3 ปีที่ มุก (นามสมมุติ) สาวไทยวัย 31 ทำงานเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสายการบินระหว่างประเทศในประเทศการ์ตา ซึ่งต้องเดินทางไป-กลับทั้งสหรัฐอเมริกา ทวีปยุโรป และประเทศออสเตรเลีย แต่ต้นเดือนมีนาคมปี 2563 ที่ผ่านมา เธอเพิ่งตัดสินใจเขียนใบลาออกบอกลาอาชีพในฝันตั้งแต่เด็ก เพราะกลัวจะได้รับเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) จากผู้โดยสารในเครื่องบินจนอาจทำให้เธอล้มป่วย ถึงขั้นเสียชีวิต
“งานที่ทำเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสนี้มาก หากป่วยจนเสียชีวิตไป คงไม่ได้ทำหน้าที่ดูแลพ่อแม่ที่ไทย” มุกบอกถึงเหตุผลที่ต้องลาออกจากงานที่เธอไฝ่ฝันจะทำตั้งแต่เด็ก เชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 ถือเป็นเชื้อไวรัสในตระกูลโรคระบบทางเดินหายใจ แพร่กระจายจากคนสู่คน หากเชื้อไวรัสที่มากับละอองเสมหะที่เกิดจากการไอ จาม น้ำมูก น้ำลายของผู้ติดเชื้อเข้าสู่ร่างกายผ่านทางตา จมูก และปาก ทำให้อาชีพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่มุกเคยทำ เป็นงานที่เสี่ยงได้รับเชื้อไวรัสดังกล่าวอย่างง่ายเช่นกัน เนื่องจากพวกเขาพบผู้คนมากหน้าหลายตาที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ อีกทั้งยังต้องอยู่ร่วมกับผู้คนเหล่านั้นนานหลายชั่วโมง
บริษัทยืนยันต้องบินและอย่าทำให้ผู้โดยสารกลัว
ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ คือช่วงที่เชื้อไวรัสกำลังระบาดทั่วโลก บริษัทของมุกยังคงให้บริการเที่ยวบินปกติ เพราะมีผู้โดยสารจองเที่ยวบินเพื่อกลับบ้านที่ประเทศในทวีปยุโรป ประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย เป็นจำนวนมาก
เธอเล่าย้อนถึงสาเหตุที่ทำให้กังวลว่า หน้าที่การงานทำให้มีโอกาสได้รับเชื้อไวรัสอันตรายนี้จนต้องเขียนใบลาออก แต่บริษัทของเธอกลับสั่งให้พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินไม่ต้องใส่หน้ากากอนามัย และไม่ต้องสวมถุงมือระหว่างปฏิบัติหน้าที่บนเครื่องบิน เพราะกังวลว่าผู้โดยสารจะกลัวแล้วทำให้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ
“บริษัทประชาสัมพันธ์ว่าสายการบินระดับ 5 ดาว ปลอดเชื้อไวรัส พนักงานทุกคนถูกสั่งให้ไม่ต้องสวมหน้ากากเพื่อยืนยันกับลูกค้าว่าเที่ยวบินปลอดภัย ในขณะที่สายการบินอื่นเริ่มปฏิบัติตามมาตรการป้องกันไวรัสระดับสากลแล้ว” มุกกล่าว แต่เธอก็ยืนยันว่า “ตั้งแต่ต้นมีนาคมที่ผ่านมาบริษัทก็ทำตามมาตรฐานป้องกันเชื้อตามสากลแล้ว”
ช่วงเวลานั้นการลุกไปทำงานแต่ละวันของมุกไม่ได้ตื่นเต้นหรือมีความสุขเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะแต่ละวันเธอและเพื่อนร่วมงานต้องคอยลุ้นว่าหัวหน้าจะเลือกให้บริการผู้โดยสารเส้นทางการบินไหน จะเป็นสายการบินที่ไปรับคนที่เมืองที่มีการระบาดของเชื้อไวรัส เช่นที่ประเทศอิตาลีหรือไม่
อย่างไรก็ตามหลังเครื่องบินที่มุกทำงานลงจอดที่สนามบินไหนก็ตาม เธอและเพื่อนร่วมงานในเครื่องบินลำนั้นต้องเข้าตรวจหาเชื้อไวรัสตามมาตรการสากล ก่อนเดินทางกลับไปพักผ่อนทุกครั้ง
กลับประเทศบ้านเกิด
มุกจองตั๋วจากประเทศกาตาร์กลับประเทศบ้านเกิดไว้เมื่อเช้ามืดวันที่ 2 เมษายน 2563 ซึ่งก่อนจะถึงกำหนดเดินทางกว่า 10 ชั่วโมง มุกต้องทำเรื่องเข้าประเทศไทยในช่วงที่ไทยประกาศมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ผ่านสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์
“วันที่จะกลับไทยเป็นช่วงที่ไทยมีข่าวชายวัย 57 ปี ที่เพิ่งเดินทางกลับจากปากีสถานเสียชีวิตจากโควิด-19 ทั้งที่มีใบรับรองแพทย์ว่าไม่เสี่ยงติดเชื้อไวรัส ทำให้ทางการไทยเข้มงวดในการคัดกรองคนเข้าประเทศอย่างมาก” เธอกล่าว
สถานทูตไทยที่กาตาร์ได้แจ้งผู้โดยสารทุกคนรวมถึงมุกที่จะเข้าประเทศไทยว่าต้องมีใบตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ที่โรงพยาบาล ในกรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ก่อน โดยผู้โดยสารต้องจ่ายเงินในการตรวจโรคด้วยตัวเอง ซึ่งไม่ใช่การตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด ผลตรวจของเธอออกมาอุณหภูมิร่างกายปกติ ไม่มีความเสี่ยงได้รับเชื้อไวรัส
“จริงๆ แล้วมาทราบทีหลังระหว่างที่กำลังจะขึ้นเครื่องว่า สถานทูตไทยในการ์ตาร์บอกว่าไม่อยากให้กลับไทยในช่วงนี้ อยากให้เลื่อนการเดินกลับไปก่อน แต่ก็ไม่ทัน” เธอเล่า
ไม่ได้เตรียมตัวเรื่องกักตัว
เครื่องบินมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย เวลา 12.55 น. ของวันที่ 3 เมษายน 2563 ตามกำหนดการ พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินก็ปฏิบัติหน้าที่ปกติจนผู้โดยสารรับกระเป๋าเสร็จ ไม่มีการแจ้งว่าจะมีการกักตัว 14 วัน ตามที่รัฐบาลประกาศ ทำให้ผู้โดยสารทุกคนรวมถึงมุกต่างโทรศัพท์บอกครอบครัวที่มารอรับว่า กำลังเดินไปหา แล้วเราจะได้กลับบ้านเกิดที่จังหวัดเชียงใหม่
แต่ระหว่างถึงด่านตรวจสอบหนังสือเดินทางก่อนเข้าประเทศ พนักงานสนามบินแจ้งว่า ทุกคนที่เดินทางเข้าประเทศในวันนี้ต้องกรอกเอกสารและรายงานตัวเพื่อเข้ากักตัว 14 วัน ตามมาตรการของรัฐ หลายคนตกใจเพราะไม่ทราบเรื่องและไม่ได้เตรียมตัวเรื่องการกักตัวมาก่อน แต่ก็ยังไม่บอกที่ไหน แล้วเริ่มบ่นกันว่าจะได้ไปพักที่ไหน กิน นอนอย่างไร
มุกจึงโทรบอกพ่อแม่ที่มารอรับที่สนามบินว่าให้กลับบ้านเลย เพราะเธอต้องเข้ากักตัวในสถานที่ที่รัฐบาลจัดไว้ให้ 14 วัน
เจ้าหน้าที่ไม่แจ้ง ไม่ชัดเจน
มุกคือหนึ่งในผู้โดยสารหลายสิบคนที่สอบถามเจ้าหน้าที่ในสนามบินที่แจ้งว่า สถานที่กักตัวคือที่ไหน จะกิน จะนอน จะเข้าห้องน้ำ ใช้ชีวิตอย่างไร ในสถานที่กักตัว 14 วันที่รัฐบาลจัดให้ แต่ก็ได้คำตอบกลับมาตลอดว่า “ไม่ทราบค่ะ เดี๋ยวรอเจ้าหน้าที่แจ้งอีกที”
เธออยู่รวมกับผู้โดยสารกว่า 70 คน ซึ่งเดินทางมาจากหลายประเทศทั้งในทวีปยุโรป เอเชีย มุกเล่าว่า หลายคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้าจะติดเชื้อไวรัสก็จะมาติดที่ไทยนี่แหละ เพราะเอาคนมาอยู่รวมกัน
ในห้องรับรองที่มุกอยู่ มีน้ำดื่ม กาแฟ โกโก้ผง 3 in 1 ขนมปัง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไก่ทอดและแฮมเบอร์เกอร์จัดไว้ให้ผู้โดยสารเช่นกัน แต่ไม่ได้จัดตามจำนวนคนและไม่ได้จัดวางอย่างเป็นระเบียบ ทำให้ต่างคนต่างหยิบเอาสิ่งที่ตัวเองอยากกิน
“ของวางรวมๆ กัน ทุกคนหยิบเอาได้เลย บางคนก็เอาแต่ไก่ทอด เอาแต่แฮมเบอร์เกอร์ บางคนได้เพียงขนมปังหนึ่งถุงหรือได้กินแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” เธอเล่า
เจ้าหน้าที่ปิดบังความจริง ทำให้สับสนและกังวล
ผ่านไป 3 ชั่วโมงในห้องรับรอง ทุกคนที่นั่งรอได้คำตอบว่าเจ้าหน้าที่จะพาไปขึ้นรถบัสเพื่อจะไปส่งที่สถานที่กักตัวใกล้บ้านของแต่ละคน เช่นใครอยู่ที่เขตไหน ตำบลอะไร อำเภอไหนจังหวัดอะไรเจ้าหน้าที่ก็จะไปส่งที่นั่น
ระหว่างเดินไปขึ้นรถบัสที่รัฐจัดให้ ต้องเดินต่อแถวไป เจ้าหน้าที่ตะโกนบอกตลอดทางว่า ไม่ต้องกลัว พวกเราจะพาไปอยู่ที่ดีๆ แต่ช่วงหนึ่งที่เจ้าหน้าที่คนเดิมพูดว่าประเทศที่เป็นประชาธิปไตยแบบยุโรป คนมีอิสระ มีเสรีภาพมากเกินไป คิดจะทำอะไรก็ทำ จะไปไหนมาไหนก็ไป รัฐบาลควบคุมยาก ไม่เหมือนคนในประเทศเผด็จการคอมมิวนิสต์ที่ประชาชนมีระเบียบวินัย เชื่อฟังรัฐบาล
เธอเล่าสิ่งที่เธอได้ยินจากเจ้าหน้าที่รัฐคนหนึ่ง สรุปแล้วมุกและผู้โดยสารทั้งหมดอยู่ในสนามบินสุวรรณภูมินานกว่า 5 ชั่วโมง จนจะได้ขึ้นรถบัสออกจากสนามบิน
ระหว่างนั่งรถ มุกและผู้โดยสารหลายคนสังเกตว่ารถบัสไม่ได้แล่นเข้าไปในตัวเมืองกรุงเทพฯ แต่กลับแล่นออกนอกเมือง แต่ด้วยความเหนื่อยล้าตลอดทั้งวัน ประกอบกับเวลานั้นเป็นเวลาพลบค่ำ ทำให้มุกงีบหลับไปสักพัก เธอนอนหลับไป “สัตหีบ รถพาพวกเราไปสัตหีบ” คุณป้าคนหนึ่งตะโกนเสียงดังลั่นรถ หลายคนสะดุ้งตื่นรวมถึงมุก จากนั้นเธอจึงโทรศัพท์บอกพ่อแม่เธอว่าจะได้กักตัวที่อาคารรับรอง ฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
เวลานั้นมุกคิดว่า ตลอดทั้งวันที่ถามอะไรเจ้าหน้าที่ไม่ตอบตรงไปตรงมา รวมถึงโกหกพวกเขานั้น ก็เพราะกังวลว่าผู้โดยสารจะต่อต้านการกักตัว อาจจะโวยวายหรือร้ายแรงที่สุดคือเกิดจลาจลได้ เธอยอมรับว่าในเวลานั้นมีผู้โดยสารไม่ยินยอมกักตัวจริง แต่เป็นส่วนน้อย ซึ่งส่วนมากยินยอมทำตามมาตรการของรัฐดังกล่าว แต่หลายคนตั้งคำถามถึงความพร้อมของรัฐบาลในการจัดการกับปัญหานี้เหมือนว่าไม่มีความพร้อม
“พวกเราถามอะไรเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ก็ไม่รู้เรื่อง ทำให้คนที่รออยู่กังวลใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป” เธอกล่าว
เข้าที่พัก
รถบัสถึงที่หมายเวลา 23.00 น. ทุกคนนำกระเป๋าสัมภาระของตัวเองลงรถแล้วต่อแถว เพื่อรอเจ้าหน้าที่มาฉีดพ่นแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรคบนกระเป๋า หลังจากทำความสะอาดสัมภาระ ก็เกิดเหตุการณ์วุ่นวายอีกครั้ง เพราะเจ้าหน้าที่ประกาศให้ทุกคนจับกลุ่มกัน กลุ่มละ 3 คน เพื่อเข้านอนห้องเดียวกัน แต่ผู้โดยสารบางคนรวมถึงเธอไม่เห็นด้วย เพราะว่าเสี่ยงติดเชื้อโรคจากเพื่อนร่วมห้อง
“แต่เหตุการณ์วุ่นวายก็จบลงเพราะมีหมอมายืนยันว่าทุกคนที่มาพักที่นี่ไม่มีใครติดเชื้อไวรัส แต่ทุกคนต้องกักตัวทั้งหมด 14 วันเพื่อรอดูอาการ” มุกกล่าว
เมื่อเข้าที่พักทุกคนจะได้ถุงผ้าขนาดใหญ่ที่ภายในบรรจุบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 2 ห่อ ปลากระป๋อง 2 กระป๋อง ยาสระผม ครีมอาบน้ำ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน กาแฟ 3 in 1 ในคืนแรกเธอขอเพื่อนร่วมห้องว่าจะเป็นคนนอนที่พื้น แต่วันรุ่งขึ้นเพื่อนร่วมห้องทั้งสองคนก็ย้ายสถานที่กักตัวไปในเขตกรุงเทพฯ เนื่องจากอยู่ใกล้บ้านของพวกเขา
“หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ให้พักคนเดียวจนถึงวันกักตัววันสุดท้าย เพราะมีนโยบายไม่รับให้นอนรวมกันอีกแล้ว” มุกเล่า
ห้ามออกนอกห้อง
มุกเล่าว่าที่นี่มีกฎที่จำง่ายอยู่ 1 กฎคือห้ามออกนอกห้องตัวเอง เพราะกังวลว่าหากใครมีเชื้อไวรัส เชื้อไวรัสจะกระจาย แม้แต่ช่วงที่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์มาตรวจวัดอุณหภูมิก็ต้องยืนห่างจากขอบประตูห้อง
“หากต้องการอะไรเจ้าหน้าที่จะให้แจ้งในกลุ่มไลน์ผู้ที่ถูกกักตัว แล้วเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์จะประกาศเสียงตามสายให้เจ้าหน้าที่ทหารเอาของมาส่งให้ผ่านการแขวนกับเชือกส่งให้ทางหน้าต่างและระเบียงห้องพัก”
ผู้กักตัวส่วนมากจะขออาหารกล่องเพิ่ม บางห้องขอมากกว่า 2 กล่องในแต่ละมื้อ ทำให้เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ต้องประกาศแซวออกเสียงตามสายว่าห้องนี้กินข้าวมากกว่าทุกห้อง กลายเป็นเรื่องขำขันในบางวัน นอกจากนี้สิ่งของที่จะขอหรือสั่งซื้อนั้นต้องเป็นของจำเป็น ห้ามขอหรือสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของมึนเมา แต่อนุญาตให้สั่งบุหรี่ได้
ถึงแม้แต่ละวันของมุกจะได้อยู่แค่ในห้องสี่เหลี่ยมติดแอร์ แต่เธอก็มีความสุขกับการดูหนัง Netflix สนทนากับเพื่อนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ มุกจะครบกำหนดกักตัว 14 วัน ในเช้าวันที่ 18 เมษายน นี้ แต่ก่อนเธอจะได้กลับบ้านไปหาครอบครัวอันเป็นที่รัก เธอต้องได้รับการตรวจหาเชื้อไวรัสครั้งสุดท้าย หากไม่พบเชื้อเธอจะได้รับใบรับรองแพทย์ว่าเธอสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติในสังคมได้เหมือนเดิม
สุดท้ายเธอขอขอบคุณความเสียสละของเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่ดูแลเธอ คอยส่งข้าว ส่งน้ำ หาสิ่งของที่เธอต้องการมาให้