God will hear you oh, my blood. For the years you roamed in dirt and mud.
Forsaken like a nomad, deserted in the flood. Forgive me, brother – ‘Brother’ โดย Orphaned Land
ปี 2013 สงครามระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ทวีความรุนแรงมากขึ้น การตั้งโต๊ะเจรจาสันติภาพในเดือนกรกฎาคมยังมองไม่เห็นทางออกจนปัจจุบัน ปีเดียวกัน Orphaned Land วง progressive oriental metal จากอิสราเอล ออกอัลบั้ม All is One กับคอนเซ็ปท์ ความสัมพันธ์ ความเชื่อ ความเสมอภาค เท่าเทียม และสันติภาพ ท่ามกลางพื้นที่ที่มีชนชาติแตกต่าง หลากหลายศาสนา ท่วงทำนองพื้นหลังดนตรีเป็นฉากดินแดนทะเลทรายตะวันออก เกือบทุกเพลงบอกเรื่องเล่าต่างๆ บนความขัดแย้งยิวและอาหรับ – อิสราเอลและปาเลสไตน์
‘Brother’ บรรจุเป็นแทร็คหนึ่งใน All is One ซึ่ง โคบี ฟาร์ฮี (Kobi Farhi) นักร้องนำ เล่าถึงที่มาของเพลงช้าราบเรียบแต่ทรงพลังด้วยเครื่องออร์เคสตรา ผสมเสียงเปียโนบางเบา ท่อนประสานเสียงอลังการ และกีตาร์แหบพร่าว่า
“เพลงนี้เหมือนเพลงที่ ‘อิสอัค’ ร้องเพื่อ ‘อิชมาเอล’ จากไบเบิล ทั้งคู่เป็นบุตรของอับราฮัม แต่เกิดจากคนละแม่ ทุกวันนี้อิสอัคเป็นเหมือนบิดาของชาวอิสราเอล ขณะที่อิชมาเอลเป็นบิดาของบรรดาชาติอาหรับ ถ้าว่ากันตามประวัติศาสตร์นี้ หมายความว่า ความจริงแล้ว ชาวอิสราเอลและชาวอาหรับเป็นพี่น้องกัน และเราเชื่อว่า ความขัดแย้งในปัจจุบันนี้ยังคงอยู่ที่นั่น คือระหว่างพี่น้องสองคน” นี่คือเพลงที่ Orphaned Land อุทิศให้ความรักของพี่น้องที่เปลี่ยนไปเป็นศัตรูทางสายเลือดของสองชนชาติ
อ้างตามคัมภีร์บทปฐมกาล ‘พี่น้อง’ อิสอัค (Isaac) และ อิชมาเอล (Ishmael) ทั้งสองเป็นบุตรของอับราฮัม อิชมาเอล บุตรชายคนแรก เกิดจาก ฮาการ์ หญิงรับใช้ชาวอียิปต์ ส่วนอิสอัคเกิดจากคำสัญญาที่พระผู้เป็นเจ้าให้ไว้กับ ซาราห์ ภรรยาของอับราฮัม
ปฐมกาล 21: 8-13
8 เด็กนั้นเติบโตขึ้นและหย่านม และอับราฮัมจัดงานเลี้ยงใหญ่ในวันนั้นเมื่ออิสอัคหย่านม 9 แต่ซาราห์เห็นบุตรชายของฮาการ์คนอียิปต์ซึ่งนางคลอดให้อับราฮัม กำลังเล่นอยู่กับอิสอัคบุตรชาย 10 นางจึงพูดกับอับราฮัมว่า “ไล่ทาสหญิงคนนี้กับบุตรของนางไปเสียเถิด เพราะว่าบุตรของทาสหญิงคนนี้จะได้รับมรดกร่วมกับอิสอัคบุตรชายของฉันไม่ได้ 11 อับราฮัมกลุ้มใจเพราะเรื่องบุตรชายของท่าน 12 แต่พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “อย่ากลุ้มใจเพราะเรื่องเด็กนั้นและทาสหญิงของเจ้า ซาราห์ขออะไรก็จงยอมตามที่นางขอนั้นเถิด เพราะชื่อของเจ้าจะสืบต่อไปในทางของอิสอัค 13 ส่วนบุตรของทาสหญิงนั้น เราจะกระทำให้เป็นชนชาติหนึ่งด้วย เพราะเขาเป็นพงศ์พันธุ์ของเจ้า
ปฐมกาล 22: 1-2
1 ต่อมาพระเจ้าทรงทดลองอับราฮัม และตรัสกับท่านว่า “อับราฮัม” ท่านทูลว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่” 2 พระองค์ตรัสว่า “จงพาบุตรของเจ้าคืออิสอัค บุตรคนเดียวของเจ้าผู้ที่เจ้ารัก ไปยังดินแดนโมริยาห์ และถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องบูชา บนภูเขาลูกหนึ่งซึ่งเราจะบอกแก่เจ้า”
‘เครื่องบูชา’ หรือบุตรชายที่อับราฮัมพาไปยังดินแดนโมริยาห์ คือใคร
เรื่องเล่าของพี่น้องต่างมารดาแตกออกเป็นสองทาง ฝ่ายยิวเชื่อว่า ผู้ถูกพลีคือ อิสอัค บุตรคนที่สองจากภรรยาคนแรก ซึ่งในอนาคตจะให้กำเนิด ยาขอบ (อิสราเอล) – ตามไบเบิล เรื่องราวของอิชมาเอลหายไปจากหน้ากระดาษและบรรทัดอักษร ขณะที่อีกด้าน เนื้อความของอิสลาม อิชมาเอลคือเด็กชายผู้เดินตามอับราฮัมขึ้นเขา ตามคำสั่งลองใจของพระเจ้าที่ว่า ให้สังหารบุตรของตนเอง
ท่านนะบีอิบรอฮีม ได้รับการทดสอบจากอัลลอฮฺในลูกคนแรกของท่านคือ ท่านนะบีอิสมาอีล เพื่อทดสอบความรักต่ออัลลอฮฺ อัลลอฮฺทรงสั่งให้นะบีอิบรอฮีมเชือดท่านนะบีอิสมาอีล แต่เมื่อท่านนะบีอิบรอฮีมปฏิบัติตามคำบัญชาของอัลลอฮฺ กำลังจะเชือดลูก อัลลอฮฺก็ยกเลิกคำบัญชาของพระองค์ และนำแกะสองตัวมาจากชั้นฟ้าให้ท่านนะบีอิบรอฮีมเชือดแทน
“สิ่งที่น่าสนใจในคัมภีร์ของชาวยิวคือ อับราฮัมพาอิสอัคขึ้นเขาไปเพื่อเป็นเครื่องสังเวยแก่พระผู้เป็นเจ้า มุสลิมก็มีเรื่องนี้เหมือนกัน แต่เวอร์ชั่นของพวกเขา คนที่ถูกพาขึ้นเขาไปคืออิชมาเอล ทุกคนต่างสร้างประวัติศาสตร์ของฝ่ายตนเอง และเราขัดแย้งกันแม้กระทั่งเรื่องเก่าแก่ที่สุดแบบนี้ เหมือนเด็กสองคนสู้กัน และนั่นแหละ ถึงมีท่อนหนึ่งในเพลงบอกว่า “พระเจ้าอำนวยพรให้เราทั้งสอง แต่เรายังต่อสู้แลเถกเถียงกัน ว่าเด็กคนที่อยู่บนภูเขานั้น ชื่ออะไร” – The lord blessed us both, but we still fight and claim. That kid on the mountain, – what was his name?
ฟาร์ฮียังเล่าเรื่องทางประวัติศาสตร์ที่เขาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนเพลงว่า
“ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างความถูกต้องของตนเอง แล้วเติมเต็มด้วยความเกลียดชัง ทุกฝ่ายต่างเป็นเหยื่อ แล้วทุกวันนี้มันไม่สมเหตุสมผลเลย เราเป็นพี่น้องกันตามประวัติศาสตร์ ผู้คนต่างลืมกันหมดแล้ว ลืมว่าภาษาของเราคล้ายกัน เช่นเดียวกับชื่อของเรา และประวัติศาสตร์ของเรา”
หนังสือ The Lemon Tree โดย แซนดี โทแลน เล่าเรื่องมิตรภาพระหว่างยิวและมุสลิมในอีกรูปแบบหนึ่ง ที่เมืองอัล-รามลา ดาเลีย เอชเคนนาซี อาศัยอยู่ในบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของตระกูลไครี ครอบครัวปาเลสไตน์ที่ถูกอิสราเอลรุกไล่ออกจากแผ่นดินของตน หนังสือเรียนของ ดาเลีย เอซเคนนาซี บรรยายไว้ว่า ปาเลสติเนียนแตกหนีเตลิดไปเอง แล้วทอดทิ้งที่ดินรวมทั้งบ้านเรือนไว้เบื้องหลัง ซ้ำยังอธิบายว่า “พวกอาหรับ ‘เต็มใจออกไปเสียดีกว่า’ ในทันทีที่พวกยิวยึดครองเมืองของตนไว้ได้”
บ่ายวันหนึ่ง ขณะอายุได้เจ็ดหรือแปดขวบ ดาเลียปีนขึ้นบนประตูรั้วเหล็กตรงสุดทางเดินปูด้วยแผ่นหินหน้าบ้านที่ อาหมัด ไครี สร้างไว้ สิ่งที่ติดเด่นเป็นสง่าอยู่กับส่วนบนสุดของประตูใหญ่นั้นคือชิ้นเหล็กหล่อขึ้นรูปดาวกับจันทร์เสี้ยว อันเป็นสัญลักษณ์แห่งอิสลาม สิ่งนี้ก่อความหงุดหงิดแก่ดาเลียน้อย “นี่ไม่ใช่บ้านอาหรับ” เธอคิดตามประสา แล้วเอื้อมมือไปจับจันทร์เสี้ยวโยกไปมาซ้ำแล้วซ้ำอีก จนชิ้นเหล็กนั้นหลุดมาอยู่ในมือ เธอลงจากรั้ว แล้วโยนจันทร์เสี้ยวนั้นทิ้งไป
ใช่…บางทีอาจเหมือนที่ โคบี ฟาร์ฮี จาก Orphaned Land ว่าไว้ – ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างความถูกต้องของตนเอง และ ผู้คนอาจลืมกันหมดแล้ว ลืมว่าภาษาของพวกเขาคล้ายกัน เช่นเดียวกับชื่อของพวกเขา และประวัติศาสตร์ของพวกเขา
Brother hear my plea tonight. I grew tired from these endless years of our fight. From a tiny corner stone we may build our realm of light.
Please hear me, brother.
“เราขอมอบเพลงนี้ด้วยความรัก ความหวัง และความเชื่อ ไปยังพี่น้องชาวอิสราเอลและอาหรับผู้เป็นที่รักของเรา” โคบี ฟาร์ฮี กล่าวถึงประวัติศาสตร์เลือดจากปฐมกาลของโลกที่ยังดำเนินต่อไปบนดินแดนแห่งพระผู้เป็นเจ้า
อ้างอิงข้อมูลจาก: blabbermouth.net
biblegateway.com
islaminthailand.org