อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ: ประวัติศาสตร์ความโป๊ที่เลื่อนไหลในสังคมไทยที่ลักลั่น

ความโป๊เปลือยในสังคมไทยเขยื้อนเลื่อนไหลไปตามกาลเวลา ในสมัยหนึ่งการเปลือยเรือนร่างท่อนบนของสตรียังถือเป็นเรื่องธรรมดาในภูมิประเทศเขตร้อนชื้น รวมถึงประเทศไทย และไม่เคยถูกนับว่าเป็นเรื่องบัดสี

ในสังคมสยามสมัยรัชกาลที่ 5 ความหมายของคำว่า ‘โป๊’ ที่ผู้คนใช้พูดกันยังห่างไกลจากเรื่องเพศลิบลับ มิหนำซ้ำยังถูกตั้งเป็นชื่อคน ไม่ว่าจะเป็นระดับชนชั้นใด ไล่ตั้งแต่ชาวบ้านยันเจ้าพระยานาหมื่น

อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ นักอ่าน นักคิด นักเขียน และนักประวัติศาสตร์ เจ้าของรางวัลแฟนพันธุ์แท้วรรณกรรมซีไรต์ เจ้าของหนังสือ ผจญไทยในแดนเทศ (2563) และวิทยานิพนธ์เรื่อง บุรุษบันเทิง: สื่อบันเทิงกามารมณ์ในสังคมไทยทศวรรษ 2450-2500 เป็นผู้ศึกษาความเป็นมาเป็นไปของหนังสือโป๊ที่หาตัวจับได้ยากคนหนึ่ง 

งานของอาชญาสิทธิ์ไม่เพียงศึกษาประวัติศาสตร์วรรณกรรมโป๊ แต่ยังฉายให้เห็นภูมิทัศน์ทางการเมือง พร้อมกับถอดรหัสวัฒนธรรมที่ซุกซ่อนอยู่ในสังคม ณ ขณะนั้นได้เป็นอย่างดี ทั้งยังเผยให้เห็นระบบคุณค่าและกรอบศีลธรรมของสังคม ตลอดจนเป็นภาพสะท้อนการต่อสู้และต่อรองในเรื่องเพศของสังคมไทยร่วมสมัย

คุณรู้จักหนังสือโป๊ครั้งแรกตอนไหน

ครั้งแรกที่ได้เห็นหนังสือโป๊ คือตอนเข้าค่ายลูกเสือในค่ายทหาร ผมสมัครเป็นลูกเสืออากาศ ได้คลุกคลีกับเพื่อนหลายห้อง ซึ่งส่วนใหญ่จะเฟี้ยวๆ หน่อย พวกนี้ก็จะนำเข้าอะไรแปลกใหม่ที่เราไม่คุ้นอย่างเช่น บุหรี่ยี่ห้อกาแรม (Gudang Garam) จากตลาดกิมหยง และหนังสือโป๊ที่โด่งดังสมัยนั้น เช่น นวลนาง หรือ สาวสะเด็ด 

พวกเขาแอบเอามาอ่านแล้วก็พากย์เสียงตาม ผมก็พลอยรู้จักไปด้วย นั่นคือตอนที่รู้จักหนังสือโป๊ครั้งแรก แต่ไม่ได้มองว่ามันมีคุณค่า เพราะระบบการศึกษาในโรงเรียนสอนเราว่า คนอ่านหนังสือโป๊เป็นคนไม่ดี ครูก็มักจะบอกว่า พวกนี้ไม่ดี คนดีต้องอ่านหนังสือเรียนเตรียมสอบ เตรียมตัวจะเข้าสายวิทย์-สายศิลป์

อะไรทำให้คุณหันมาสนใจและศึกษาหนังสือโป๊อย่างจริงจัง

ผมชอบอ่านวรรณกรรม สมัยนั้นใครก็ตามที่สนใจวรรณกรรมจะต้องอ่านงานของ ‘สิงห์สนามหลวง’ หรือ สุชาติ สวัสดิ์ศรี เพราะใครๆ ก็ยกให้คุณสุชาติเป็นผู้รู้ในด้านหนังสือวรรณกรรม ผมตามอ่านจนพบว่า คุณสุชาติเคยพูดถึง ‘ครูเหลี่ยม’ (เหลี่ยม วินทุพราหมณกุล หรือ หลวงวิลาศปริวัตร) นักเรียนทุนวิชาครูรุ่นแรกที่ถูกส่งไปศึกษาต่อที่อังกฤษในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นทั้งนักประพันธ์มือฉมังและคนเขียนหนังสือโป๊รุ่นบุกเบิก ผมจึงเริ่มสนใจว่าครูเหลี่ยมคือใคร 

ตอนเป็นนักศึกษาปริญญาตรีปี 3 ผมต้องทำสารนิพนธ์ ซึ่งคล้ายๆ วิทยานิพนธ์ขนาดย่อ ประมาณสัก 60-70 หน้า เหมือนให้นักศึกษาได้ฝึกวิธีวิจัย ผมเสนออาจารย์ไปว่าสนใจทำสารนิพนธ์เรื่องหนังสือโป๊ของครูเหลี่ยม มันแปลกและเท่ดี น่าจะยังไม่มีใครทำ ตอนนั้นผมคิดแบบเกรียนๆ นักศึกษาคนอื่นเขาสนใจเรื่องปกติ เรื่องสังคมหรือการเมืองสยาม แต่ผมกลับสนใจความโป๊ของสยาม

พอเสนอหัวข้อนี้ไป อาจารย์ผู้หญิงท่านหนึ่งก็บอกว่า อย่าทำเรื่องนี้เลย ทำไมไม่ทำเกี่ยวกับหนังสือพระ หรือหนังสืออื่นๆ ยุครัชกาลที่ 5 ประเภทแสดงกิจจานุกิจที่เสนอความเป็นวิทยาศาสตร์และเป็นสมัยใหม่ หรือไม่ก็ไปศึกษาหนังสือเกี่ยวกับทหารอย่างที่นักเรียนสายประวัติศาสตร์ชอบทำกัน อาจารย์ท่านบอกให้เก็บหนังสือโป๊ไว้เป็นความสนใจส่วนตัว ถ้าไม่ทำหนังสือพระ ก็ลองดูว่ามีอย่างอื่นให้ทำอีกไหม 

ผมพยายามเสนอว่า ผมสนใจครูเหลี่ยมจริงๆ แต่อาจารย์บอกว่าอย่าทำเรื่องโป๊เลย ถ้าสนใจครูเหลี่ยมจริงๆ ลองดูงานประเภทอื่นๆ ของเขาได้ไหม เผื่อมีอะไรน่าสนใจกว่านั้น แล้วผมก็นึกขึ้นได้ สิงห์สนามหลวงเขียนไว้ว่า นอกจากหนังสือโป๊แล้ว ครูเหลี่ยมเคยทำหนังสือแนวล้อเลียนด้วย

ครูเหลี่ยมคือใคร

ครูเหลี่ยมแกเป็นนักเรียนนอก ไปเรียนที่อังกฤษช่วงทศวรรษ 2420-2430 แต่ครูเหลี่ยมเรียนไม่ทันจบเพราะโดนเพื่อนแกล้งหลอกผี คือครูเหลี่ยมนั่งอ่านหนังสือ ซึ่งในยุคนั้นยังไม่มีไฟฟ้า มีแต่โป๊ะไฟ เพื่อนคนหนึ่งก็เอาผ้าไปโยนใส่โป๊ะไฟ ทีนี้คนมันตกใจแล้วเหมือนเสียเส้นอะไรไปสักอย่าง จนต้องไปหาหมอที่อังกฤษ ครูเหลี่ยมก็เลยถูกวินิจฉัยว่าคงเรียนต่อไม่ได้แล้ว เพราะมีอาการทางประสาท ให้ส่งกลับมาเมืองไทย

พอกลับเมืองไทย ครูเหลี่ยมได้เป็นครูสอนหนังสือที่สวนกุหลาบ แต่ไม่สามารถรับราชการได้ เพราะมีอาการทางประสาท ครูเหลี่ยมจึงไปคลุกคลีกับแวดวงคนทำหนังสือแทน เพื่อนๆ ของครูเหลี่ยมที่เรียนจบนอกแล้วกลับไทยก็ไม่ได้ทอดทิ้ง เขาก็ชวนมาทำหนังสือ ลักวิทยา ด้วยกัน ซึ่งเนื้อหาในหนังสือจะเป็นการแปลและแปลงงานจากต่างประเทศมาหมดเลย พูดตรงๆ คือ ‘ลัก’ ขโมยงานเขามา ยุคนั้นเหตุผลหนึ่งที่คนจะทำหนังสือก็คือ ว่าง ไม่รู้จะทำอะไร เหมือนทำหนังสือเป็นของเล่นด้วยซ้ำ ก็เลยไม่แปลกที่คนทำหนังสือยุคนั้นมักเป็นชนชั้นนำหรือขุนนาง ครูเหลี่ยมคงรู้สึกว่า ลักวิทยา มันไม่สนุก เพราะไปลอกเขามาอย่างเดียว 

ผมต้องเท้าความว่า ตอนนั้นมีหนังสือค่ายหนึ่งออกมาชื่อว่า ถลกวิทยา ซึ่งอาจจะเป็นความคิดครูเหลี่ยมก็ได้ แต่ครูเหลี่ยมไม่ออกตัว ถ้า ลักวิทยา ทำอะไรออกมา เขาจะไปถลกให้หมด ถ้า ลักวิทยา เขียนออกมาเรื่องหนึ่ง ถลกวิทยา ก็จะเขียนอีกเรื่องเพื่อแก้ อำ หรือล้อเลียน ผมก็เอาเรื่องราวประมาณนี้ไปเสนออาจารย์อีกครั้งเพื่อทำสารนิพนธ์

เดาว่าคราวนี้อาจารย์ให้ผ่าน? 

อาจารย์บอกว่า งั้นคุณทำเรื่องนี้แหละ อยากทำเรื่องครูเหลี่ยมก็ทำเรื่อง ถลกวิทยา ก็ได้ แต่ถ้าทำ ถลกวิทยา อย่างเดียวก็จะไม่เห็นปมหรือประเด็นอะไร ผมเลยทำการโต้แย้งกันระหว่าง ลักวิทยา กับ ถลกวิทยา มันเลยเป็นประเด็นทางประวัติศาสตร์ขึ้นมาได้คือ ลักวิทยา ทำอย่างไร เป็นจุดเปลี่ยนของสังคมไทยอย่างไร แล้ว ถลกวิทยา ทำยังไง จุดเปลี่ยนคืออะไร สุดท้ายเลยกลายเป็นสารนิพนธ์เล่มจบ 

พอศึกษาเรื่องนี้ทำให้เห็นว่าครูเหลี่ยมไม่ใช่คนธรรมดา แม้ในภาษาปัจจุบันอาจจะเรียกได้ว่า แกเพี้ยนๆ ต๊องๆ แต่จริงๆ แกเป็นคนเก่งมาก จนผมรู้สึกทึ่งในตัวครูเหลี่ยม เพราะแกเป็นคนริเริ่มที่จะทำอะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา เราจะเห็นว่าครูเหลี่ยมมีสำนึกบางอย่าง เช่น การตั้งคำถามว่าทำไมเราต้องเป็นเหมือนอังกฤษ แต่วิธีที่ครูเหลี่ยมใช้เป็นวิธีการของอังกฤษ เพื่อเอามามาตลบหลังอังกฤษ เพียงแต่อังกฤษที่ครูเหลี่ยมโต้นั้น ไม่ใช่คนอังกฤษในประเทศอังกฤษ แต่คือความเป็นอังกฤษที่จำแลงมาในรูปของนักเรียนนอกอังกฤษอีกกลุ่ม ซึ่งก็คือเพื่อนครูเหลี่ยมนั่นแหละ

ลักวิทยา พยายามเผยแพร่ความเป็นอังกฤษตามรสนิยมของพวกนักเรียนนอก แต่สิ่งที่ครูเหลี่ยมทำใน ถลกวิทยา หรือกระทั่ง อุตริวิทยา และ สำราญวิทยา ที่แกทำในตอนหลัง คือการพยายามจะโต้ว่าความเป็นอังกฤษไม่ต้องเป็นอย่างนั้นก็ได้ โดยเอาวิธีการของนักเรียนอังกฤษพวกนั้นแหละมาใช้โต้พวกเขาเอง 

เมื่อเรียนปริญญาโท ผมก็ยังคาใจและรู้สึกว่า ครูเหลี่ยมมีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะ แต่ตอนนั้นผมคิดว่าคงตามเรื่องครูเหลี่ยมต่อไม่ได้แล้ว เพราะไม่สามารถหาหลักฐานหนังสือโป๊อันลือลั่นของครูเหลี่ยมได้

แต่สุดท้ายแล้วคุณก็ได้ทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับหนังสือโป๊?

ตอนแรกผมจะทำเรื่องหอยนางรม เพราะอ่านงานของ แฟร์นองด์ โบรเดล (Fernand Braudel) นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เขาคือคนที่เขียนวิทยานิพนธ์ในคุกหลังโดนจับช่วงสงครามโลก คนบ้าอะไรวะ ชีวิตอย่างเท่เลย โบรเดลเขียนเรื่องทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยหันหลังให้แผ่นดิน มองไปยังทะเล เพื่อศึกษาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในทะเลมันส่งผลกระทบต่อแผ่นดินอย่างไรบ้าง

แต่ดูไปดูมา ผมรู้สึกว่าโบรเดลเก่งเกินไป งานศึกษาของเขาพูดถึงทะเลก็จริง แต่เมดิเตอร์เรเนียนเป็นทะเลที่มีชายฝั่งติดกับหลายประเทศมากๆ งานของโบรเดลก็เลยทำให้เราเห็นทั้งมิติเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศต่างๆ เช่น อิตาลี ฝรั่งเศส ผมรู้สึกว่า ถ้าต้องทำแบบนั้น ผมตายแน่เลย เพราะมีความสนใจแค่นิดหน่อย ไม่สามารถออกทะเลได้ขนาดนั้น ผมเลยกลับมาสนใจเรื่องวรรณกรรมของครูเหลี่ยมอีกครั้ง 

อาจารย์ที่ปรึกษาก็เลยบอกว่า ถ้าอยากทำก็ต้องหาหลักฐานให้ได้ บังเอิญในปีนั้นมีคนลงข่าวว่า พบหนังสือ กล่อมครรภ์ (เชื่อกันว่าเป็นหนังสือโป๊เล่มแรกของไทย เขียนโดยครูเหลี่ยม-กองบรรณาธิการ) ซึ่งเจ้าของหนังสือเล่มนั้นคือ พี่อ้วน-ธงชัย ลิขิตพรสวรรค์ จากสำนักพิมพ์ต้นฉบับ แล้วช่วงนั้นพี่อ้วนเปิดพื้นที่ให้นักวิจัยและนักศึกษาสามารถเข้าไปดูงานที่สำนักพิมพ์ได้ ผมจึงเข้าไปและมีโอกาสถามพี่อ้วนว่า มี กล่อมครรภ์ ไหม พี่อ้วนก็ใจดีให้ผมกลับมาดูอีกทีวันหลัง 

สรุปโดยย่อ หนังสือ กล่อมครรภ์ พูดถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่ท้องไม่มีพ่อแล้วต้องการทำแท้ง เธอเลือกใช้บริการหมอเถื่อนนายหนึ่งชื่อ ‘นายแพทย์ยอน’ แต่หมอยอนรู้สึกผิดบาปที่ต้องทำแท้ง ทั้งยังเสียดายความสวยของหญิงสาว เขาจึงหลอกให้เธอมีเซ็กส์ด้วย โดยอ้างว่านั่นเป็นวิธีทำแท้ง บังเอิญว่าวันที่ 3 ที่ทั้งคู่กำลังมีอะไรกัน แคร่ในโรงนาเกิดหักขึ้นมา จนทำให้หญิงสาวตกลงมาแท้งพอดี

นั่นเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นหนังสือโป๊ของครูเหลี่ยม ผมเลยรู้สึกว่า เรามีอนาคตแล้วล่ะ เพราะอย่างน้อยก็ได้เห็นหลักฐานหนึ่งเล่มแล้ว เลยตัดสินใจทำวิทยาพนธ์เรื่องนี้อย่างจริงจัง

งานของครูเหลี่ยมมีลักษณะอย่างไร และมีบทบาทต่อวงการสิ่งพิมพ์กามารมณ์ ณ ขณะนั้นอย่างไร

วรรณคดีที่นำเสนอเรื่องเพศมีมานานแล้ว แต่อยู่ในรูปแบบ ‘บทอัศจรรย์’ ซึ่งเป็นบทร้อยกรองที่อำพรางด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ เช่น พระอภัยมณี เราจะเห็นฉากเซ็กส์ที่พูดผ่านเรือ ทั้งเรือสำเภาหรือเรือที่มักปรากฏบ่อยๆ คือ เรือไหหลำ ซึ่งมันผวนได้ ฉากประจำก็เช่นว่า เรือไหหลำล่องไปในทะเล โดนคลื่นซัดแรง จนเรือล่มปากอ่าว นักกวีบางคนอาจเปรียบเปรยเซ็กส์กับแมลง เช่น แมลงภู่บินไปหยอดอะไรบางอย่างในดอกไม้ หรือไม่ก็แมลงทับท่องเที่ยวสะเทือนดง คือเขาจะเล่าด้วยความเปรียบซึ่งต้องใช้จินตนาการล้วนๆ แต่เป็นอันรู้กันว่ากำลังพูดถึงเรื่องเพศนะ นี่คือขนบแบบเก่า จะไม่พูดตรงๆ 

แต่ใน กล่อมครรภ์ จะบรรยายให้เห็นเลยว่า คนมีเพศสัมพันธ์กันอย่างไร มันเห็นเนื้อหนัง เห็นมัดกล้ามเนื้ออย่างไร แต่ถึงแม้จะพูดชัดขึ้น งานครูเหลี่ยมก็ยังติดอิทธิพลการเปรียบเปรย และเลี่ยงไปใช้คำทับศัพท์จากภาษาอังกฤษ เช่น พูดถึงอวัยวะเพศผู้หญิงว่า ‘แคมคั้ณต์’ หรือไม่ก็ใช้คำว่า ‘ปีนิส’ ทับศัพท์ไปเลย ในเรื่อง กล่อมครรภ์ ครูเหลี่ยมก็เปรียบอวัยวะเพศของนายแพทย์ยอนเป็นนาคราช นี่คือความพิเศษของงานครูเหลี่ยมที่แสดงให้เห็นเรือนร่างและบรรยายอย่างออกรส

แล้วคำว่า ‘โป๊’ คืออะไร มีที่มาที่ไปอย่างไร

ปัจจุบันพอพูดคำว่า ‘โป๊’ ในเมืองไทย คนจะนึกถึงเรื่องเพศโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าย้อนไปสมัยรัชกาลที่ 5 คำว่าโป๊ไม่ได้ทำให้คนนึกถึงเรื่องเพศ เขาอาจจะคิดถึงชื่อคนด้วยซ้ำไป ตอนนั้นมีคนชื่อหม่อมโป๊ อำแดงโป๊ นายโป๊ ขุนโป๊ พระยาโป๊ เยอะแยะ เพราะโป๊ไม่ได้มีความหมายเชื่อมโยงกับเรื่องเพศ แต่มาจากภาษาจีนที่แปลว่า เพิ่มหรือเติมเข้าไป แบบโป๊สี หรือยาโป๊เพิ่มพลัง แทบไม่มีใครนึกถึงเรื่องเพศเลย

มีคนพยายามอธิบายว่า โป๊ในความหมายที่เกี่ยวกับเรื่องเพศเกิดขึ้นได้ยังไง บางคนเสนอว่า ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 พวกทหารอาสาในกองทัพฝรั่งเศสเริ่มนำเข้าโปสการ์ดที่เป็นรูปเปลือย ภาพนู้ด หรือเป็นภาพคนมีเพศสัมพันธ์กันเลยก็มี เขาจึงเสนอว่า คำว่าโป๊อาจจะมาจากคำว่า โปสหรือโปสการ์ดในสำเนียงฝรั่งเศสนี่แหละ แต่คำอธิบายนี้ก็ถูกแย้งในภายหลังว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ 

ในงานของผมก็พยายามเสนออีกทาง เมื่อเราพูดถึงประวัติศาสตร์โสเภณีในเมืองไทย ชื่อของ ‘ยายแฟง’ โสเภณีที่ร่ำรวยขนาดบริจาคเงินสร้างวัด เช่น วัดใหม่ยายแฟง วัดคณิกาผล มักถูกยกขึ้นมา แล้วยายแฟงคนนี้มีอีกชื่อว่า ‘ยายโป๊’ ผมจึงพยายามเสนอในงานวิทยานิพนธ์ว่า เป็นไปได้ไหมว่า คำว่าโป๊ถูกเชื่อมโยงกับเพศสัมพันธ์ผ่านคนที่ไปเที่ยวซ่องยายแฟงหรือก็คือสำนักยายโป๊นี่แหละ แต่ก็มีคนแย้งว่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นหรอก

อีกทฤษฎีที่ผมเสนอไว้ในวิทยานิพนธ์คือ ช่วงที่เริ่มมีหนังเข้ามาฉายในประเทศไทยราวๆ ทศวรรษ 2450-2460 คนที่เอาหนังมาฉายส่วนใหญ่จะเป็นคนจีน หนังในยุคนั้นเป็นหนังเงียบ ไม่มีเสียง ส่วนใหญ่เป็นสารคดีข่าว ยังไม่ได้เน้นความบันเทิงนะ เน้นฉายภาพเคลื่อนไหว ภาพข่าว ภาพคน ไปแอบถ่ายกิจวัตรประจำวันของคนมาทำเป็นหนังก็มี เช่น หนังของพี่น้องลูมิแอร์ (Auguste Lumiere-Louis Lumiere) ที่ถ่ายคนเดินออกจากโรงงานหรือคนเดินลงจากรถไฟ 

ทีนี้หนังพวกนั้นบางม้วนก็สั้น บางม้วนก็ยาว คนฉายหนังคิดว่า ถ้าหนังสั้นเกินไป อาจตรึงคนได้ไม่นานและเก็บเงินได้น้อย เขาก็เลยเอาหนังแต่ละม้วนมาเชื่อมกันให้ยาวขึ้น โดยเฉพาะหนังหวาบหวิวหน่อยๆ ที่จะถ่ายฝรั่งหรือผู้หญิงแถบบาหลีนุ่งกระโจมอก พอเข้าฉากแล้วนัดแนะให้นักแสดงแกล้งทำกระโจมอกหลุด ทำให้คนฮือฮา มีบันทึกเล่าว่า ช่วงหนึ่งที่ฉายหนังกลางแจ้ง แล้วนักแสดงทำกระโจมหลุดแต่หันหลังให้คนดู คนไทยตื่นเต้นมาก ถึงกับวิ่งจากด้านหน้าจอไปดูด้านหลังจอ เพราะคิดว่าจะเห็นหน้าอก แต่ก็ไม่เห็นอะไร (หัวเราะ) นี่คือความหัวใสของคนจีนที่เอาภาพวาบหวิวของสาวๆ มาเชื่อมกับหนังเรื่องอื่นๆ ให้ม้วนหนังยาวขึ้น เขาก็เลยเรียกว่า ‘หนังโป๊’ หรือหนังที่เพิ่มเข้าไป 

ถ้าก่อนยุครัชกาลที่ 5 ยังไม่มีการใช้คำว่า ‘โป๊’ ในความหมายทางเพศ แล้วเขาใช้คำว่าอะไร 

เขาก็ใช้คำตรงๆ หรือไม่บางทีก็เลี่ยงไปเลย สมมุติว่ามีคนร่วมเพศกัน เขาก็ใช้คำว่าร่วมเมถุนหรือเสพเมถุนเลย บางคนก็ใช้คำว่ากระทำอนาจาร แต่ในยุคก่อนๆ อนาจารจะหมายถึงการทำอะไรที่ค่อนข้างขายหน้าหรือทำอะไรที่น่าเกลียดมากกว่า เช่น ผัวไปตามเมียกลับบ้าน แล้วเมียผ้าหลุดลุ่ย เขาจะเรียกว่ากระทำอนาจารต่อหน้าธารกำนัล

ส่วนคำว่า ‘ลามก’ แปลว่า ไม่ดี ในยุครัชกาลที่ 6 หรือรัชกาลที่ 7 สมมุติถ้าเราไปด่าแม่ใคร หรือสบถใส่ใครว่า ไอ้ชาติหมา ไอ้งี่เง่า เขาอาจฟ้องเราฐานกระทำลามกได้ เพราะคุณทำสิ่งไม่ดี เรื่องทำนองนี้เป็นคดีเยอะแยะในศาล จนหลังๆ คดีมันรกศาลมาก จึงพยายามนิยามใหม่ว่า คำว่าลามก ต้องเกี่ยวกับเรื่องเพศ ถ้าด่ากันเรื่องอื่นๆ ก็ให้พิจารณาเป็นคดีหมิ่นประมาทหรือเป็นความหยาบคายทั่วไป

สื่อโป๊เริ่มเฟื่องฟูสมัยรัชกาลที่ 5-6 ซึ่งเป็นช่วงที่วัฒนธรรมตะวันตกเริ่มเข้ามา แต่ขณะเดียวกันสิ่งที่มาพร้อมกันในช่วงนั้นคือองค์กรตำรวจ คำถามคือ เกิดการเซ็นเซอร์หนังสือโป๊ด้วยไหม 

ประมาณ ร.ศ. 127 ประมวลกฎหมายอาญาฉบับแรกของไทยมีมาตราหนึ่งที่ห้ามทำและห้ามเผยแพร่วัตถุลามกอนาจาร มีการระบุโทษเอาไว้ชัดเจน แต่กฎหมายมาตรานี้ไทยได้รับอิทธิพลมาจากฝรั่งเศส คนร่างคือ ยอร์ช ปาดูซ์ (Georges Padoux) ซึ่งในความเป็นจริง กฎหมายฉบับนี้แทบไม่ถูกใช้เลย เพราะคนทั่วไปยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลามกอนาจารคืออะไร 

ถ้าพูดในเชิงประวัติศาสตร์ กฎหมายหลายฉบับของสยามมีไว้เพื่อความศิวิไลซ์ ชาติอื่นจะได้ไม่มองว่าเราป่าเถื่อน แต่แทบไม่ได้บังคับใช้จริงๆ เลย แม้เราจะมีกฎหมายที่พิจารณาคดีแบบสมัยใหม่แล้ว แต่ตามหัวเมืองต่างๆ ยังใช้จารีต คือเอาไปเฆี่ยนตีอยู่เลย ยกตัวอย่างเช่น ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 มีร่างทรงผู้หญิงคนหนึ่งทางหัวเมืองอีสานถูกจับ ซึ่งตามกฎหมายดั้งเดิม ผู้เป็นร่างทรงต้องโดนเฆี่ยนก่อนจึงจะพิจารณาคดีได้ กี่ทีก็ว่ากันไป แต่กฎหมายใหม่ไม่ให้เฆี่ยนแล้ว ให้ลงโทษฐานหลอกลวงคนอย่างเดียว ทีนี้เจ้าหน้าที่ปกครองตามหัวเมืองก็ยังงงๆ อยู่ว่า ตกลงจะต้องเฆี่ยนไหม คุยไปคุยมา สุดท้ายก็ต้องเฆี่ยนก่อน แต่ลดจำนวนครั้งลง

แม้กระทั่งรัฐเองเมื่อโดนด่าก็ยังไม่รู้ว่าจะจัดการยังไงดี ฟ้องหมิ่นประมาทได้ไหม แต่ในยุคนั้นยังไม่มีกฎหมายเซ็นเซอร์หนังสือพิมพ์ด้วยซ้ำ มันเพิ่งออกมาช่วงกลางๆ ทศวรรษ 2460 แล้ว ก่อนหน้านั้นเมื่อนักหนังสือพิมพ์เขียนแซะเขียนด่าเจ้าคุณ อย่างดีหน่อยก็อาจจะถูกฟ้องในฐานพูดหยาบคายหรือทำลามก อย่างร้ายก็ถูกอิทธิพลเถื่อนตีหัว ฟันหัว หรือบางทีก็ถูกจับขังคุกดื้อๆ เลย แต่กฎหมายหรือ พ.ร.บ.ควบคุมสิ่งพิมพ์โดยเฉพาะยังไม่เกิดขึ้น ทีนี้พอครูเหลี่ยมนำเสนอเรื่องเพศออกมา แม้จะแปลกไปจากบรรทัดฐานสังคม แต่ใครต่อใครที่ได้อ่านเขาก็บอกว่า อย่าไปถือสาแกเลย ครูเหลี่ยมมีอาการทางประสาท แกเลยรอดมาได้

กฎหมายที่ตราขึ้นเป็น พ.ร.บ. เพื่อควบคุมสิ่งพิมพ์ลามกอนาจารอย่างจริงจัง ห้ามเผยแพร่หรือต้องปราบปราม เกิดขึ้นในปี 2471 (รัชกาลที่ 7) รัฐเริ่มเอากฎหมายมาจัดการก็เพราะว่าสังคมไทยในทศวรรษ 2460 มีความตื่นตัวในแวดวงสื่อสิ่งพิมพ์เยอะมาก แล้วหลายกรณีรัฐไม่สามารถจัดการหรือควบคุมได้ มันไม่ได้มีแค่ครูเหลี่ยม แต่คนอื่นๆ ก็เริ่มเอาเรื่องเพศมาเขียน เริ่มมีการโจมตี วิพากษ์วิจารณ์ หรือหมิ่นประมาทมากขึ้น

สถานการณ์งุนงงของทั้งประชาชนและกฎหมายไทยในตอนนั้นเป็นอย่างไร

รัฐก็น่าจะงงเหมือนกัน ครั้งหนึ่งมีการสั่งซื้อโปสการ์ดฝรั่งเศสเข้ามาจำนวนมาก แต่ผู้สั่งซื้อคือห้างขายอุปกรณ์เครื่องเขียนสำหรับนักเรียน เหมือนพอสั่งเครื่องเขียนหรือซื้อตำราของเขาเยอะๆ ก็จะได้โปสการ์ดวาบหวิวเป็นของแถม บางทีเขาแจกโปสการ์ดเป็นของกำนัลด้วยซ้ำ นายห้างเหล่านี้ส่วนใหญ่มีความเป็นตะวันตกอยู่แล้ว เขาไม่รู้สึกว่ามันเป็นของแปลกอะไรสำหรับโลกที่กำลังก้าวไปข้างหน้า

แต่ตำรวจในเมืองไทยกลับรู้สึกว่าของพวกนี้ลามก ซึ่งแรกๆ หมายถึงสิ่งไม่ดี แล้วก็เริ่มขยับขยายไปมองเรื่องเพศว่าลามก ซึ่งรัฐยังไม่รู้จะจัดการกับสิ่งพวกนี้อย่างไร เพราะยังไม่มีกฎหมายมาบังคับใช้ จึงเกิดการปะทะทางความคิดเห็นและถกเถียงกันบ่อยครั้งระหว่างตำรวจ นักหนังสือพิมพ์ และนายห้างเครื่องเขียน

ต่อมา เริ่มมีการอ้างถึงอิทธิพลในทางลบของวรรณกรรมโป๊ที่มีต่อเยาวชน เพราะเมื่อมี พ.ร.บ.การศึกษา ก็หมายความว่าเด็กทุกคนต้องรู้หนังสือ เด็กไทยจึงเริ่มอ่านหนังสือเยอะขึ้น แรกๆ รัฐอาจคุมให้เด็กอ่านเฉพาะหนังสือแบบเรียนได้ แต่หลังๆ เด็กก็เข้าถึงหนังสืออ่านเล่นมากขึ้น เช่น นิยายร้อยแก้ว ซึ่งส่วนใหญ่อาจเป็นเรื่องผจญภัย สืบสวน หรือเรื่องตื่นเต้น แต่บางเล่มก็ใส่อิทธิพลฝรั่งเข้ามาเต็มๆ เลย เช่น บรรยายฉากจูบ ฉากหวาบหวิว 

สังคมสยามสมัยก่อนไม่มีเรื่องการจูบปากนะครับ อย่างดีก็หอมแก้ม วัฒนธรรมสยามจะเป็นการหอมมากกว่าการจูบ แต่เมื่อเรื่องเหล่านี้ถูกบรรจุไว้ในเรื่องอ่านเล่น เด็กๆ ก็เข้าถึงมันได้ง่ายขึ้น แม้คนเขียนไม่คิดว่ามันเป็นพิษเป็นภัยอะไร แต่รัฐบาลกลับไม่คิดอย่างนั้น ยิ่งช่วงหลังๆ มีการใส่ภาพเปลือยภาพร่วมเพศประกอบเนื้อหา เพื่อให้สื่อโป๊พวกนี้น่าตื่นเต้นและดึงดูดความสนใจของเด็ก รัฐจึงยิ่งกังวลและพยายามควบคุมมัน

สุดท้ายรัฐและกฎหมายน่าจะเป็นฝ่ายกำชัยใช่ไหม เพราะสื่อโป๊ถูกผลักลงสู่ใต้ดินอย่างหนัก

แม้จะมีการปะทะกันทั้งหนักทั้งเบา แต่สุดท้ายรัฐก็คุมได้ เพราะถ้ารัฐคุมไม่ได้ เราคงเห็นสื่อโป๊เสรีกันไปแล้ว แต่รัฐก็ไม่สามารถคุมได้เต็มที่หรอก หนังสือโป๊มันก็เหลื่อมๆ ขึ้นๆ ลงๆ ทั้งบนดินและใต้ดินอยู่ตลอดเวลา บางทีมันก็โผล่พ้นดิน แต่ต้องลดดีกรีความโป๊ลง บางทีมันก็ไปแอบอยู่ใต้ดิน แต่คงความโป๊แรงๆ เอาไว้

คุณเคยบอกว่า เมื่อรัฐควบคุมสิ่งพิมพ์บันเทิงกามารมณ์มากขึ้น นักเขียนก็ต้องสรรหากลวิธีเล่นหรือสอดแทรกเรื่องราวให้แนบเนียนขึ้น แต่บางครั้งก็มีการสอดแทรกเรื่องการเมืองไว้ในหนังสือโป๊ด้วย อยากให้อธิบายประเด็นนี้เพิ่ม

ต้องพูดอย่างนี้ว่า ฟังก์ชันของหนังสือโป๊คือแฟนตาซี มันอาจไม่ได้มุ่งแซะการเมืองอย่างจริงจัง แฟนตาซีคือการทำให้ตื่นเต้น แทนที่จะเล่าว่าไปมีเพศสัมพันธ์กันในโรงนาโต้งๆ เขาก็เริ่มทำฉากให้ซับซ้อนขึ้น แบบครูเหลี่ยมที่ต้องบรรยายต้นไม้ใบหญ้าและบรรยากาศที่ชุ่มฉ่ำกว่าจะนั่งรถไฟไปถึงโรงนา นี่คือขนบวรรณกรรมดั้งเดิมแบบพวกอังกฤษ

แต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เราเริ่มเปิดรับอิทธิพลสื่อโป๊แบบอเมริกันมากขึ้น ซึ่งจะเน้นความหวือหวา ฉับไว ไม่ต้องบรรยายเยอะ บางเล่มเปิดเรื่องด้วยฉากการมีเพศสัมพันธ์เลย ไม่เอาแล้วแบบครูเหลี่ยมที่ต้องบรรยายฉากอื่นๆ ให้ฟุ่มเฟือย เน้นลงรายละเอียด ความชัดเจน บรรยายหมดเลยว่าจับนมหรือจับอะไร เปิดเปลือยหมดเลย เผยเรือนร่างมากขึ้น ความฮาร์ดคอร์แบบนี้แทบไม่พบเจอในงานของครูเหลี่ยมเลย

หนังสือโป๊ในทศวรรษ 2490 เหล่านี้ หรือเรียกว่า ‘หนังสือปกขาว’ จะขายความเป็นชาย ตัวอย่างเช่นสาวใช้โดนคุณผู้ชายโอบเอว เธอก็ดิ้นและขัดขืนบ้าง แต่ยิ่งขัดขืนก็จะยิ่งทำให้ตัวละครชายรู้สึก ‘ฟิน’ กว่าเดิม ฉันจะต้องปราบและกำราบการขัดขืนนี้ พูดง่ายๆ คือหนังสือโป๊มันมีความ masculine (ความเป็นชาย) มากขึ้น แต่ถ้าถามว่าตัวละครหญิงโดนกดอยู่ฝ่ายเดียวไหม ผมว่าไม่ มันมีการต่อรองเกิดขึ้น เช่น ถ้าคุณผู้ชายอยากได้หนู ก็ต้องจัดให้ในแบบที่คุณผู้หญิงได้รับ ถ้าได้กับหนูในครัว คุณผู้ชายอาจตื่นเต้น แต่หนูก็อยากได้ในห้องนอนนั้นเหมือนกัน สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า หนูไม่ใช่แค่คนรับใช้ แต่เปรียบประหนึ่งคุณผู้หญิงเช่นกัน เซ็กส์ของคุณผู้หญิงอาจห่วยแตก แต่หนูสนองให้คุณผู้ชายได้มากกว่า หรือกระทั่งคุณผู้หญิงเบื่อๆ แล้วไปมีอะไรกับคนสวน มีการบรรยายฉากเซ็กส์ให้แฟนตาซีมากๆ จนมันหลากหลายและน่าตื่นเต้นขึ้น

ทีนี้พอหนังสือปกขาวหรือเรื่องโป๊เป็นแฟนตาซี นักเขียนบางคนรู้สึกว่า ถ้าเขียนเรื่องพรรค์นั้นอย่างเดียว ใครๆ ก็เขียนได้ ถ้าจะเขียนเรื่องเพศล้วนๆ มันก็ดูมุ่งเน้นไปทางเพศมากเกิน เอะอะอะไรก็เอากัน จึงต้องสร้างฉากให้ซับซ้อนหน่อย ครั้นจะทำแบบครูเหลี่ยมก็ตกยุคสมัยไปแล้ว เขาเลยเอาฉากเหตุการณ์ที่ร่วมสมัยเข้ามา เช่น ช่วงทศวรรษ 2490 มีไฮด์ปาร์คที่สนามหลวง นักเขียนบางคนก็เห็นว่า แทนที่จะให้คนไปเอากันในโรงแรมแถวบางลำพูอย่างเดียว เขาก็เขียนให้ไปฟังไฮด์ปาร์คก่อน มีการใช้ชื่อดาวไฮด์ปาร์คอย่าง ไถง สุวรรณทัต ซึ่งพูดเก่ง หาเสียงเก่ง โดนคนเอาระเบิดมาปาจนขาขาด ก็ยังกลับมาไฮด์ปาร์คต่อได้ มีการผูกเรื่องให้เข้าถึงคนชนชั้นกลางมากขึ้น เอาคนหนุ่มสาวที่สนใจการเมืองมาเจอกันที่สนามหลวง พอเห็นว่าความคิดเห็นตรงกัน ชอบดาวไฮด์ปาร์คคนเดียวกัน ก็เคลื่อนตัวไปโรงแรมแถวบางลำพู จากนั้นเขาก็เริ่มบรรยายฉากอย่างว่า

ไถง สุวรรณทัต

บางคนก็ใช้สงครามเย็นมาเป็นฉากหลัง เช่น ร้อยโทคนหนึ่งไปรบในสงครามเกาหลี เจอสาวเกาหลี ‘อารีดัง’ ในป่าแห่งหนึ่ง แล้วเกิดประทับใจ ต้องมนต์รักกลางสงคราม สุดท้ายก็จบด้วยเซ็กส์ คนอ่านก็จะรู้สึกตื่นเต้นกับฉากแบบนี้ หรือบางทีก็ใช้เมืองนอกเป็นฉากหลัง เพราะในยุค 2490 มีวรรณกรรมชนิดหนึ่งกำลังเฟื่องฟู เขาเรียกว่า ‘ไพรัชนิยาย’ คือวรรณกรรมที่ใช้ต่างประเทศเป็นฉากหลัง ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องโป๊เท่านั้น คนอย่าง เสนีย์ เสาวพงศ์ อดีตนักการทูตและผู้เขียน ปีศาจ (2496) ก็ใช้ฉากต่างประเทศในงาน หรือ อิศรา อมันตกุล ก็ใช้ฟิลิปปินส์เป็นฉาก 

แต่จริงๆ แล้ว การใช้ฉากเมืองนอกในไพรัชนิยาย ไม่ใช่เพราะอยากไปเที่ยวเฉยๆ แต่เป็นการยืมฉากบ้านคนอื่นเพื่อวกกลับมาวิพากษ์วิจารณ์ระบอบเผด็จการในบ้านตัวเอง เพราะถ้าพูดตรงๆ ในยุค 2490 คุณก็จะโดนจับไง เพราะฉะนั้นเวลาเขาจะวิจารณ์ จอมพล ป. เรื่องการเป็นอำนาจนิยม ก็จะพูดถึงผู้นำแถบลาตินอเมริกาหรือป่าแอมะซอนแทน แล้วค่อยให้ตัวละครพูดว่า “ฉันนึกถึงเพื่อนที่อยู่เมืองไทย”

หลายเล่มพูดถึง สฤษดิ์ ธนะรัชต์ แต่ก็ทำให้สฤษดิ์เป็นตัวตลก เพราะยุคนั้นสฤษดิ์ สั่งทุบแท่นพิมพ์ของหนังสือพิมพ์หลายฉบับที่วิจารณ์รัฐบาลมากเกินไป ทีนี้เมื่อแท่นพิมพ์ถูกทุบ นักเขียนเหล่านั้นก็ย้ายไปเขียนหนังสือโป๊หาเลี้ยงชีพ ตอนนั้นเป็นที่เลื่องลือว่าสฤษดิ์มีเมียน้อยหลายคน เขาก็เอาเรื่องเหล่านั้นมาใช้ สร้างตัวละครหญิงที่เป็นอนุภรรยาของสฤษดิ์ขึ้น แต่บรรยายเรือนร่างของ ‘จอมพลผ้าขาวม้าแดง’ ให้เป็นตัวตลก เพราะวรรณกรรมโป๊มันเล่นกับจินตนาการ จริงไม่จริงไม่รู้ แต่เขาพยายามทำให้คนอ่านเหมือนหลุดเข้าไปในห้องนอนของสฤษดิ์ได้เลย ซึ่งเป็นเซนส์เดียวกับหนังสือโป๊ในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส คือเขียนถึงมารี อังตัวเนตต์ (Marie Antoinette) จนชาวบ้านรู้สึกประหนึ่งว่าได้สัมผัสมารี อังตัวเนตต์ ตัวเป็นๆ ในวัง ลิน ฮันต์ (Lynn Hunt) นักประวัติศาสตร์ที่ศึกษาวรรณกรรมโป๊บอกว่า เรื่องเหล่านี้ทำให้ประชาชนเกิดสำนึกบางอย่างขึ้นมาว่า มารี อังตัวเน็ตต์ ก็ไม่ได้ต่างกับเราขนาดนั้น เขาก็มีความอยาก มีเรื่องเพศ โป๊ เปลือย ไม่ต่างกัน และฮันต์เห็นว่านี่คือจิตวิญญาณที่ก่อกำเนิดการปฏิวัติฝรั่งเศส

แต่ในเมืองไทยมันอาจจะไม่ขนาดนั้น การเห็นสฤษดิ์แบบใกล้ชิดราวกับอยู่ในห้องนอน ไม่ได้ทำให้คนลุกขึ้นสู้ แต่เป็นแค่แฟนตาซีเฉยๆ ว่า เออ สฤษดิ์ก็กลายเป็นตัวตลกได้นะ แต่ก็ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาด้วย น่าจะราว พ.ศ. 2507 ซึ่งเป็นช่วงท้ายๆ ของสฤษดิ์แล้ว ไม่งั้นก็คงจะโดนจับเสียก่อน ผมว่าหนังสือโป๊ก็มีศิลปะในการนำเสนอของมัน

ยุคต่อๆ มา วรรณกรรมโป๊เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง

ราวๆ ทศวรรษ 2510-2520 สิ่งพิมพ์โป๊ไม่ได้หมายถึงแค่หนังสือปกขาวขนาดเท่าฝ่ามืออีกแล้ว มันพยายามโผล่ขึ้นบนดินในรูปแบบนิตยสาร ซึ่งจำเป็นต้องลดดีกรีความฮาร์ดคอร์ลงหลายระดับ พูดถึงฉากเซ็กส์ตรงๆ ล้วนๆ ไม่ได้แล้ว แต่เขาทำให้มีความหลากหลายมากขึ้น มีเรื่องเล่าจากทางบ้าน ซึ่งบางทีก็เขียนกันเองในกองบรรณาธิการนั่นแหละ หรือมีภาพปลุกเร้าอารมณ์ แต่ลดความแรง เห็นเพียงวับๆ แวมๆ เพื่อให้วางอยู่บนแผงหนังสือได้ 

ทศวรรษ 2520 ยังเป็นช่วงที่กลุ่มนักศึกษาที่มีแนวคิดทางการเมืองเข้มข้นทยอยออกจากป่า และต้องทำมาหากิน หลายคนเริ่มทำงานในสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งหลายฉบับไม่สามารถพูดเรื่องการเมืองตรงๆ ได้แล้ว แต่กลายเป็นว่า สื่อสิ่งพิมพ์โป๊ยังเป็นพื้นที่ที่สามารถพูดเรื่องการเมืองอ่อนๆ ได้ ผู้นำนักศึกษาหรือผู้สนใจการเมืองหลายคนจึงหันมาเขียนในหนังสือและนิตยสารโป๊ โดยไม่ได้เขียนเรื่องโป๊ สมมุติว่าจะเขียนถึงคาร์ล มาร์กซ์ เขาก็ใช้หนังสือโป๊เป็นเวที แม้จะไม่สามารถอัดทฤษฎีของมาร์กซ์ได้อย่างเต็มที่ แต่ก็ยังเป็นพื้นที่อิสระที่สามารถทำเงินไปพร้อมๆ กันได้ เพราะหนังสือโป๊มีฐานแฟนคลับของตัวเองอยู่

เราจึงเห็นว่า ช่วงทศวรรษ 2520 หนังสือโป๊หลายเล่มเป็นหนังสือปัญญาชนเลย เพราะเต็มไปด้วยนักคิดนักเขียนคนสำคัญซึ่งไม่ได้เขียนแฟนตาซีปลุกเร้ากามารมณ์อย่างเดียว แต่ยังสนใจปัญหาสังคม เช่น ความไม่เท่าเทียม ความเหลื่อมล้ำ ชีวิตของโสเภณีที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ฯลฯ คนพวกนี้เข้ามาเปลี่ยนโฉมนิตยสารโป๊ให้มีเนื้อหาหนักแน่นขึ้น กลายเป็นว่าหนังสือโป๊ไม่ได้มีฟังก์ชันแค่เรื่องเพศ แต่ยังช่วยเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพทางเพศแก่ผู้ใช้แรงงานทางเพศด้วยซ้ำไป

ปัจจุบันถามว่าสิ่งพิมพ์โป๊หาได้ยากไหม ผมว่ามันก็หายาก แต่ยังพบเห็นได้ในหลายๆ ที่ เช่น แผงหนังสือตามคิวรถ แต่มันก็ไม่เป็นที่นิยมแล้วล่ะ เพราะคนยุคนี้แทบไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือโป๊ก็สามารถเข้าถึงเรื่องโป๊เรื่องเพศได้ แค่เปิดมือถือเราก็เห็นแล้ว แต่ทีนี้สังคมไทยก็จะมีความกังวลอีกแบบคือ เมื่อมันเข้าถึงง่าย เด็กๆ ก็จะเข้าถึงความโป๊ได้ง่ายด้วย และเรื่องโป๊มักถูกยึดโยงเข้ากับศีลธรรมอันดี สื่อโป๊จึงถูกมองว่าขัดต่อศีลธรรม ทำให้คนยังแขยงเรื่องเหล่านี้ เช่น OnlyFans (แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย) ทั้งที่จริงๆ แล้วเรื่องเพศมันควรเป็นเรื่องปกติ

บางคนหวนระลึกว่าแต่ก่อนเมืองไทยไม่มีของแบบนี้นะ แต่อย่างที่ผมบอก ความโป๊มีมานานแล้ว สังคมไทยมีความลักลั่นเสมอ เฮ้ย เรื่องพรรค์นี้ไม่ควรจะมี ทั้งที่มันก็มีอยู่ตลอดเวลาแหละครับ คนอาจรู้สึกว่า OnlyFans เป็นอะไรที่เลวร้าย แต่ผมว่ามันเป็นการพยายามจัดระเบียบเรื่องโป๊ให้อยู่ในที่ในทางของมันด้วยซ้ำ 

คุณเห็นความพยายามในการต่อสู้ของ sex creator ในหลายๆ แพลตฟอร์ม กับความพยายามกำกับควบคุมของรัฐในปัจจุบันนี้อย่างไรบ้าง

พวก sex creator เขามองว่า เรื่องเพศต้องเสรี สิ่งที่เขาทำไม่ได้เป็นอาชญากรรมร้ายแรงหรือสร้างความเดือดร้อนให้ใครเลย เผลอๆ เป็นการสร้างความสุขด้วยซ้ำ เขามองว่า เราต้องพูดถึงเรื่องเพศหรือกระทั่งเปิดเผยกิจกรรมนี้ได้สิ เพราะมันเป็นร่างกายของเขา หลายคนไม่เข้าใจก็ไปด่าว่า เฮ้ย คุณเปิดเผยเรือนร่างแบบนี้จะทำให้คนอื่นเกิดอารมณ์ทางเพศนะ แต่เขาจะบอกว่า ไม่ใช่ นี่คือเรือนร่างของฉัน จะทำอะไรก็ได้ คุณนั่นแหละที่ต้องควบคุมเรือนร่างและความรู้สึกของตัวเอง

คือมนุษย์ไม่สามารถห้ามความรู้สึกทางกามารมณ์ได้หรอก แต่เราสามารถควบคุมร่างกายไม่ให้ไปละเมิดคนอื่นๆ ได้ ยุคสมัยใหม่เขาเถียงกันในประเด็นนี้ แต่รัฐก็ยังมีทัศนคติว่า ต้องควบคุมที่ sex creator เพราะถ้าคุณไม่เปิดเนื้อเปิดหนัง คนก็ไม่เกิดอารมณ์ แต่ในความเป็นจริงมันซับซ้อนกว่านั้น รัฐไม่เข้าใจและทำอย่างอื่นไม่เป็นนอกจากพยายามควบคุมสิทธิในเรือนร่างของคน

ผมศึกษาเรื่องโป๊ไม่ใช่เพราะอยากพูดถึงประวัติความเป็นมาของความโป๊เท่านั้น แต่อยากให้มันพูดถึงอะไรอื่นๆ ในสังคมได้ด้วย ผมอยากเห็น agenda ของสังคมผ่านหนังสือโป๊ คนอาจมองว่าผมสนใจหนังสือโป๊อย่างเดียว แต่จริงๆ หนังสือโป๊นี่เต็มไปด้วยการเมือง เพียงแต่การถอดรหัสเหล่านั้นบางครั้งก็ต้องใช้เวลา

พอจะพูดได้ไหมว่า ถ้าธงชัย วินิจจะกูล ศึกษาประวัติศาสตร์สยามจากแผนที่ อาชญาสิทธิ์ก็ศึกษาประวัติศาสตร์ไทยจากวรรณกรรมโป๊

ผมยังเคยแซวเล่นๆ ว่า ถ้าอาจารย์ธงชัยทำ Siam Mapped (กำเนิดสยามจากแผนที่) ผมน่าจะทำ ‘โป๊ map’ หรือ Pornography Mapped (หัวเราะ)

จริงๆ น่าสนใจมาก ผมเคยตามรอยแหล่งหนังสือโป๊จากที่ ’รงค์ วงษ์สวรรค์ เขียนไว้ ไปจนถึงย่านบางลำพูที่เคยเป็นตลาดหนังสือปกขาวขนาดใหญ่ในสมัยสงครามโลก ’รงค์เขาเรียกว่า ‘วรรณกรรมเฉาะแฉะ’ ซึ่งคำนี้มีที่มานะครับ คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี จะพูดบ่อยๆ โดยอ้างว่า วิตต์ สุทธเสถียร เป็นคนใช้คำนี้คนแรก จริงๆ แล้วเฉาะแฉะมาจากเสียงของคนเอากัน คือเราต้องเข้าใจว่าหนังสือโป๊ยุค 2490 มันมีภาพประกอบก็จริง แต่ตัวหนังสือกับภาพไม่สามารถให้อารมณ์ได้ถึงใจ สิ่งที่จะเร้าคนอ่านได้ก็คือ การสร้างเสียงเฉาะแฉะขึ้นมาประกอบ นี่คือสิ่งที่ผมภูมิใจในวิทยานิพนธ์ของตัวเองมากที่สามารถตามจนเจอ

ดังนั้นแค่ศึกษาเฉพาะคำว่า ‘เฉาะแฉะ’ หรือเสียงใน pornography ก็แทบจะเขียนเป็นวิทยานิพนธ์ได้เรื่องหนึ่งแล้ว ผมจึงบอกว่าเรื่องโป๊มันสะท้อนอย่างอื่นที่มากกว่านั้น แม้กระทั่ง OnlyFans เองก็ไม่ได้มีแค่เรื่องเซ็กส์ เรายังค้นต่อได้ว่า ทำไมคนคนหนึ่งถึงต้องมาถ่ายฉากเซ็กส์ของตนให้คนอื่นดู บริบทอะไรทำให้เขาทำเช่นนั้น เป็นเหตุผลทางเศรษฐกิจเท่านั้นหรือ เรื่องเหล่านี้น่าสนใจหมดเลย

ผมเห็นว่าแฟนตาซีทางเพศในแต่ละยุคก็เปลี่ยนไป อย่างยุคครูเหลี่ยมจะอาศัยฉากในประเทศอังกฤษ เพราะครูเหลี่ยมเชื่อว่าคนไทยไม่น่าจะชอบฉากในเมืองไทย ต้องใช้ฉากเมืองนอกจึงจะขายดี มีความ exotic แต่นักเขียนยุคหลังกลับรู้สึกว่า ยิ่งเป็นฉากเมืองไทยคนจะยิ่งอิน แม้กระทั่งหนังสือโป๊ที่ผมได้เห็นตอนเข้าค่ายลูกเสือก็ใช้ฉากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ บางทีหนังสือโป๊มันก็หยิบฉวยและพาดพิงสถานการณ์ต่างๆ ในปัจจุบันไม่ต่างจากยุค 2490 หรอก เพียงแต่ผมไม่แน่ใจว่า ในแพลตฟอร์ม OnlyFans เขาใช้ศิลปะพาดพิงด้วยหรือเปล่า 

สมมุติถ้ายังมีคนรักสิ่งพิมพ์หรือทำหนังสือโป๊อยู่ ใครจะไปรู้ เขาอาจจะพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น ไปม็อบ ยืนซื้อลูกชิ้นที่รถ ‘ซีไอเอ’ แล้วไปมีเซ็กส์กันอะไรอย่างนี้ เสน่ห์อย่างหนึ่งของวรรณกรรมคือมันใช้ฉากที่ใกล้ตัวเรา เหมือนเราฟังเรื่องผี ยิ่งใกล้ตัวเท่าไหร่ยิ่งน่ากลัวเท่านั้น เรื่องโป๊ก็เหมือนกัน อาจจะทำให้สยิวมากขึ้นก็ได้

คุณได้อะไรจากการศึกษาวรรณกรรมโป๊บ้าง มันสร้างความหมายหรือสำนึกเรื่องเพศแก่คุณอย่างไรบ้าง

ทัศนคติหลายอย่างของผมเติบโตขึ้นจากการทำวิจัยเรื่องโป๊ ผมไม่รู้สึกว่าหนังสือโป๊สะท้อนการกดขี่ผู้หญิงอย่างเดียว แน่นอนหนังสือโป๊มีความเป็นชายค่อนข้างชัด เพราะฟังก์ชันของมันคือการสร้างแฟนตาซีให้นักอ่านผู้ชาย แต่หนังสือโป๊ที่ทำขึ้นให้นักอ่านหญิงก็มีเหมือนกันนะครับ ผมจึงมองว่า เซ็กส์คือเรื่องการเมืองและการต่อรอง 

หนังสือโป๊ทำให้เห็นว่า จริงๆ แล้วทุกเพศสามารถปะทะหรือต่อรองกันได้ อย่างในยุค 2490 ตัวละครสาวใช้ก็จะขอต่อรองหรือโต้แย้งกับคุณผู้ชายที่ขอมีเซ็กส์ด้วย ผมสนใจประเด็นเหล่านี้มากกว่าจะมองแค่เรื่องเพศสัมพันธ์อย่างเดียว ซึ่งตอนอายุน้อยกว่านี้ ผมอาจยังมองไม่เห็นหรือคิดแบบนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมแทบจะคล้อยตามคนอื่นๆ ที่พูดถึงเรื่องโป๊ว่า อ๋อ มันก็แค่เรื่องของความเป็นชายเท่านั้นแหละ แต่เอาเข้าจริงแล้ว ผมว่าเราไม่สามารถพูดพร่ำเพรื่ออย่างนั้นได้หรอก

Author

อรสา ศรีดาวเรือง
มือขวาคีบวัตถุติดไฟ มือซ้ายกำแก้วกาแฟ กินข้าวเท่าแมวดม แต่ใช้แรงเยี่ยงงัวงาน เป็นเป็ดที่กระโดดไปข้องแวะกับแทบทุกประเด็นได้อย่างไม่ขัดเขิน สนใจทั้งภาพยนตร์ วรรณกรรม การศึกษา การเมือง และสิ่งแวดล้อม ชอบแสดงอาการว่ายังทำงานไหวแม้ซมพิษไข้อยู่บนเตียง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า