย สัมผัสเหนือธรรมชาติจะบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน เพื่อพวกเขาจะได้ออกตามหากันและกัน การได้ครองคู่เป็นข้อกำหนดสำคัญที่ต้องบรรลุเสียก่อน ชีวิตของทั้งคู่จึงจะขยับไปสู่รูปแบบอันแสนสุขอย่างสมบูรณ์

เหมือนกันกับเธอ เนื้อคู่ของเธอมีชาติของเขาที่ถูกหอบมาอุบัติ พ่อแม่ของเขาอายุห่างกันหนึ่งปี ฝ่ายพ่อเป็นบุคคลทรงอิทธิพล ส่วนฝ่ายแม่สืบเชื้อสายมาจากเจ้าขุนมูลนาย ครั้งนี้พ่อของเขาเป็นเศรษฐีที่ดินผู้ยิ่งใหญ่ในภาคเหนือ ผู้โด่งดังและมีคำกำกับหน้าชื่อว่า ‘พ่อเลี้ยง’ ส่วนแม่สืบสายเลือดมาจากตระกูลเจ้าทางเหนือ ด้วยความที่เป็นลูกคนเดียว เขาจึงได้เรียนรู้งานต่างๆ ในไร่มาแต่เล็ก และแม้ว่าตอนนี้เขาจะยังไม่จบปริญญาตรีแต่เขาก็พร้อมที่จะโอบเอาหน้าที่บริหารกิจการต่างๆ ในไร่มาไว้ในความรับผิดชอบแล้ว เขาจึงมีกิจธุระเต็มตารางและค่อนข้างลำบากหากต้องจัดสรรเวลาลงมาหาเธอยังกรุงเทพฯ เธอเข้าใจในความจำเป็นนี้ของเขา หรือจะพูดให้ถูกคือพวกเธอเข้าใจกันและกันอย่างปรุโปร่งเพราะทันทีที่ระลึกชาติได้ความคิดจิตใจของทั้งสองคนก็เชื่อมต่อกัน ทำให้พวกเขาไม่เพียงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับอีกฝ่าย หากยังรู้ไปถึงขั้นที่ว่าคนรักของตนกำลังรู้สึกอย่างไร (นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าใจส่งถึงกัน) ตอนแรกเธอคิดว่าไม่เป็นไร เธอรอได้ แต่ไม่ถึงสามสัปดาห์ด้วยซ้ำ แรงปรารถนาที่รุนแรงจนแทบทำให้วิปลาสก็บีบคั้นเธอเกือบขาดใจ เธอตัวสั่นเมื่อคิดถึงเขา นี่แหละนะความรัก เธอนึกในใจ มันทำให้เธอไม่อาจกินและไม่อาจนอน ไม่สามารถทำสิ่งใดอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ได้แต่นอนกระวนกระวายเหมือนคนคลุ้มคลั่ง อย่าว่าแต่กิจวัตรประจำวัน แค่หายใจเธอยังทำได้อย่างยากลำบาก

“ลูกชายของพ่อเลี้ยง X” พ่อของเธอโพล่งอย่างตื่นเต้นจนล้นเกิน (ซึ่งพอมองผ่านสายตา เราจะตีความว่านั่นคือผลของความตึงเครียดที่สะสมมาตั้งแต่เริ่มเห็นอาการไม่สู้ดีของลูกสาว ทว่าที่จริงเขาเพียงแค่แสดงได้ไม่เป็นธรรมชาติเช่นนี้ทุกๆ ครั้งที่ต้องแสดง และแม้หลังๆ เขาจะเริ่มรู้ตัวแต่ความรู้สึกว่ามันไม่สลักสำคัญก็ทำให้เขาไม่เคยคิดปรับปรุง) ขณะที่ผู้เป็นลูกสาว (ไม่สนหรอกว่าพ่อเธอจะดูเป็นธรรมชาติหรือไม่) ร้องครวญครางปานกำลังจะขาดใจว่าเธอต้องรีบไปหาเขาให้เร็วที่สุด แม่ของเธอ (นึกหน่ายในความไม่เป็นธรรมชาตินั้นอยู่ในใจ) สนับสนุนเต็มที่ก่อนจะบอกสามีว่า “คุณคงจำได้ว่ามันทรมานแค่ไหนตอนที่มันเกิดกับเราสองคน” ใบหน้าพ่อมีรอยยิ้ม แต่ก็วูบเดียว

“ลูกพ่อ ถ้าลูกอยากไปหาเขาตอนนี้ พ่อกับแม่พาลูกไปไม่ได้ ช่วงเวลานี้พ่อกับแม่ต้องอยู่ต่างประเทศ เพื่อนของพ่อกำลังจะผูกคอตายในไม่ช้า เราต้องรีบ”

“หนูรู้ค่ะ” เธอบอก “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย และทุกครั้งก็ไม่ใช่พ่อกับแม่ที่พาหนูไป หนูเพียงแต่ต้องขออนุญาต”
พ่อแม่ของเธอน้ำตาไหลอีกครั้ง

มันไม่ใช่แค่เรื่องการขออนุญาตเสียทีเดียว หากยังเป็นเรื่องของการได้แสดงออกซึ่งการประท้วงอย่างนุ่มนวลที่สุด ประท้วงชะตาลิขิต ไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เธอรู้แน่แก่ใจว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เพื่อที่ความไม่พอใจจะถูกแสดงออกสักครั้งมันจะได้มีอยู่ในสารบบ (ซึ่งนั่นก็เป็นเจตจำนงของชาติ เจตจำนงเพื่อความสมบูรณ์แบบ) เธอรู้ว่าใครคือคนที่จะพาเธอไปพบเนื้อคู่ แฟนหนุ่มหัวขบถของเธอนั่นเอง นี่คือภารกิจสำคัญที่ต้องทำร่วมกันครั้งสุดท้าย และอย่างกับเรื่องตลก ช่วงเวลาที่เธอเฝ้ารออยู่หลังภารกิจนี้ ช่วงเวลาที่จะได้สะบั้นพันธะนี้ทิ้งเสีย การได้มาทั้งชุดทำให้เธอไม่อาจเลือกว่าจะเอาหรือไม่เอาอะไรได้ รวมถึงการไม่ประท้วงก็ไม่ใช่สิ่งที่มีให้เลือก ที่เธอทำนั้นเพียงพอแล้วที่จะเรียกเป็นการขัดขืน แต่ก็เป็นการขัดขืนในขอบเขตและเวลาที่ยินยอมให้ทำได้ เมื่อได้ประท้วง จากนี้เธอจะไม่มีความคับข้องอีก เราอาจกังขาว่าเธอจะทำเช่นนั้นง่ายๆ ได้อย่างไรกัน แต่นี่เป็นอีกเรื่องที่คนที่ระลึกชาติได้น่าอิจฉา เธอทำได้แทบจะในทันที เพราะเธอรู้ว่าเธอต้องทำอะไรด้วยความคิดแบบไหนแต่แรก ที่เหลือก็แค่ทำให้เหมือน

เธอค่อยๆ เอื้อมมือที่ (ทำท่า) ไร้เรี่ยวแรงไปหยิบโทรศัพท์เครื่องเก่าบนหัวเตียง กดเปิดเครื่อง

ทันทีที่วางสาย แม้จะดีใจจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ แต่เขาก็รู้สึกว่ามันออกจะเหลือเชื่อที่จู่ๆ เธอกลับโทรมาเอง ขอโทษขอโพย บอกว่าเธอผิดไปแล้ว และมันก็ยิ่งน่าสงสัย เพราะเธอไม่ได้พูดถึงการกลับชาติมาเกิดเลยแม้แต่คำเดียวราวกับมันเป็นแค่เรื่องเพ้อเจ้อสำหรับอำกันก่อนนำเค้กวันเกิดที่ซ่อนไว้ออกมา เขารู้แล้วว่าเรื่องที่เธอเคยพยายามกล่อมให้เขาเชื่อนั้นเป็นความจริงเพราะในช่วงเวลาที่ประตูบานเดียวซึ่งเชื่อมพวกเขาไว้ถูกปิดตาย เขาไม่ได้อยู่เฉยๆ และเอาแต่กดโทรศัพท์โทรหาเธอเพื่อฟังเสียงที่ถูกบันทึกไว้ ปัญหาร้อยแปดพันเก้าได้ประเดประดังเข้าใส่เขา ดังนั้นต่อให้เขาอยากนอนทอดอาลัยอยู่บนเตียงเน่าๆ ในหอพักราคาถูก ร้องไห้ เขาก็ไม่อาจทำได้

เขาจำทุกคำพูดของเธอในวันนั้นได้ดี เหมือนกับที่เขาจำทุกอย่างเกี่ยวกับเธอได้ดีเสมอ ประโยคแรกที่เธอพูด วันเกิดของเธอ หนังเรื่องโปรด หรือว่าเพลงที่ชอบ วันนั้นมันควรจะเป็นวันแห่งชัยชนะของความมุ่งมั่นอันไม่ลดละตลอดระยะเวลาหลายเดือน ควรเป็นวันของความยินดี และควรมีการฉลองด้วยเบียร์สักขวดสองขวดในตอนกลางคืน เขาเชื่อว่าเธอรู้ข่าวใหญ่นั้นแล้ว แต่เพราะอารมณ์พลุ่งพล่านเกินระงับ เขาจึงอยากแบ่งปันมันกับใครสักคนและเธอคือคนคนนั้น เขาตั้งใจจะคุยเรื่องความสำเร็จโดยหวังเพียงได้ยินถ้อยคำที่ทำให้รู้สึกภูมิใจสักประโยคก็พอ แล้วค่อยเปลี่ยนไปคุยเรื่องสัพเพเหระเช่นกินข้าวหรือยัง อ่านหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้ถึงไหนแล้ว หรืออะไรทำนองนี้ แรงเขย่าของความสาใจภายในมันรุนแรงจนทำให้เขาไม่ฉุกใจคิดเรื่องที่เธอกดตัดสายเขาไปถึงเก้าครั้ง หลังจากพรั่งพรูความปิติยินดีเสียหนำใจเธอซึ่งเงียบมาตลอดก็บอกเขา “ฉันมีเรื่องสำคัญต้องตัดสินใจ อย่าเพิ่งโทรมาหาฉันในตอนนี้เลย”

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาเป็นเรื่องปกติในทางจิตวิทยา เมื่อมโนสำนึกตระหนักว่าบางอย่างในตัวเธอได้เปลี่ยนแปลงไป ทั้งจากน้ำเสียง จังหวะการพูด ชุดถ้อยคำที่นำมาใช้ ซึ่งล้วนบอกใบ้ถึงอนาคตของการสูญเสีย กลไกการป้องกันตัวเองด้วยการปฏิเสธความจริงจึงทำงานฉับพลัน เธอเปลี่ยนแปลงรวดเร็วจนเขาเชื่อไม่ลงว่าระหว่างเขาและเธอมีความไม่ลงรอยเกิดขึ้น ซึ่งนำเขาไปสู่ข้อสรุปที่ว่าเธออาจแค่เรียกร้องความสนใจ เขารู้สึกหน่ายตามประสาผู้ชายที่นึกว่าตนเหนือกว่า ไม่โทรก็ไม่โทร เขาไม่เห็นความจำเป็นต้องง้อ สักวันสองวันเธอคงหายขุ่นเคืองและโทรมาเอง เขาคิดเช่นนั้น เหตุการณ์แบบนั้นไม่เกิดขึ้น

เขาต้องโทรหาไม่ต่ำกว่าร้อยสายกว่าเธอจะยอมรับสายจากเขาอีกครั้ง เธอใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง แต่จะไม้ไหนก็ไม่เข้าหูเขาเลย (เป็นอย่างนี้ทุกครั้งสิน่า) เธอจึงพูดความจริง “ระลึกชาติ” เธอว่า “ฉันไม่ใช่คนเดียวกับที่ฉันเคยเป็น”
มันช่างเป็นคำตอบที่เพ้อเจ้อและน่าขำ แต่ก็เพราะอย่างนั้นเขาถึงรู้สึกปวดร้าวจนน้ำตาแทบเอ่อ เขาถามเธอด้วยเสียงสั่นว่าเพื่อเลิกกับเขา เธอถึงกับต้องอ้างอะไรเพ้อเจ้อแบบนั้นเลยหรือ เธอถอนหายใจ บอก (อย่างที่บอกเสมอ) “ไม่ใช่ มันไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ ฉันมีเรื่องที่ต้องคิดจริงๆ และฉันก็ไม่ได้อยากเลิกกับเธอ”

ไม่ได้อยากเลิก เขาไม่คิดแบบนั้น คนคนหนึ่งคงไม่หยิบเรื่องไร้สาระมาเป็นเหตุผลถ้าไม่ได้ต้องการบอกลา เมื่อเขาไม่เชื่อเธอตั้งแต่แรก ความพยายามที่จะอธิบายกลไกของการกลับชาติมาเกิดจึงเป็นเพียงการดิ้นรนของคนอับจนปัญญาในสายตาเขา และแล้วเมื่อเธอไม่อาจทนการราวีของเขาได้อีกต่อไป เธอก็ปิดโทรศัพท์

จากระยะปฏิเสธ เขาเข้าสู่ระยะโกรธ หมดหนทางติดต่อเธอ จะไปหาที่บ้านก็ไม่ได้เพราะพ่อแม่ของเธอไม่ยอมให้เขาได้พบเธอแน่ ที่ทำได้จึงมีแต่นอนจมปลักอยู่กับความเศร้าตรมและไม่เข้าใจ ครวญครางเหมือนคนเป็นไข้ มองหาสาเหตุของปัญหาซึ่งเขาไม่มีวันเจอ เท่าที่เขานึกได้ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเขามีเรื่องผิดใจกับเธอเพียงสองเรื่อง หนึ่งคือเรื่องที่เขากลับบ้านไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง แต่เรื่องนั้นมันคุยกันจบไปแล้ว และสองคือเรื่องที่เขาตำหนิเธอว่าคลั่งการประท้วงจนขึ้นสมอง เพราะเธอเอาแต่เป่านกหวีดแม้แต่ตอนที่อยู่ในหอพักหรือในห้องน้ำของห้างสรรพสินค้า แต่เธอก็ไม่มีทีท่าว่าโกรธสักหน่อย เธอยังพูดติดตลกด้วยซ้ำว่า “เป่าแล้วฉันมองเห็นอนาคต” ถ้าอย่างนั้นมันเป็นเพราะอะไรกัน เขาคิดเค้นสมองอย่างหนักแต่ก็ไม่พบอะไรที่พอจับต้องได้

ใจเขาก็อยากจะนอนต่อไปเรื่อยๆ สูบบุหรี่มวนต่อมวน ไม่กินข้าวกินปลา แต่สถานภาพของเขาไม่เปิดโอกาสให้ทำอย่างนั้นได้นาน เช้าวันรุ่งขึ้นเจ้าของร้านอาหารโทรหาเขาเพื่อถามถึงสาเหตุที่เขาขาดงานโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ด้วยกลัวแหล่งรายได้เดียวจะหายไป เขาจึงโกหกไปว่าไม่สบายและขอลาต่ออีกสองสามวัน ลูกพี่ไม่ปรานีเขา ลูกพี่พ่นคำหยาบออกมาเป็นชุดก่อนจะยื่นคำขาด อย่างมากก็อีกแค่วันเดียว มากกว่านั้นมึงถูกไล่ออก แวบแรก เขาคิดจะตะคอกสวน เอาให้อีกฝ่ายรู้เสียบ้างว่าเขาไม่ใช่คนที่จะมาข่มเหงได้ง่ายๆ และมันก็คงเท่ไม่เบา แต่แล้วพอคิดถึงค่าแรงคืนละสามร้อยที่หายวับไปพร้อมปลายเสียง ความฝันเฟื่องซึ่งเพิ่งผลิบานก็ฝ่อเหี่ยว และทำให้เขาได้แต่รับปาก ความสมเพชตัวเองเจิ่งนองในอก ก่อนจะท่วมล้นเมื่อในคืนวันเดียวกันแม่ของเขาได้โทรมา โดยไม่แปลกใจนัก เขาได้พบกับบทสนทนาน่าสมเพชเดิมๆ ซึ่งถูกพูดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน มันคือบทสนทนาที่สมควรจะถูกความเปลี่ยนแปลงในสังคมทำให้เนื้อหาเปลี่ยนไป แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งเรื่องราคายางพาราที่ควรขึ้นแต่ก็ยังไม่ขึ้น ความใส่ใจจากนักปกครองผู้ที่พวกเขาพาเข้าไปนั่งในสภาอันยังมาไม่ถึง และเรื่องลูกชายที่ควรจะเรียนจบ มีงานการดีๆ ทำ แต่ก็ยังคงเรียนไม่จบเสียที หลังจากรำพึงรำพันคนเดียวอยู่ราวสิบนาที จู่ๆ แม่ของเขาก็เหมือนนึกได้ว่าควรถามคำถามไหนมากที่สุด โหมนั้นอีช่วยเราม้าย แม่ถาม เขาซุกซ่อนความไม่มั่นใจจนมิดชิดก่อนจะตอบ ความช่วยเหลือหมันต้องมาถึงโหมที่รอได้ ศรัทธาต่ะแม่

ความเศร้าพลันคลายไปเกือบหมด หลังจากคิดสะระตะเขาพบว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์จะนอนต่อไปแม้สักนาทีเดียว เขาต้องเตรียมตัวไปทำงานและต้องคิดเรื่องที่เขาหลงลืมไป เขานึกสมเพชตัวเองอย่างเลวร้าย เมื่อเป็นเขาแค่จะเศร้าให้เต็มที่ยังทำไม่ได้

คล้ายอาการหูหนวกชั่วคราวได้ทุเลา เขาพบว่าระหว่างที่เขาไล่ตามเธอ เขาตกข่าวหลายเรื่องทั้งที่ก่อนหน้านี้ทุกๆ ความเคลื่อนไหวทางการเมืองเขาไม่เคยรู้หลังคนอื่น ความงมงายในรักทำให้คนหลงหายไปจากโลก มีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นมากมาย ทั้งการควบคุมตัวคนจำนวนมาก ทั้งหมวดนิรโทษกรรมในร่างธรรมนูญ ทั้งลักษณะอันไร้ซึ่งความใส่ใจกับความจริงใจในการตอบคำถามเรื่องการช่วยเหลือ ทั้งเหล่าคณะทำงานที่ไม่น่าไว้ใจ แสนแปลก เรื่องพวกนี้มันไม่น่าจะเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาแบกรับความคาดหวังของผู้คนส่วนมากของประเทศเอาไว้ คนเหล่านั้นคงไม่ได้ลืม เขาเชื่อ แต่อาจจะแค่เป๋ไปเพราะข้อเรียกร้องจากทุกทาง ซึ่งไม่มีทางเมินเฉยได้แม้ใจต้องการก็ตาม ฉะนั้นตัวเขาต้องทำสิ่งที่เคยทำมาเสมอ ต้องเรียกประชุมกลุ่มกิจกรรมที่เขากับเพื่อนๆ ร่วมกันตั้งขึ้นในมหาวิทยาลัย ร่างแถลงการณ์เพื่อสนับสนุน เสนอข้อแนะนำ ย้ำสถานภาพ และตั้งเงื่อนไข เพื่อเตือนให้รู้ว่าพวกเขากำลังเฝ้าดูอยู่

แต่แผนของเขาก็พังครืนในเวลาชั่วอึดใจ ประกาศประชุมที่ถูกส่งออกไปได้รับแต่คำปฏิเสธ สิ่งที่ทำให้เขาตระหนกไม่ใช่ความล้มเหลวหากเป็นสาเหตุของการตัดสินใจที่เพื่อนของเขาบางคนบอก “ระลึกชาติ” พวกเขาว่า “เรารู้หมดแล้วว่าอะไรที่เราต้องทำบ้างและเมื่อไหร่ เรื่องที่มึงบอกไม่ใช่หนึ่งในนั้น” กลายเป็นว่าไม่ใช่แค่เธอที่ระลึกชาติได้ เขาโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่ได้รู้ว่านี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เรื่องไร้สาระนี้กลายมาเป็นสาเหตุ แต่หลังจากที่ส่วนของการใช้เหตุผลกลับมาทำงานตามเดิม พิจารณาความสอดคล้องและโอกาสความน่าจะเป็น การที่มีคนพูดเหมือนกันจำนวนมากก็ทำให้เรื่องนี้ดูจะมีมูล มันยากเกินไปหากจะทำให้คนจำนวนมากพร้อมใจกันเพ้อเจ้อ เว้นแต่มันจะเกิดขึ้นจริง ท้ายที่สุด เขาก็ค้างเติ่งอยู่ระหว่างความไม่พร้อมที่จะจัดระเบียบความเข้าใจใหม่กับความกลัวว่าสาเหตุแท้จริงคือเพื่อนๆ ไม่ต้องการให้เขารู้สึกล้มเหลว เขาจึงตัดสินใจที่จะทำให้มันเด็ดขาด ด้วยการไปหาเพื่อนสนิทคนที่คลุกคลีอยู่กับเขามานับตั้งแต่ปีแรกในมหาวิทยาลัย ผ่านประสบการณ์กิน เที่ยว และทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยกันมามากมายกระทั่งรู้ใจกัน เพื่อนประเภทที่ในชีวิตหนึ่งจะได้พบสักคน เพื่อขอคำยืนยันว่าความอัศจรรย์นั้นหาได้เป็นเรื่องเพ้อฝัน

เขาเริ่มต้นโดยยกเรื่องการประชุมมาพูดอีกครั้งแม้รู้ว่าคำตอบจะไม่เปลี่ยน รู้สึกขัดใจอยู่บ้างที่จู่ๆ ตัวเองก็กลายเป็นคนอ้อมค้อม พูดติดๆ ขัดๆ แต่มันก็เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างได้เปลี่ยนไป ไม่ใช่เปลี่ยนเพียงอีกฝ่าย หากแต่ตัวเขาเองก็ด้วย เรื่องที่พอจะพูดคุยได้หมดไปทีละเรื่องๆ จนในที่สุดก็ถึงเวลาที่ต้องถาม เรื่องระลึกชาติอะไรนั่นมันจริงรึเปล่า เพื่อนของเขาพยักหน้าอย่างขอไปที ราวกับไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้ ไม่ก็ไม่อยากจะพูดคุยกับเขาอีก แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว คำถามใหม่ๆ ผุดขึ้นในหัว ขณะที่คำถามเก่าๆ ได้รับคำตอบ หากรูปแบบของชีวิตทั้งหมดถูกยกกลับมาเกิดซ้ำ อย่างนั้นเขาเป็นใคร เหตุใดระลึกชาติไม่ได้ มันต้องมีคำตอบอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แต่เขาไม่แน่ใจว่ามันจะอยู่ในอาณาบริเวณที่เขาสามารถเข้าไป

ปัญหารุมเร้าเขาสาหัส บีบให้เขาต้องคิดหาทางรับมือตลอดเวลาจนเรื่องของเธอแทบจะตกหายไปจากสมอง ปัญหาเหล่านั้นมันเหมือนเขาวงกตที่เส้นทางทอดยาวไปเรื่อยๆ พอถึงจุดหนึ่งที่ความหวังแห้งขอด เขาจึงไม่อาจหลอกตัวเองได้อีก แม่โทรมาหาเขาอยู่เรื่อยๆ คร่ำครวญถึงความเหนื่อยยากให้เขาฟังซ้ำๆ เย็นวันหนึ่งเขาจึงร้องไห้ ไม่ใช่เพราะสงสารแม่ แต่เพราะแม่เองก็คือความบีบคั้น ในครั้งล่าสุดที่แม่โทรมา แม่บอกอ้อมๆ ให้เขากลับบ้าน เขาตอบตกลงไปด้วยความอ่อนแอตั้งแต่ที่แม่ยังพูดไม่จบประโยค แม่ของเขาดีใจ เขาดีใจชั่วครู่ก่อนจะตระหนักว่าตัวเองไม่มีอะไรต้องดีใจ และมันก็ไม่ใช่การตัดสินใจด้วยการคิด แต่จะถอนคำพูดก็ไม่ทันเสียแล้ว

คุณอาจสงสัยว่าเขาหมดรักเธอแล้วอย่างนั้นหรือ ทำไมถึงง่ายดาย แต่สัจธรรมก็คือมันเป็นเรื่องยากที่จะโอบอุ้มความรักข้างเดียวเอาไว้ทั้งที่กำลังลำบาก ยิ่งเมื่อไม่มีปฏิสัมพันธ์ทางประสาทสัมผัสกับอีกฝ่ายก็ยิ่งแล้วใหญ่ นอกจากนี้ระยะหลังที่เขาต้องอดมื้อกินมื้อ เขาแทบนึกภาพเธอในฐานะคนรักไม่ออก จะนึกออกก็แต่เธอในฐานะผู้ที่เคยอุปถัมภ์ค้ำจุนในยามที่เขาชักหน้าไม่ถึงหลัง ทำให้แม้แต่ตัวเขาก็ยังเข้าใจผิดว่าเขาหมดรักเธอ อันที่จริงมันไม่ได้หมด สีสันของมันเพียงเจือจางจนกลายเป็นวัตถุล่องหน แต่มันไม่ได้หายไป เขาแค่ยังไม่รู้ตัว

ในวันที่เขาตั้งใจไปจองตั๋วรถทัวร์ที่สถานีขนส่งสายใต้ เขาเก็บข้าวของเตรียมไว้แต่แรกเผื่อว่าจะมีการเดินทางกะทันหัน เขาพับเสื้อผ้าที่ยังใส่ได้เข้ากระเป๋าเป้ ข้าวของกระจุกกระจิกใส่ไว้ในลังใบหนึ่ง ส่วนข้าวของของเธอ อย่างเช่นเสื้อผ้า เครื่องสำอาง เครื่องประดับ หนังสือ เอกสารเรียน เขาแยกไว้ในอีกกล่อง ไม่ใช่เพราะอาวรณ์ แต่เพราะเขาไม่แน่ใจว่าทางที่ดีควรส่งกลับคืนหรือนำไปทิ้ง แม้หลังจากเก็บอยู่สักครู่จะคิดได้ว่าที่ถูกต้องคืออย่างหลัง แต่ในเมื่อทำมาแล้วเขาจึงทำต่อไป หลังจากเก็บเสร็จ เขามองดูรูปธรรมของความทรงจำที่ถูกนำมารวมกัน แปลกใจที่พบว่าตัวเองไม่รู้สึกรู้สากับการทิ้งมันไว้แทนค่าเช่าห้องสองเดือนที่ยังไม่ได้จ่าย เขาคงหมดรักแล้วจริงๆ เขาคิด

เขาดูแคลนความรักมากเกินไปหน่อย

ง่ายดายอย่างยิ่งที่จะทำให้ความรู้สึกเด่นชัดกลับมา เพียงแค่หน้าจอโทรศัพท์ของเขาปรากฏชื่อและภาพของเธอขึ้นเท่านั้น ตอนนั้นเขากำลังจะออกจากห้องอยู่แล้ว และด้วยนิสัยไม่เปิดเสียงโทรศัพท์เมื่ออยู่ในที่สาธารณะ เขาก็คงจะไม่ได้รับสายนี้ ทุกอย่างมันพอดีเหมือนบทละคร เขากลืนน้ำลาย ถึงแม้จะทำท่าทางราวกับว่ารักศักดิ์ศรีและจะไม่มีวันหยิบโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่ขึ้นมาเด็ดขาด แต่นั่นก็เป็นเพียงการสำเร็จความใคร่ที่อยากจะเป็นฝ่ายที่เหนือกว่าบ้างในตนเองเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องรับ

บทสนทนาเป็นไปอย่างอิหลักอิเหลื่อเนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีใครพูดตรงๆ เขาไม่อยากตอบเรื่องสารทุกข์สุกดิบ ขณะที่เธอก็ไม่อยากตอบคำถามถึงการกลับชาติมาเกิด ลักษณะงูกินหางไม่อาจดำเนินไปตลอดกาล จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทนไม่ไหวเสมอ เขาคือคนที่ทนไม่ไหวและพรั่งพรูสิ่งที่รู้ออกไปอย่างคลุ้มคลั่ง “ใช่ เป็นอย่างนั้นแหละ เข้าใจถูกแล้ว” เธอสวนขึ้นมาโดยไม่รอให้เขาพูดจบ เขานิ่งก่อนจะถามอย่างคนที่ไม่รู้จักการกลับชาติมาเกิดดีว่าในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่รักกันแล้วใช่ไหม หญิงสาวที่ปลายสายบอก (ตามบท) ว่า “ไม่ใช่” “ฉันตระหนักรู้แก่นแท้ของตัวเอง ไม่ได้แปลว่าเรื่องก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอยู่” “มันก็ยังอยู่ให้ฉันต้องปรับเปลี่ยนและทำความเข้าใจ” เขารุกหนักกว่าเดิม ยังรักหรือไม่ “ความรู้สึกน่ะยังอยู่ แต่เธอต้องให้เวลาฉันในการหาที่ทางให้กับมัน” “ฉันขอเข้าเรื่องของฉันได้หรือยัง”

สำหรับเขา คำถามของเธอมีความหมายเหมือนกับคำถามที่เขาถาม

เขาหยุดยั้งตัวเองไม่ให้ขุดคุ้ยหาคำตอบจากภายในใจไม่ทัน ภาคส่วนที่เขาควบคุมไม่ได้ลงมืออย่างรวดเร็ว และมันยิ่งเร็วขึ้นเมื่อสายตาของเขาหันไปเห็นกล่องที่เขาเตรียมทิ้ง คล้ายมันอยู่ตรงนั้นเพื่อจุดประสงค์ข้อเดียวข้อนี้ จับจ้องไปทีละอย่าง เสื้อผ้า รองเท้า หมวก เอกสาร นกหวีด จนมาหยุดที่กระติกน้ำที่เธอยื่นให้เขาในวันที่พบกันครั้งแรก ฉับพลันภาพของอดีตอันห่างไกลก็แจ่มชัดคล้ายกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ภาพเหตุการณ์ในคืนนั้นที่ค่ายอนุรักษ์ของมหาวิทยาลัย คืนที่อากาศร้อนอย่างเลวร้าย ร้อนจนเขานอนไม่หลับ ถูกฉายซ้ำในหัวเขา เขามองเห็นฟ้าสีน้ำหมึก เห็นดวงจันทร์และแสงดาว ลมเอื่อยที่ทำให้หมู่แมกไม้ขยับตัวอย่างเกียจคร้านเกิดเป็นเสียงแกรกกราก ตรงหน้า กองไฟที่ถูกจุดเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งการตั้งค่ายพักแรมกำลังลุกโชติช่วง เขาอ่านหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่อง ปีศาจ หรือ เราชนะแล้ว, แม่จ๋า แต่ก็คงจะเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จู่ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งสะกิดเขา ก่อนจะยื่นกระติกน้ำข้ามไหล่มาให้ เสียงห้าวๆ ของผู้หญิง ดื่มไหมพี่ ของดี แล้วเธอก็นั่งลงข้างๆ

เขาคุยอะไรกับเธอนะ คลับคล้ายคลับคลาว่าเขาคุยกับเธอมากมายหลายเรื่อง เธอถามถึงหนังสือที่เขาอ่าน ถามเรื่องวิชาเรียน ถามความคิดเห็นเกี่ยวกับโลกทุนนิยม แต่บทสนทนาพวกนั้นมันก็เลอะเลือนไปหมดแล้วเมื่อมันถูกพูดใหม่ซ้ำๆ ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ดังนั้นมันก็อาจจะไม่มีการพูดคุยอะไรกันจริงๆ หากไม่นับที่เธอบ่นเรื่องกฎระเบียบไร้สาระ ของดี ในกระติก และคำมั่นสัญญา เช่นเดียวกัน เขานึกไม่ออกว่าหัวข้อไหนที่นำไปสู่คำสัญญานั้น แต่เขาจำคำสัญญานั้นได้แม่น เขาบอกกับเธอว่าเราจะเปลี่ยนที่นี่ให้ดีขึ้น ตอนนั้นเธอกำลังแหงนมองดาวบนฟ้าและชูมือขึ้นหมายจะจับพวกมัน เธอจึงตอบโดยไม่หันมามองเขา เราสองคนจะช่วยกัน

เมื่อเป็นเรื่องความรักของผู้ชายมันง่ายดายเหลือเกินที่จะย้ายจากสุดปลายฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่ง โดยไม่ต้องหยุดตรงจุดกึ่งกลางหรือเหลื่อมๆ เขาน้ำตาคลอและตอบเธอเหมือนที่ตอบในคืนวันแรก

แน่นอน

“ฉันกำลังป่วย” เธอว่า

เป็นไปไม่ได้เลยที่คนคนหนึ่งจะล้างความวิตกออกไปได้หมดเกลี้ยงไม่ว่ามันจะเป็นความวิตกในเรื่องหนักหรือเบา เพราะความวิตกเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่คู่กับเรื่อง เมื่อมีเรื่องหนึ่งเรื่อง ต่อให้เป็นเรื่องดีก็ตาม มันก็จะยังมีความวิตก (เช่นมันอาจจะจบลงสักวัน) ดังนั้นแม้เขาจะเชื่อว่าทุกอย่างลงเอยด้วยดีแล้ว และแม้เขาจะคอยบอกย้ำกับตัวเองเพื่อไม่ให้มีสักอึดใจที่เขาจะกังขาในความจริงแท้ของมัน ลึกลงไปใต้จิตสำนึกเขาก็ยังคงมีเชื้อความกระวนกระวายอยู่ มันแพร่กระจายสลับถูกกักกันนับแต่การเดินทางเริ่มต้น กระทั่งมาถึงจุดลุกลามอย่างรุนแรงเมื่อเขาทราบจุดหมายปลายทางของเธอ ช่วงเวลาแห่งความเงียบด้วยการอ้างว่าป่วยจนไม่มีแรงพูดของเธอจึงจบลงอย่างสิ้นเชิง

พ่อเลี้ยง X เธอต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เขาพยายามข่มความหงุดหงิดเอาไว้ เธอก็รู้ว่าหมอนี่เป็นคนแบบไหน

แน่นอน เธอรู้เช่นเดียวกับใครที่ติดตามข่าวอย่างสม่ำเสมอรู้ว่ามหาเศรษฐีรายนี้มีวีรกรรมมากมายเพียงใดตลอดช่วงชีวิตของเขา ทั้งฉ้อโกง ทำร้ายร่างกาย รวมถึงฆ่า เมื่อไหร่ที่ชื่อของพ่อเลี้ยงโผล่บนหน้าหนังสือพิมพ์ มันจะต้องเป็นเรื่องชั่วร้ายเสมอ หลังสุดพ่อเลี้ยงกำลังพัวพันอยู่กับคดีค้าไม้เถื่อน และเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการข่มขู่ทำร้ายร่างกายชาวบ้านที่ไม่ยอมขายที่ดินให้กับกลุ่มธุรกิจใหญ่ในภาคเหนือซึ่งเขามีสัมพันธ์อันดีด้วย เราสมควรที่จะทำอย่างเพื่อนเรา ไม่ใช่มาร่วมสังฆกรรมกับไอ้หน้าเลือดคนนี้ เขาว่า

ท่าทางของเธอบ่งบอกถึงความเบื่อหน่าย เธอพูด

“ไม่มีใครทำแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว” เขาถามเธอว่าเธอรู้ได้อย่างไร เธอตอบเหมือนเดิม “การระลึกชาติทำให้ทุกคนรู้ว่าควรทำอะไร”

เขาเงียบอย่างที่เงียบเสมอเมื่อเรื่องนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูด

ระหว่างเหม่อมองไปยังเทือกเขาซึ่งทอดตัวเป็นแนวยาวอยู่เบื้องหลังเมืองที่เขาไม่คุ้นเคย ในหัวของเขาก็เริ่มจัดลำดับสิ่งผิดสังเกตซึ่งเกิดขึ้นนับแต่เริ่มออกเดินทางด้วยตัวมันเอง เขาพบว่ามีเรื่องน่ากังขาอยู่มากมาย ความเร่งรีบของเธอน่าสงสัย การที่เธอหลีกเลี่ยงไม่ยอมบอกจุดหมายปลายทางหรือชื่อหมอก็น่าสงสัย – แล้วทำไมหมอถึงอยู่กับพ่อเลี้ยงได้ล่ะ – การที่เธอไม่รู้ว่าเธอป่วยเป็นโรคอะไรก็น่าสงสัย หรือที่เธอบอกว่าเธอพึ่งพาเขาได้เพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นก็น่าสงสัย มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องพึ่งพาเขากับเรื่องซึ่งไม่ได้ต้องการเงื่อนไขพิเศษเช่นนี้ เขาแน่ใจว่ามีบางส่วนบางเสี้ยวของเรื่องนี้ที่ไม่ปกติ แต่เขาบอกไม่ได้ว่าตรงไหน

แต่ความคลุมเครือนี้นับว่าเป็นเรื่องเล็กเมื่อเทียบกับคำถามสำคัญที่ไม่อาจทิ้งค้างไว้ให้เนิ่นนานกว่านี้ได้ การเดินทางครั้งนี้มันจะเลยเถิดไปถึงไหน เขาหมายถึงเรื่องค่าใช้จ่าย ความฉุกละหุกบวกกับจำนวนผู้เดินทางที่น้อยทำให้เขามีค่าซึ่งมากเกินความจำเป็นให้ต้องจ่ายและจ่ายทั้งหมด “อย่างที่สุภาพบุรุษควรทำ” เธอยืนกราน ทีแรกเขาเข้าใจว่ามันอาจเป็นการลองใจ แต่นานไปเขาก็เริ่มตระหนักว่าไม่ใช่ เธอให้เขาออกให้ไม่ว่าจะเป็นค่าตั๋วเครื่องบินที่ไม่ได้จองล่วงหน้า ค่าอาหาร ค่าโรงแรมที่เธอยืนยันว่าราคาถูกแล้วแต่ยังแพงอยู่สำหรับเขา ซ้ำยังต้องเปิดสองห้องด้วย และด้วยความที่เขาขับรถไม่เป็น เขาจึงต้องจ่ายเงินจ้างคนขับรถอีก เขาและเธอได้สารถีที่เป็นคนท้องถิ่น ผู้ที่ทีแรกพูดมากแต่ก็กลับเงียบขรึมหลังจากเห็นที่อยู่บนกระดาษที่เธอยื่นให้ เขาไม่แปลกใจว่าทำไม

เงินที่เขาเก็บหอมรอมริบไว้ซึ่งตั้งใจจะใช้เดินทางกลับบ้านส่วนหนึ่งและมอบให้แม่อีกส่วนหนึ่งถูกใช้ไปแล้วกว่าครึ่ง เขารู้สึกไม่ปลอดภัย ความคลุมเครือทั้งหลายมันทำให้เขาวิตกมากขึ้นเรื่อยๆ กับกำหนดการที่ไม่แน่นอน ทำให้เขาฟุ้งซ่านด้วยความกลัว เขานึกภาพแม่น้ำตาไหลเมื่อเขาบอกว่าไม่มีเงินกลับบ้าน นึกภาพเขาเอ่ยขอเงินค่าเดินทางจากแม่ นึกภาพตัวเองในสภาพสิ้นไร้และมีเธอยื่นเงินให้ด้วยสายตาเหยียด (หากเป็นเมื่อก่อนเขาไม่มีวันสร้างภาพลักษณะนี้ของเธอในหัว แต่ปัจจุบัน โดยที่เขามองกระบวนการไม่ออก เขากลับรู้สึกว่ามันเป็นไปได้) ทันใดความคิดอย่างเอาแต่ใจว่าเหตุผลของเขาหนักแน่นกว่าก็โลดเต้นในหัว เขาต้องการคนยืนยัน และตอนนั้นก็ไม่มีใครเหมาะสมยิ่งไปกว่าสารถีของเขา

เธอควรลองคิดดูอีกสักหน ไม่ว่าใครก็มีแต่อยากหลีกให้ไกลจากคนคนนี้ ไม่เว้นแม้แต่คุณลุงคนขับรถของเรา เขาหันไปขอคำตอบจากชายแก่ จริงไหมครับ

ครับ ครับ สารถีตอบอ้อมแอ้ม

เธอไม่สนใจ ยังคงหลับตา

หมอนี่มันระยำแค่ไหน ลุงเป็นคนพื้นที่ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยสิครับ เขารุกเร้า

“พูดไปก็เท่านั้น” เธอตัดบท “พูดไปก็ไม่มีใครได้ยิน ไม่ต่างจากเสียงเงียบ”

สารถีทำท่าลุกลี้ลุกลน เขาเหลียวไปเหลียวมาก่อนพูดด้วยความร้อนใจว่า ป้อเลี้ยงแกก่อเป๋นคนดีลอครับ สองสามเดือนก่อนแกก่อจ้วยเงินครอบครัวผม

แต่เธอไม่คิดจะตอบ เธอเมินเฉยสารถีอย่างสิ้นเชิงคล้ายว่าเขากลายเป็นอากาศธาตุ ขยุกขยิกร่างกายใต้ผ้าห่มอยู่ครู่หนึ่งแล้วเธอก็หลับตาพริ้มอีกครั้ง

ใจเขายังคงไม่ยอมรับ ยังอยากโต้แย้งเพื่อยึดความชอบธรรม แต่บางอย่างในตัวเขาบอกว่าเขาควรจะหยุดพูด มันไม่ใช่ช่วงที่เขามีบทพูด เขาทำ

รถแล่นต่อไปด้วยความเร็วที่ไม่เปลี่ยนแปลง พาชีวิตออกจากตัวเมืองที่เต็มไปด้วยตึกและสะพาน ตอนนั้นเธอหลับไปแล้ว เขาได้ยินเสียงลมหายใจที่ไร้การระวังและสม่ำเสมอ เขาเองก็เริ่มง่วงงุนเมื่อเห็นเทือกเขายาวเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดไหลผ่านสายตาไป ใจคิดถึงสถานที่สำคัญต่างๆ ของจังหวัดนี้ซึ่งเขาเคยเห็นในรูปถ่ายของเพื่อนๆ พร้อมบอกกับตัวเองว่ามันอยู่บนนั้นนั่นไง บนทิวเขาที่เหมือนจะเป็นเขาลูกเดียวกันทั้งหมด ก่อนที่จะปะตัวเองและเธอลงไปบนภาพเหล่านั้น เขาเคลิบเคลิ้ม แต่ก่อนจะได้หลับฝัน ความกังขาที่เขาลืมไประยะเวลาหนึ่งก็กระชากเขาออกมาจากกองภาพอย่างไม่ปรานี ทำให้เขาเสียววาบและหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง แต่สักพักก็กลับมาง่วงใหม่ วนไปเวียนมาเช่นนี้ตลอดเส้นทางแปลก การไม่อาจนอนหลับเป็นความทรมานของมนุษย์มานับแต่โบราณกาล ไม่เคยมีใครทนทานไหว ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่หลับมันแล้ว แล้วจึงเอาข้อสงสัยที่มีมาวางแผ่หรา ขบไปทีละเรื่อง กระนั้นถึงเขาจะเปลี่ยนมุมมองจากมองภาพกว้างมาเป็นมองเจาะทีละเรื่อง เขาก็ยังพายเรือวนในอ่างอยู่นั่นเอง

ก่อนความเครียดจะแปรเป็นความหดหู่อย่างเลวร้าย ฉับพลันเขาก็ห้ามตัวเองจากการครุ่นคิดทุกเรื่องชนิดที่เรียกว่าถอนรากถอนโคน เขามองดูเธอที่หลับอุตุอยู่ข้างๆ เธออยู่เคียงข้างเขาแล้วนี่ เธอมาหาเขา วิงวอนเขา เธอต้องพึ่งพิงเขา ทำไมเธอต้องไม่ไปหาคนอื่น ทำไมต้องมาหาเขา ก็เพราะว่าในใจของเธอมีเขาน่ะสิ พอคิดแบบนี้ปมปัญหาทุกอย่างก็พลันคลี่คลายตัวเองออกอย่างไม่น่าเชื่อ เธอรักเขา เธอรักเขา เธอรักเขา เขาบอกย้ำประหนึ่งครูที่อ่านคำศัพท์กรอกหูเด็กเล็กเพื่อให้เด็กจำมันขึ้นใจ คำถามถูกกลบฝังอย่างฉับไว จากนั้นเขาก็เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พลางมองเธอสลับกับทัศนียภาพเบื้องนอก

เธอตื่นขึ้นเมื่อสารถีพูดว่า บ่อเมินเฮาก่อจะถึงจุดหมายแล้ว เธอบิดตัวไปมาครู่หนึ่งก่อนจะยืดร่างเหยียด หากเป็นคนที่มีสายตาละเอียดลึกซึ้งก็คงมองเห็นว่าความเคลื่อนไหวของเธอแปลกไปจากทีแรกแม้จะในระดับที่เล็กน้อย แต่ตอนนั้นสมาธิของเขาทุ่มเทไปที่การฉีกยิ้มดูโง่ๆ ให้เธอด้วยหมายจะสื่อความนัย เขาไม่รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว เขาไม่อาจระลึกชาติ จึงไม่จำเป็นที่ใครจะต้องมีความสงสารให้แก่เขา ทันทีที่รถจอดสนิทเบื้องหน้าตึกสำนักงานอันแวดล้อมไปด้วยทุ่งดอกไม้ที่ได้รับการตัดแต่งอย่างดีตรงพื้นที่ส่วนหน้าของไร่ เขารีบลงจากรถด้วยตั้งใจจะไปช่วยพยุงเธอที่อีกฟาก แต่เธอไม่รอเขา พอเขาหันไปก็เห็นเธอกำลังถลันไปยังประตู ทุกก้าวหนักแน่นไม่เหมือนคนป่วย เธอคุยกับชายฉกรรจ์ที่เฝ้าประตูไม่กี่คำแล้วเข้าไป เขายืนนิ่ง ตาเหม่อมอง ปั่นป่วน ได้ยินเสียงของการกระเทาะ

ความรู้สึกของเขาสับสนปั่นป่วนจนไม่รู้ว่าที่จริงเขารู้สึกอย่างไรกันแน่ มันเป็นความรู้สึกว่างเปล่า เป็นความรู้สึกที่ไร้ความรู้สึก หรือถ้าจะมองอย่างลดทอนความซับซ้อนลง ก็อาจบอกว่าไร้ความรู้สึกอย่างสิ้นเชิงก็ได้ เพราะเขาไม่สามารถสวมอารมณ์ใดๆ ให้กับตนเองได้แนบสนิทเลย เขาลองหยิบความเศร้าแต่ว่ามันก็ไม่ใช่ ความเสียใจก็ยังไม่พอ ความโกรธหรือ มันก็ไม่ต้องตรงกัน แล้วเขาก็ยังไม่อาจจะหงุดหงิดกับความลังเลเหล่านั้นได้ สุดท้ายแล้วเขาจึงได้แต่ยืนเซื่องซึมอย่างกลวงเปล่าเหมือนคนไร้วิญญาณ จมอยู่ในภวังค์ของความอับจนต่อการพรรณนาภายในตนเองที่คนเรามักพยายามทำให้ได้ตลอด ชั่วขณะความคิดหนึ่งก็ผุดวาบ ที่แท้ภาระที่ยากลำบากที่สุดของการเป็นมนุษย์ก็คือการเลือกนิยามที่จำกัดมาใช้เรียกแทนนามธรรมอันไม่จำกัด และยิ่งเมื่อนิยามที่จำกัดนั้นมีจำนวนจำกัดอันเป็นผลจากการเลือกใช้งานเพียงเท่านั้นของคนหมู่มากตลอดช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ ถึงจุดหนึ่ง มนุษย์คนหนึ่งก็จะต้องประสบสภาวะว่างเปล่าเช่นนี้ ไม่อาจมีความรู้สึกใดได้ มันคงสะดวกสบายกว่ามาก หากความรู้สึกเหล่านั้นถูกเลือกใช้แล้ว

สิ่งที่ดึงเขาออกมาจากภวังค์ก็คือเสียงของสารถีที่ถามเขาว่า เฮาปิ๊กกั๋นดีก่อครับ ด้วยหมายเร่งรัดอย่างอ้อมๆ เขาตัดสินใจ รอผมสักครู่นะครับลุง ก่อนเดินตรงเข้าไปที่อาคารสำนักงาน ชายฉกรรจ์ผู้เฝ้าประตูมองเขาอย่างคุมเชิง ก่อนเอ่ยถาม มีเรื่องอะหยังก่อ อะไรบางอย่างทำให้เขาตอบไปว่า ผมจะเข้าไปหาเพื่อน

บนโซฟาใจกลางห้องรับแขก ในที่สุดเขาก็เห็นเธอ เพียงแต่เขาไม่อาจจะร้องเรียกหรือเข้าไปใกล้เธอได้อีกแล้ว ข้างๆ เธอมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย ทั้งสองกำลังกอดกันจนเป็นก้อนกลม

เรื่องตลกมันอยู่ตรงนี้

เขากลับไปยังห้องพักแล้วเก็บตัวเงียบอยู่ในนั้น ปล่อยคืนแรกผ่านไปเพราะความพลิกผันอันคาดไม่ถึงทำให้เขาคิดอะไรไม่ออก เขาปล่อยให้คืนที่สองผ่านไปด้วยเกิดความหวังจากการอ้างอิงประสบการณ์ก่อนหน้า ก่อนจะปล่อยให้คืนที่สามผ่านไปอีกเพราะแน่ใจว่าเธอจะต้องมาเก็บข้าวของที่ตอนนี้ถูกโยกย้ายมาไว้ในห้องของเขา เข้าสู่วันที่สี่ เขาตัดสินใจเช็คเอาท์ บอกให้โรงแรมส่งข้าวของของเธอไปยังไร่ของพ่อเลี้ยง สะพายเป้ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสนามบินเพื่อซื้อตั๋วเครื่องบินกลับบ้าน เงินเก็บสะสมของเขาเหลืออยู่เพียงสามพันกว่าบาท สิ่งที่เขาไม่รู้คือการนั่งเครื่องบินจากเชียงใหม่ไปยังภาคใต้ ต้องใช้เงินเป็นสองเท่าของการนั่งไปลงที่กรุงเทพมหานคร

เขาไม่อาจไม่ก่นด่าความโง่เง่าของตัวเอง ในระหว่างที่ตระหนกด้วยมึนงง เขากลับเออออตามเรื่องและเลือกซื้อตั๋วกลับกรุงเทพฯ ก่อนจะนึกได้ในเวลาต่อมาว่าเขายังสามารถเดินทางด้วยวิธีอื่น ตลอดทั้งวันเขาจึงหงุดหงิดและหดหู่ มือกระหน่ำกดโทรศัพท์หาแม่เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีเสียงเรียกเข้าเพลงเพื่อชีวิตให้ได้ยิน มีเพียงเสียงของระบบที่ถูกบันทึกไว้เท่านั้น เขาไม่แน่ใจว่าแม่ปิดโทรศัพท์หรือแบตเตอรี่หมด เขาลองโทรเข้าบ้าน ปรากฏว่าไม่มีคนรับสาย

เขารออย่างอับจนปัญญากระทั่งสี่โมงเย็น เมื่อรู้สึกเหมือนกระเพาะอาหารที่บิดตัวเป็นเกลียวได้ขาดออกจากกัน ความโกรธของคนที่ทำสิ่งใดไม่ได้เลยก็ลุกโพลง เขานึกในใจ เธอนั่นแหละที่ต้องรับผิดชอบ ต้นเหตุมันมาจากเธอ เขาไม่จำเป็นต้องไล่ดูบัญชีรายชื่อในโทรศัพท์ก็รู้ว่าใครคือคนที่เขาจะต้องโทรหา หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดและไม่ประสบความสำเร็จในการต่อรองราคา รถคันเดิมของสารถีก็มารับเขาที่หน้าสนามบินและพาเขามุ่งไปตามเส้นทางเดิมสู่ไร่ของพ่อเลี้ยง X

เขาเดินอย่างเก้ๆ กังๆ จากซุ้มประตูกว้างที่กึ่งกลางแขวนป้ายขนาดใหญ่ ผ่านไปเรื่อยๆ ตามทางดินซึ่งขนาบด้วยสนามหญ้าและแปลงดอกไม้ จนมาถึงอาคารสำนักงานหลังเดิมที่เขาเคยเข้าไป เขาเพิ่งสังเกตเห็นป้ายซึ่งใหญ่เกินจุดประสงค์ใช้สอยข้างประตูขึ้นข้อความว่า มีกิจธุระโปรดนัดหมายล่วงหน้า ตามด้วยหมายเลขโทรศัพท์ มันทำให้เขาระย่นย่อ ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่คนละคนกับที่เฝ้าหน้าประตูเมื่อวันก่อนวิ่งกระหืดกระหอบมาหาเขา ร้องถามว่ามาหาผู้ใด๋ เขาตอบโดยไม่หยุดคิดว่าเพื่อน ชายฉกรรจ์ถามต่อไป เขาบอกชื่อเธอ พร้อมเสริมว่าเขามาที่นี่พร้อมเธอเมื่อวันก่อน แล้วชายฉกรรจ์ก็ปล่อยเขาเข้าไปข้างใน เขาเดินมาจนถึงห้องรับแขกห้องเดิม ในห้องไร้วี่แววผู้คน มีเพียงโซฟาร้างไร้ ดูไปคล้ายฉากละครเวทีนอกเวลาแสดง เขาพบประตูหลังที่เปิดกว้างอย่างเย้ยหยัน มีทางเดินทอดไปถึงสวนหย่อมเล็กๆ ริมต้นไม้ใหญ่มีม้านั่ง หนุ่มสาวคู่รักนั่งอยู่ตรงนั้น จูบกันและผละออกจากกันเมื่อตระหนักว่าผู้บุกรุกที่จะมาถึงได้มาถึงแล้ว ก่อนจะจูบกันใหม่โดยไม่แยแส เขายืนเลิ่กลั่กด้วยความอึดอัด รอให้เธออนุญาตให้พูด

สิ้นสุดการจูบคือคำอนุญาต เขาร้องทักเบาๆ ชายหนุ่มบนม้านั่งทำท่าเหมือนเบื่อหน่าย หญิงสาวกระซิบบางอย่าง ชายหนุ่มหัวเราะเสแสร้งก่อนจะเดินออกไปจากสวนด้วยความเบิกบานเกินพอดี

พอเสียงฝีเท้าลับหายไป แม้ใจจะล้มเลิกความคิดไปแล้ว แต่แรงบางอย่างกลับทำให้เขาถามคำถามอันเป็นคนละคำถามกับที่เตรียมมา ฉันจะกลับแล้ว เธอจะกลับด้วยกันไหม มันเป็นการกระทำที่น่าสมเพชเสียจนเขาหน้าแดง เธอบอกว่า “ไม่” เขารับคำเรียบๆ แล้วมันก็จบลง

อย่างไรก็ตาม พอเขาคิดว่าตัวเองควรกลับออกมาเสียที ความชอบมาพากลก็เผยตัว

มันเป็นความชอบมาพากลที่หมายจะล้อเล่น เพราะคนที่ไม่เข้ากับสภาพแวดล้อมอย่างสิ้นเชิงเช่นเขาไม่ควรอยู่ที่นั่นต่อไปแม้สักวินาทีเดียว ทว่ามันซึ่งน่าจะโกรธเกรี้ยวและขับไล่เขาออกมากลับอยากจะเล่นกับเขา (หรือเป็นแผนมาแต่แรก?) เขาก้าวขาไม่ได้ ตรงข้ามกับปากที่เคลื่อนไหวโดยที่เขาไม่สามารถควบคุม คำรำพึงตัดพ้อไร้ที่มาที่ไปถูกยัดไว้ในนั้นโดยบางอย่างที่มองไม่เห็น เป็นบทพูดที่คล้ายคำพูดของตัวร้ายในละคร เขาพูดๆๆ ส่วนเธอ ซึ่งจากที่ผ่านมาไม่น่าจะสนใจไยดีเขา ก็กลับพูดตอบเกือบทุกประโยค เขาพยายามจะยั้งตัวเอง มันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการจะพูด แต่เขาก็พูด ขณะที่คำถามที่อยากถามเขากลับไม่อาจถามได้เพราะพอพยายามเค้นคำมันก็มีมวลเหนียวหนืดดำมืดมาจุกในลำคอ หนึ่งในนั้นคือคำถามสำคัญที่ว่าเหตุใดเขาถึงระลึกชาติไม่ได้ ซึ่งเขาไม่มีวันจะได้รู้คำตอบอีกแล้ว อารมณ์ของเขาถูกทำให้เดือดปะทุ เท้าสาวเข้าหาหมายคว้าข้อมือ ทันใดทุกอย่างกลับกลายเป็นสีดำ พร้อมกับเสียงกรอบแกรบราวกับโลกแห้งแล้งถูกขยำ ตัวเขาลอย เขาไม่รู้และไม่มีวันรู้ว่าวินาทีนั้นคือวินาทีที่เขาบรรลุการเป็นส่วนหนึ่งของชาติของเธอโดยสมบูรณ์ ทำได้เสร็จสิ้นตามหน้าที่ของส่วนเติมเต็มที่ได้เกิดมาในชาติของใครสักคน

 

วรพล ถาวรวรานนท์

เกิดที่จังหวัดสงขลา จบการศึกษาในสาขาปรัชญา ปัจจุบันใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพมหานคร

 

 

สนับสนุนวรรณกรรมไทย โดย

สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย
สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย
สำนักพิมพ์แสงดาว
สำนักพิมพ์แสงดาว

Author

WAY of WORDS
โครงการเปิดรับต้นฉบับเรื่องสั้นและบทกวี ไม่จำกัดความยาวและเรื่องที่อยากเล่า ต้นฉบับทั้งเรื่องสั้นและบทกวี ถูกอ่านและพิจารณาโดยคณะบรรณาธิการสายแข็ง ก่อนเผยแพร่ทาง waymagazine.org

Illustrator

บัว คำดี
จากนักเรียนสายหนังผันตัวมาทำกราฟิกดีไซน์และงานโมชั่น แม่นยำเรื่องจังหวะเวลาแม้กระทั่งการเคี้ยวข้าวทีละคำด้วยความเร็วสม่ำเสมอจนหมดเวลาพักเที่ยง ฝากลายเส้นไว้ในชิ้นงานแนวรักเด็ก รักโลก ละมุนละไม แต่อีกด้านที่ทำให้กองบรรณาธิการต่างเกรงกลัวไม่กล้าแบทเทิลด้วย คือความเอาจริงเอาจังกับตารางเวลา ตรงไปตรงมา ลงจังหวะเน้นเป๊ะตามบาร์แบบชาวฮิพฮอพ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า