ปี 2011 โรมัน ออสตริยาคอฟ โฮมเลสชาวยูเครน ถูกจับเนื่องจากขโมยชีสและไส้กรอกรวมมูลค่า 4.07 ยูโร จากซูเปอร์มาร์เก็ตในเมืองเจนัว ประเทศอิตาลี หลังลูกค้าคนหนึ่งจับได้ แล้วไปแจ้งพนักงานของร้าน
คดีถึงชั้นศาลในปี 2015 เขาถูกตัดสินให้ใช้ชีวิตในเรือนจำหกเดือน บวกกับค่าปรับ 100 ยูโร แต่ที่สุดแล้ว 2 พฤษภาคมที่ผ่านมา ก็มีการกลับคำตัดสินให้ออสตริยาคอฟพ้นผิด และได้รับอิสรภาพ
จากการอุทธรณ์ในชั้นต้นว่า ตอนที่โดนจับได้ ออสตริยาคอฟ ‘หยุด’ และไม่ได้ออกจากร้านพร้อมกับของที่ตั้งใจจะขโมย ทำให้มีการอุทธรณ์ครั้งที่สอง ซึ่งผลการตัดสินเปลี่ยนไป โดยศาลสูงของอิตาลีให้เหตุผลว่า จำเลยไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีอะไรกิน และการกระทำนั้นคือ ‘ความจำเป็น’ ที่ทำให้ต้องขโมยอาหาร ดังนั้นผู้ก่ออาชญากรรมกับอาหารจำนวนน้อยๆ เนื่องจากความหิวไม่ใช่อาชญากร
ผลการตัดสินที่ยืนยันว่า ไม่มีอะไรเป็นอาชญากรรมต่อมนุษย์ไปมากกว่าความหิว เป็นที่พูดถึงมากในบรรดาสื่ออิตาลี ว่าเป็นความลักลั่นย้อนแย้งของกระบวนการทางกฎหมาย ที่ทำให้การลักขโมยไม่นับเป็นความผิด และตั้งคำถามถึงสิทธิ์ของความหิวที่อยู่เหนือสิทธิ์การครอบครอง
สื่ออิตาลีอ้างอิงสถิติว่า ทุกๆ วันจะมีชาวอิตาเลียนตกลงไปอยู่ใต้เส้นความยากจน 615 คน การตัดสินครั้งนี้จึงไม่คำนึงถึงความเป็นจริง เพราะอาจทำให้เกิดกระแสขโมยอาหารในร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ตโดยอาศัยข้ออ้างว่า ‘หิว’ เพิ่มขึ้น เพราะขั้นตอนการดำเนินคดีขโมยอาหารมูลค่าน้อยๆ คือ ถูกจับดำเนินคดี อุทธรณ์ และท้ายที่สุดศาลก็จะตัดสินให้ปล่อยตัว
อ้างอิงข้อมูลจาก:
independent.co.uk
thelocal.it
zerohedge.com