ภาพประกอบ: antizeptic
เธอมีอายุ 70 ปี เคยเป็นเศรษฐินีผู้มั่งคั่ง ได้รับสมญา ‘แม่หม้ายดำ’ หลังจากถูกอัยการญี่ปุ่นฟ้องต่อศาลด้วยข้อหล่าวหาหลอกลวงให้สามีและเพื่อนชายสูงอายุบางคนดื่มเครื่องดื่มผสมไซยาไนด์จนตายตลอดเวลาประมาณ 10 ปี แล้วฉกฉวยรับผลประโยชน์จากเงินประกันชีวิตและทรัพย์สินมหาศาลของคนเหล่านั้น
ศาลแขวงเกียวโตพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลย ชิซาโกะ คาเกฮิ (Chisako Kakehi) ในข้อหาฆาตกรรมชายสามคน หนึ่งในจำนวนนั้นคือสามีของเธอเอง และข้อหาพยายามฆ่าชายคนที่สี่ ซึ่งต่อมาภายหลังตายด้วยโรคมะเร็ง ในตอนท้ายของการพิจารณาคดีหนึ่งอันสุดโด่งดังและตรึงคนญี่ปุ่นค่อนประเทศให้คอยติดตามข่าว
พฤติกรรมใช้สารไซยาไนด์สังหารโหดคู่รักจำนวนหนึ่งของคาเกฮิ ทำให้สื่อมวลชนญี่ปุ่นตั้งสมญา ‘แม่หม้ายดำ’ (Black Widow) ให้แก่เธอ เป็นการเปรียบเทียบกับแมงมุมชนิดหนึ่งที่สังหารคู่ของตนหลังจากเสร็จกิจผสมพันธุ์
ผู้พิพากษา อายาโกะ นาคากาวะ (Ayako Nakagawa) ระบุ “จำเลยหลอกให้พวกเหยื่อดื่มเครื่องดื่มมีส่วนผสมของไซยาไนด์ ด้วยเจตนาฆ่าให้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนในทั้งสี่คดี” ตามการรายงานของสถานีโทรทัศน์สาธารณะ NHK
ผู้พิพากษานาคากาวะปัดข้อต่อสู้ของทนายจำเลยให้ตกไป ตามที่ได้อ้างเหตุผลว่าคาเกฮิไม่อาจรับผิดทางอาญาได้ เนื่องจากเธอประสบภาวะของโรคสมองเสื่อม
คาเกฮิถูกกล่าวหาว่าฆ่าสามีคนที่สี่ อิซะโอะ คาเกฮิ (Isao Kakehi) อายุ 75 ปี เมื่อ 28 ธันวาคม 2013 หนึ่งเดือนหลังจากแต่งงาน นอกจากนี้เธอยังถูกกล่าวหาว่าฆ่าเพื่อนชายสองคนอายุระหว่าง 70-80 ปี รวมทั้งการฆาตกรรมและโจรกรรมทรัพย์ของเพื่อนชายคนอื่น ช่วงปี 2007-2013
อัยการระบุว่า เธอสังหารชายเหล่านั้นหลังจากแต่ละคนยอมลงชื่อเธอไว้ในฐานะผู้รับผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันชีวิตซึ่งมีมูลค่ารวมกันถึง 1,000 ล้านเยน (เกือบ 300 ล้านบาท) ตลอดเวลากว่าสิบปี แต่แล้วต่อมาเธอก็สูญเสียเงินเหล่านั้นไปหมดเนื่องจากขาดทุนในตลาดหลักทรัพย์
คาเกฮิมีประวัติความสัมพันธ์กับผู้ชายหลายคน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุหรือไม่ก็เจ็บป่วย โดยนัดพบกันผ่านบริษัทตัวแทนจัดหาคู่ ซึ่งเธอมักระบุไว้ว่า ชายที่เธอคาดหวังมาเป็นคู่ครองน่าจะมีฐานะร่ำรวยและไม่มีบุตร
เมื่อตำรวจเริ่มสอบสวนในฐานะผู้ต้องสงสัยว่าเป็นมือสังหาร เธอจึงได้รับสมญา ‘สตรียาพิษ’ (The Poison Lady) หลังตำรวจพบหลักซานว่าเธอซุกซ่อนไซยาไนด์และอุปกรณ์บางอย่างไว้ในกระถางต้นไม้
เจ้าหน้าที่พบร่องรอยยาพิษในร่างกายของชายอย่างน้อยสองคนที่เธอเกี่ยวข้อง และพบว่ามีเศษปนเปื้อนของไซยาไนด์ในถังขยะที่บ้านในเกียวโตของเธอ และยังพบอุปกรณ์สำหรับใช้ยาและหนังสือคู่มือทางการแพทย์เกี่ยวกับการให้ยาที่อพาร์ตเมนต์อีกแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของเมืองเกียวโต
คาเกฮิเคยปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาขณะการพิจารณาคดีเริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน แต่แล้วในทันใดเธอก็สร้างความตกตะลึงให้แก่ทุกคนเมื่อประกาศขึ้นกลางศาลยอมรับสารภาพว่า เธอสังหารสามีคนที่สี่ไปในปี 2013
“ฉันฆ่าเขา…เพราะเขาให้เงินแก่ผู้หญิงคนอื่นๆ เป็นจำนวนนับสิบล้านเยน แต่ไม่ได้ให้เงินฉันแม้แต่แดงเดียว” เธอบอกกับศาล ตามรายงานของสำนักข่าว Jiji Press
จำเลยยังแจ้งต่อศาลด้วยว่าเธอพร้อมที่จะถูกแขวนคอ
“แม้ว่าจะถูกประหารชีวิตวันพรุ่งนี้ แต่ฉันก็จะยังคงยิ้มเสมอ” คาเกฮิกล่าวกับผู้พิพากษา
“ฉันรอเวลาอันถูกต้องตามที่ฉันต้องการมาพักหนึ่งเพื่อจะฆ่าเขาเพราะความเกลียดชัง” หนังสือพิมพ์ อาซาฮี (Asahi) รายงานว่าเธอกล่าวเช่นนี้ในศาล
เครือข่ายโทรทัศน์ฟูจิรายงานคำบอกเล่าของเธอว่า การฆาตกรรมเป็นเพียง ‘เรื่องเงิน’ เท่านั้นเอง
แต่แล้วในสองสามวันถัดมาวัน คาเกฮิดูเหมือนจะถอนคำพูดของเธอ หนังสือพิมพ์ Mainichi รายงานสิ่งที่เธอกล่าว: “ฉันจำไม่ได้ (ว่าพูดสิ่งใด)” ซึ่งดูเหมือนเป็นความพยายามกลบเกลื่อนและทำให้สอดคล้องกับเหตุผลในข้อต่อสู้ที่ทนายจำเลยยกขึ้นต่อศาล
ระบบยุติธรรมทางอาญาของญี่ปุ่นถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากหลังจากคาเกฮิถูกจับกุม บางคนตั้งคำถามว่า เหตุใดหลังการเสียชีวิตของคนรักของเธอบางคนก่อนหน้านั้นจึงไม่เป็นที่สงสัยของทางการ ในบางกรณีการชันสูตรศพก็ไม่ได้ทำอย่างละเอียด แม้ว่ามีการพบไซยาไนด์ในร่างของผู้ชายแล้วอย่างน้อยหนึ่งในจำนวนเหล่านั้น
ตลอดการพิจารณาคดีแบบมาราธอนนาน 135 วัน อันสุดโด่งดัง แต่ละวันมีผู้คนกว่า 500 คนรอคิวเข้าห้องพิจารณาคดีในเกียวโตเพื่อรับรู้กระบวนการพิจารณา นี่เป็นคดีที่ยาวนานที่สุดอันดับสองของคณะลูกขุนนับตั้งแต่ปี 2009 เมื่อญี่ปุ่นเริ่มนำระบบพิจารณาคดีผสมที่มีทั้งผู้พิพากษากับคณะลูกขุนมาใช้
เหล่าทนายความของ ‘แม่หม้ายดำ’ ประกาศว่าจะอุทธรณ์คำพิพากษาให้ประหารชีวิต ซึ่งหมายความว่าคดีจะยังคงยืดเยื้อต่อไปอีก