เรื่อง: ณัฐกานต์ ตำสำสู
บทสัมภาษณ์เศร้าสร้อยของคนรอบตัวผู้กำกับสาวชาวฟิลิปปินส์ บอกเล่าเรื่องราวความทรงจำส่วนตัวแต่กลับสะท้อนบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์ ผ่านมุมมองของคนในแต่ละยุคสมัยได้ออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ทั้งภาษาพูดในตัวละคร และภาษาภาพที่ตัวหนังได้ถ่ายทอดออกมา
War is a Tender Thing ภาพยนตร์สารคดีจากประเทศฟิลิปปินส์ กำกับโดย อัดจานี อารุมปัก นำเสนอเรื่องราวผู้คนในครอบครัวและญาติพี่น้องของผู้กำกับในการผ่านช่วงเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์ นั่นคือการแบ่งแยกดินแดนและการต่อสู้เพื่อเสรีภาพในมินดาเนา
ประเด็นปัญหาคือความขัดแย้งระหว่างคริสเตียนและมุสลิม สงครามระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มกบฏชาวโมโรที่ต้องการแยกตัวเป็นอิสระ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ได้สร้างความเจ็บปวดระหว่างผู้คนสองศาสนาตลอดมา อีกทั้งหนังยังพูดถึงกระบวนการสันติภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นในฟิลิปปินส์ ซึ่งสืบเนื่องมาจากการลงนามสันติภาพระหว่างรัฐบาลฟิลิปปินส์กับแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร (MILF) เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
อัดจานี อารุมปัก ผู้กำกับภาพยนตร์และคนเขียนบทภาพยนตร์อิสระจากเกาะมินดาเนา ประเทศฟิลิปปินส์ ก่อนหน้านี้เธอมีผลงานกำกับภาพยนตร์สารคดีขนาดยาว เช่น Walai (2006) ภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับชีวิตผู้หญิงท่ามกลางความขัดแย้งบนเกาะมินดาเนา และ Nanay Mameng (2012) ภาพยนตร์สารคดีว่าด้วยชีวิตของนักกิจกรรมเพื่อคนจนในฟิลิปปินส์
War is a Tender Thing เป็นภาพยนตร์ที่เธออยากจะทำมาตั้งแต่ต้น เพราะมันเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเธอที่สุด เกี่ยวกับประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับครอบครัวและญาติพี่น้องของเธอ
อัดจานีมีพ่อเป็นมุสลิม แม่เป็นคริสเตียน ความเจ๋งของอัดจานีคือการที่สามารถเล่าเรื่องความซับซ้อนผ่านตัวละครร่วมสมัย ตั้งแต่บรรพบุรุษรุ่นทวด บอกเล่าประวัติศาสตร์เป็นขั้นๆ ออกมา โดยผ่านคำพูดของคนธรรมดา
อัดจานี อารุมปัก ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง War is a Tender Thing
War is a Tender Thing หรือในอีกความหมายหนึ่งคือ “อันสงครามนั้นเปราะบาง” ในตลอดระยะเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ของหนัง แทบไม่มีภาพของความรุนแรงปรากฏขึ้นเลย อัดจานีใช้วิธีการเล่าอย่างนุ่มนวล เรียบง่าย ไม่พูดถึงความรุนแรง แต่พูดถึงจิตใจอันเปราะบางของผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในมินดาเนา หากมองย้อนกลับมายังภาคใต้ของไทย จะพบความคล้ายคลึงกันในหลายๆ เรื่อง อาจจะด้วยบรรยากาศในหนัง วิถีชีวิตผู้คน และสำเนียงภาษาที่ผู้เขียนได้สัมผัสหลังจากการดูหนัง ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ที่จะย้อนกลับมามองถึงการพูดถึงกระบวนการสันติภาพในสามจังหวัดชายแดนใต้ของไทย
“ประวัติศาสตร์มันอยู่ในที่ที่ผู้คนนึกไม่ถึง มันอยู่ในอารมณ์ของคน ถ้าเราอ่านในหนังสือประวัติศาสตร์ จะรู้สึกว่ามันมีแต่ข้อเท็จจริง มีแต่ข้อมูล แต่มันมีบางอย่างหายไป เพราะประวัติศาสตร์มันถูกเก็บใว้ในอารมณ์ของผู้คนเหล่านั้น ไม่ได้ถูกเก็บใว้ในหนังสือ” อัดจานีพูดถึงประเด็นในหนังของตัวเอง
เธอยังบอกต่ออีกว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น เพียงเพราะเราอยากรักษาบ้านตัวเอง ไม่ว่าใครๆ ก็อยากรักษาบ้านของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น ทุกคนต้องต่อสู้กับนโยบายของรัฐบาล เพราะการต้องการสันติภาพของแต่ละฝ่ายไม่เหมือนกัน
หลังจากที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ก็พบว่า คนที่อินกับประวัติศาสตร์ และคนที่เห็นความสำคัญของประวัติศาสตร์นั้นมีใครบ้าง คนเหล่านี้ก็คือคนที่มีชีวิตผ่านช่วงเวลาของสงครามมา ได้รู้ ได้เห็น ได้พลัดพราก ได้มีความรู้สึกร่วมกับประวัติศาสตร์ ซึ่งมันเป็นบาดแผลที่สะท้อนออกมาได้ดีมากๆ และอัดจานีทำให้อารมณ์ร่วมเหล่านี้มันสวยงาม ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องเศร้า
ช่วงหนึ่งของหนัง อัดจานีพาคุณย่าของเธอกลับไปเยี่ยมบ้านเก่าภายในเกาะมินดาเนา ซึ่งพื้นที่ตรงนั้นเคยมีสงครามเกิดขึ้นในอดีต ภาพหญิงชราสองคนร้องเรียกหา และโผเข้ากอดกัน หลังจากไม่ได้เจอกันมาหลายสิบปี น้ำตาของตัวละครแทบจะดึงน้ำตาของคนในโรงออกมาด้วย ณ ขณะนั้น แน่นอนว่ามันไม่ได้เป็นน้ำตาที่เกิดจากการบิ้วท์อารมณ์เพื่อแสดงออกมา แต่มันคือน้ำตาที่เกิดจากความรู้สึกจริงๆ ข้างใน
“เค้าเคยเป็นพี่สะใภ้ของฉัน เราเคยรักกันมาก ฉันจะไปเกลียดเค้าได้ยังไง เค้าเป็นพี่สะใภ้ฉัน” หญิงชราคนหนึ่งพูดกับย่าของอัดจานีด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
เราต่างเข้าใจความรู้สึกของหญิงชราคนนี้ดี แต่มีสิ่งหนึ่งที่กระตุกต่อมในใจขึ้นมาคือ ทำไมความสัมพันธ์ของผู้คนเหล่านี้ถึงต้องสะบั้นลงในช่วงเวลาหนึ่ง ทำไมผู้คนเหล่านี้ต้องพลัดพราก อะไรทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับพวกเขา หรือเพียงแค่พวกเขาต่างศาสนากัน สุดท้ายเรื่องราวที่อัดจานีนำเสนอมันก็เฉลยให้เราได้เห็น
บางทีสิ่งนี้ที่เรียกว่า ‘บาดแผล’
การที่ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้พูดถึงสันติภาพในรูปแบบของความทรงจำ มากกว่าจะพูดในรูปแบบของเสียงคำรามจากปืน หรืออาวุธ ทำให้เราต้องย้อนกลับมามองถึงกระบวนการสันติภาพทางภาคใต้ ทางออก และฟังกันมากขึ้น ในที่นี้อาจไม่ได้หมายถึงการรับฟังข้อมูลทางประวัติศาสตร์ แต่มันหมายถึงการฟังเสียงภายในจิตใจที่เปราะบางของผู้คนที่ยังต้องดำเนินชีวิตต่อไป ภายใต้ความขัดแย้งที่ยาวนาน.
หมายเหตุ:
ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (Deepsouth) ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์กรมหาชน) และ Film Kawan (ฟิล์ม กาวัน) คือส่วนหนึ่งขององค์กรร่วมจัดและพยายามนำหนังเรื่องนี้เข้ามาฉายให้ผู้ที่สนใจได้ชมและร่วมพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นปัญหาด้านสันติภาพ ในงานยังมีการฉายภาพยนต์สั้นจากไทยหนึ่งเรื่อง คือ สันติแค่ภาพ โดย กูยี อิแต และไฮไลท์ของงานคือการฉายภาพยนตร์สารคดีเรื่อง War is a Tender Thing ของ อัดจานี อารุมปัก
ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือได้ว่ายังไม่ได้รับการเผยแพร่ในวงกว้างมากนัก เพราะตัวหนังยังมีความละเอียดอ่อนในด้านประเด็นอยู่มาก ซึ่งต้องรอดูกันว่าหนังจะออกมาสู่สายตาของคนที่เฝ้ารอดูอีกครั้งเมื่อไหร่