-1-
สมัยที่ยังเป็นเด็ก เวลาเห็นฝูงแมลงปอมาบินวนๆ รอบบ้าน แม่มักบอกกับฉันว่า นั่นเป็นช่วงเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ฉันจดจำคำพูดนั้นของแม่มาตลอด ไม่เคยหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ในสิ่งที่แม่พูด แต่มันก็มักจะเป็นเช่นนั้นเสมอ ช่วงปลายฝนต้นหนาว เมื่อไหร่ที่แหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า มองเห็นฝูงแมลงปอบินวนไปมา ในอีกสองสามวันถัดมานั้น ฤดูกาลก็จะเปลี่ยนแปลงไป…
-2-
28 กรกฎาคม 1976 – ฤดูร้อนในเมืองถางซาน วันนั้น เมืองทั้งเมืองเต็มไปด้วยฝูงแมลงปอ พวกมันต่างมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน ล่วงรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับโลก มันพากันอพยพไปล่วงหน้า โดยที่มนุษย์เราเองยังไม่ทันได้ตั้งตัว
ฝางเติ้งกับฝางต้า เด็กแฝดหญิง-ชาย วัย 7 ขวบ ตื่นตาไปกับฝูงแมลงปอจำนวนมหาศาลเหล่านั้น ทั้งหมดนั่งอยู่ภายในรถ-กำลังมุ่งหน้ากลับบ้าน “บางที…อาจจะมีพายุ” ผู้เป็นพ่อคาดการณ์… ใครกันจะคาดคิดไปถึงแผ่นดินไหวที่มีอานุภาพรุนแรงขนาดเท่ากับระเบิดปรมาณู 400 ลูกได้
แล้วมันก็เกิดขึ้น…
ชั่วขณะหนึ่ง ฤทธิ์พสุธากัมปนาท เปลี่ยนสภาพเมืองให้เหลือเพียงซากปรักหักพังของสิ่งปลูกสร้าง ร่างไร้วิญญาณของพ่อ การจากไปต่อหน้าต่อตาอย่างโหดร้ายของคนที่รัก อาจไม่ทุกข์ทรมานใจเท่ากับการเป็นผู้รอดชีวิต หากเราเคยมีศรัทธาในพระเจ้าอยู่บ้าง นึกไม่ออกเลยว่าในช่วงเวลาอย่างนั้น เราควรจะขอบคุณพระเจ้าหรือไม่…
-3-
แม่ของฝางเติ้งและฝางต้าเลือกที่จะจมชีวิตตัวเองไว้ภายใต้ซากปรักหักพัง หลังจากเธอได้ตัดสินใจเลือกที่จะให้ฝางต้า-ลูกชาย ได้มีชีวิตรอด แทนฝางเติ้ง-พี่สาว แม่ที่มีโอกาสเลือกชีวิตลูกได้เพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้น ความรู้สึกมันคงไม่ต่างอะไรกับการต้องเฉือนชิ้นเนื้ออีกครึ่งหนึ่งของหัวใจทิ้งไป
บางทีค่านิยมในเรื่องการมีลูกชายของชาวจีนยุคนั้น อาจจำให้เธอต้องเลือก, บางทีอาจเป็นเพราะเชื่อในเรื่องที่พี่ต้องเสียสละเพื่อน้อง…หรือบางที ในเมื่อไม่มีหนทางอื่น เธอจำเป็นต้องเชื่อว่าผู้ที่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป คือผู้ที่จะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานใจสาหัสยิ่งกว่า
. . .
ฝางเติ้งรอดชีวิตมาได้ราวปาฏิหาริย์ เธอเติบโตมาพร้อมๆ กับบาดแผลในจิตใจ การที่ได้รับรู้ว่า แม่ไม่ได้เลือกเธอ ทำให้เธอไม่เคยแสดงตนให้แม่รู้ว่าเธอยังมีชีวิต และไม่เคยกลับไปหาแม่เลยสักครั้งตลอดระยะเวลาสามสิบกว่าปี
จนเมื่อวันหนึ่งที่เธอกับแม่ได้พบกันอีกครั้ง…
เธอได้รู้ว่า, ทุกปี แม่จะซื้อข้าวของต่างๆ อีกชุดหนึ่งเหมือนกับที่ซื้อให้ฝางต้า แล้วนำมันมาวางไว้ในหลุมศพของเธอ เธอได้รู้ว่าแม่เลือกที่จะมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวโดยไม่ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับใคร ทั้งที่แม่มีโอกาสจะทำได้, แต่แม่ก็เลือกจะมีชีวิตอยู่อย่างผู้ที่ไม่ยอมให้อภัยตัวเองเลยสักครั้ง
“ในชีวิตของลูกผู้หญิงคนหนึ่ง จะมีช่วงอายุ 30 ปีได้กี่หนกัน…ทำไมแม่ถึงเลือกใช้ชีวิตแบบนี้…”
“ก็พ่อเขายังอยู่กับแม่ทุกวัน แม่จะไปมีคนอื่นได้ยังไง”
คำขอโทษและน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาของฝางเติ้ง ราวกับจะขาดใจ
-4-
ครั้งหนึ่งในวัยเด็ก, เหลือมะเขือเทศเพียงลูกเดียวแช่อยู่ในกะละมัง แม่บอกฝางเติ้งให้แบ่งน้องกินก่อน ฝางเติ้งยินยอมโดยไม่ได้ปริปาก แต่สีหน้าเศร้าสลด
แล้วแม่ก็สัญญาว่า แม่จะซื้อมาให้ใหม่…
ในวันที่ได้เจอกันในอีก 30 ปีต่อมา ที่บ้านแม่ ฝางเติ้งมองเห็นมะเขือเทศแช่รอไว้ในกะละมัง เสียงสั่นเครือของแม่ดังขึ้นจากด้านหลัง
“เห็นมั้ย…แม่ไม่ได้ผิดสัญญา”
ครั้งหนึ่งในวัยเด็ก, มีไข่พะโล้เหลืออยู่เพียงใบเดียวในชาม ขณะที่ฉันกับพี่ชายกำลังยื้อแย่งกัน แม่เดินมาทางด้านหลัง โอบหลังพี่ชาย แล้วก้มลงบอก
“แบ่งให้น้องกินก่อนนะลูก”
ทั้งที่พี่ชายยอมแบ่งไข่ให้แต่โดยดี แต่ฉันก็เห็นความเศร้าบนใบหน้าของพี่ชาย และได้เห็นความเศร้ายิ่งกว่า ในดวงตาของแม่
. . .
แม้ยังไม่เคยมีโอกาสได้เป็นแม่ แต่ฉันก็เชื่อว่า แม่ทุกคนบนโลก อาจใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยความรู้สึกราวกับว่า ชีวิตของแม่นั้นได้สิ้นสุดลงไปแล้วเมื่อได้ให้กำเนิดชีวิตใหม่ขึ้นมา ความรักของแม่ อาจไม่ได้หมายถึงเพียงความสุขที่แม่ต้องการมอบให้ลูกเท่านั้น แต่มันหมายรวมถึงความทุกข์ที่แม่พร้อมจะทนแบกรับไว้เพื่อลูกด้วยเช่นกัน
แด่แม่, แม่ของฝางเติ้ง-ฝางต้า และแม่ทุกๆ คน
**************************************
(หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรกในคอลัมน์เรื่องเล็กในหนังใหญ่ พฤศจิกายน 2553)