เควิน วิลชอร์: นาซีเชื้อสายยิว และเป็นเกย์

ภาพประกอบ: Shhhh

 

อดีตนักกิจกรรมระดับนำของพรรคนโยบายขวาจัดแนวนีโอนาซีของอังกฤษ ออกมาประณามและต่อต้านการเหยียดชนชาติที่ตนเองทำมาตลอดชีวิต พร้อมเปิดเผยตัวตนว่าเป็นเกย์ และมีเชื้อสายยิว

เควิน วิลชอว์ (Kevin Wilshaw) เริ่มสนใจแนวทางของนาซีตั้งแต่อายุ 11 ปี พ่อของเขาเป็นคนในอุดมการณ์ ‘ปีกขวามากๆ’ เขาจึงดำเนินรอยตามแบบพ่อ เขาให้สัมภาษณ์กับรายการโทรทัศน์สัปดาห์ที่ผ่านมา

นับตั้งแต่นั้น ชายชาวอังกฤษซึ่งขณะนี้มีอายุ 58 ปี ก็ใช้ชีวิตตลอดวัยผู้ใหญ่เพื่อดำเนินกิจกรรมสารพัดอย่างเพื่อส่งเสริมแนวคิดความยิ่งใหญ่สุดโต่งของชาติพันธุ์ผิวขาว แล้วกลายมาเป็นคนโด่งดังมีชื่อเสียงระดับนำของพรรคแนวร่วมแห่งชาติ (National Front) ระหว่างทศวรรษที่ 1980

เมื่อต้นปีนี้เอง เขายังคงกล่าวปราศรัยอย่างดุเดือดในงานกิจกรรมของพวกขวาสุดโต่ง และเมื่อเดือนมีนาคมก็ถูกจับในข้อหาใช้วาทกรรมออนไลน์สนับสนุนการเหยียดผิว

มาบัดนี้ หลังจากที่ได้อุทิศทั้งชีวิตให้แก่อุดมการณ์ขวาจัด วิลชอว์ออกมาประกาศสละทิ้งอดีตของเขาที่เต็มด้วยความเกลียดชังในจิตใจ แล้วยังเปิดเผยอีกด้วยว่า เขาเป็นเกย์ และมีเชื้อสายของชาติพันธุ์ยิว

วิลชอว์เปิดเผยอย่างหมดเปลือกระหว่างการให้สัมภาษณ์กับรายการโทรทัศน์ Channel 4 News ของสหราชอาณาจักร กล่าวว่า เขาได้ทำร้ายผู้คนมามาก “แต่ไม่ได้เริ่มต้นก่อน… มักเป็นการป้องกันตนเอง… เมื่อตอนมีการเลือกตั้งซ่อมครั้งหนึ่งที่เมืองลีดส์ (Leeds) ผมคว้าเอาเก้าอี้ฟาดหัวใครบางคนเข้าให้” และเคยอาละวาดพยายามทำลายมัสยิดในเมืองไอลสบิวรี (Aylsbury) มาแล้ว

แต่เขาปฏิเสธว่าไม่เคยตรงเข้าทำร้ายชนกลุ่มน้อยแบบไม่มีสาเหตุ “ผมไม่เคยทำแบบนั้น แต่ผมเคยเห็นเหตุการณ์ที่บางคนถูกเล่นงานโดยเฉพาะเจาะจง เพียงเพราะความเป็นคนดำโดยกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง นั่นถึงกับทำให้ท้องไส้ผมปั่นป่วน ผมไม่ยอมรับเรื่องแบบนั้น แล้วก็ผลักดันมันไปซุกไว้ที่ด้านหลังของจิตสำนึก”

วิลชอว์อ้างว่า ต้นเหตุที่ได้เข้าร่วมแนวทางขวาสุดโต่งเพราะว่าเขา “ไม่ค่อยมีเพื่อนที่โรงเรียน” และสภาพนั้นผลักดันให้เขา “อยากเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มคนที่มีจุดมุ่งหมายอะไรสักอย่าง”

ถึงแม้ว่าในที่สุดคุณจะได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่ถูกตัดขาดจากสังคม เนื่องจากมีทัศนคติแบบรุนแรงสุดขั้วในตัวเอง แต่คุณก็มีความรู้สึกเหมือนเป็นสหายร่วมชะตากรรมด้วยกันกับกลุ่มคนที่คุณเป็นสมาชิก เป็นกลุ่มที่ถูกกระหน่ำโจมตีโดยคนอื่นๆ

วิลชอร์เข้าเป็นสมาชิกพรรคแนวร่วมแห่งชาติในช่วงรุ่งเรืองปลายยุค 1970 และต่อมาติดตามมาอยู่กับพรรคชาตินิยมอังกฤษ (British National Party) ที่คนส่วนหนึ่งแยกตัวออกมา ภายหลังเขาผันตนเองมาเป็น ‘ฟรีแลนซ์แนวสุดโต่ง’ แล้วเข้าพัวพันกับหลายกลุ่มย่อยที่ทำกิจกรรมแนวทางรุนแรงเฉียดฉิวกับการก่ออาชญากรรม เช่น ‘กลุ่มพลังอาสาสมัครเชื้อชาติ’ (Racial Volunteer Force)

ต่อมาเขาค่อยตระหนักได้ว่า ความคิดเหยียดเชื้อชาตินั้นเปรียบเสมือนกับ ‘เศษขยะ’ จึงเลิกยุ่งเกี่ยวกับพวกขวาจัด หลังจากถูกคนภายในขบวนการเองทำสิ่งร้ายกาจกับเขา อันเนื่องมาจากเพศสภาพ

“ดูเหมือนเป็นเรื่องเห็นแก่ตัวมากที่พูดแบบนี้ แต่นั่นคือความจริง ผมเคยเห็นคนถูกข่มเหง เช่น ตะโกนใส่ ถ่มน้ำลายใส่ ตามท้องถนน เราไม่รู้สึกอะไรมากนักหรอกจนกว่าจะกลายเป็นฝ่ายที่โดนเข้าเสียเอง แล้วทันใดคุณก็รู้ขึ้นได้ว่า สิ่งที่คุณเคยทำมามันผิดมากๆ” เขาบอกกับ พาเรก โอเบรียน (Paraic O’Brien) ผู้สัมภาษณ์

วิลชอว์บอกว่า เขายอมรับว่าเป็น ‘ความย้อนแย้ง’ สำหรับคนเป็นเกย์ แล้วเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพรรคแนวร่วมแห่งชาติ ซึ่งมีอุดมการณ์ ‘ต่อต้านการรักร่วมเพศ’

นอกจากนี้เขายังเปิดเผยว่า แม่ของเขามีเชื้อสายชาติพันธุ์ยิว แต่ถึงแม้มีบรรพบุรุษยิวในตัวเอง เขายังอุตส่าห์เขียนลงในใบสมัครเข้าพรรคแนวร่วมแห่งชาติว่า จะต้องทำสงครามกับชาวยิว “ศัตรูของเผ่าพันธุ์ของข้าพเจ้า” และ “จะต้องมีการดำเนินการในระดับโลกเพื่อให้มีประสิทธิภาพ”

วิลชอว์กล่าวว่า บัดนี้เขายอมรับถึงเรื่อง “ความคิดที่บ่งถึงคำว่า ‘ชาวยิว’ ในฐานะมวลมหาชนที่ไร้เอกลักษณ์ของโลก” นั่นคือ “นัยยะอันครอบคลุมที่ดำเนินไปสู่การก่อฆาตกรรมมนุษย์ถึงหกล้านชีวิตโดยเจตนา”

เขากล่าวว่าเขา “รู้สึกผิดอย่างมหันต์” กับชีวิตในอดีต และ “ไม่ใช่เพียงเท่านั้น… สิ่งนี้ยังเป็นอุปสรรคต่อการมีความสัมพันธ์กับครอบครัวของผมเอง และผมต้องการจะกำจัดมันทิ้งไปเสีย เรื่องนี้มันหนักหนาสาหัสมาก”

อย่างไรก็ตาม วิลชอว์ไม่ได้หมายความไปถึงขั้นที่จะหยิบยื่นมิตรไมตรีให้แก่กลุ่มสหายดั้งเดิมของตนซึ่งเป็นพวกขวาจัดหัวรุนแรงทั้งหลาย ดูเหมือนตามความเป็นจริงเขาต้องการจะให้บทเรียนแก่คนเหล่านั้นเสียบ้าง

วิลชอร์กล่าวว่า ตอนนี้เขาต้องการจะต่อสู้ฟาดฟันกับการเหยียดผิว “ผมต้องการสร้างความเสียหายให้กับผู้คนที่กำลังแพร่พันธุ์ไอ้ความคิดขยะประเภทนี้” เขาบอก

“ผมอยากทำร้ายพวกมัน ผมอยากแสดงให้มันเห็นว่าการมีชีวิตอยู่กับความเท็จนั้นเป็นอย่างไร การตกเป็นฝ่ายโดนกระทำเพราะผลของโฆษณาชวนเชื่อแบบนี้มันเป็นยังไง ผมอยากจะเล่นงานเจ้าพวกนี้ซะจริงๆ เลย”

วิลชอว์เอ่ยถึงความหวั่นกลัวว่าจะมีการแก้แค้นในระดับหนึ่ง “น่าจะมีสักคนสองคนที่มันอยากจะมากระทืบผม… แน่นอนพวกมันมองว่านี่คือการทรยศหักหลังอยู่แล้ว”

ผมยอมรับว่าเป็นเรื่องยากอยู่สักหน่อยที่จะพยายามพลิกผันความว่างเปล่าไร้สาระที่ครอบงำตัวผมมาโดยตลอดตั้งแต่วัยเด็ก

แมทธิว คอลลินส์ (Matthew Collins) อดีตสมาชิกพรรคขวาจัด ซึ่งบัดนี้ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มต่อต้านแนวทางฟาสซิสต์ ‘ความหวัง ไม่ใช่ ความชิงชัง’ (‘Hope not Hate’) กล่าวว่า กลุ่มเขาเคยได้ยิน “เสียงร้องขอให้ช่วย” จากวิลชอว์มาก่อน

คอลลินส์เคยเขียนไว้ว่า ได้รู้จักกับวิลชอว์มาตั้งแต่ยุคทศวรรษ 1980 เขากล่าวว่าภรรยาของวิลชอว์ทอดทิ้งเขาไปในปี 1996 โดยอ้างว่า อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เป็น ‘คนอื่น’ นอกชีวิตสมรส ผู้เป็นต้นเหตุทำลายสัมพันธ์ของทั้งสอง

การสัมภาษณ์ดังกล่าวออกอากาศในช่วง ‘สัปดาห์รับรู้อาชญากรรมจากความเกลียดชังในชาติ’ (National Hate Crime Awareness Week) ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากมีการประกาศสถิติใหม่ที่เผยให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นอย่างมากของจำนวนอาชญากรรม ‘เกลียดชังมุสลิม’ ในกรุงลอนดอนเมื่อปีที่ผ่านมา

ตำรวจอังกฤษได้รับรายงานถึงอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์หรือศาสนารวมทั้งหมด 17,042 ครั้ง ตลอด 12 เดือนนับจนถึง เมษายน 2017 เทียบกับ 16,762 รายในปีงบประมาณก่อนหน้านั้น

ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นมากสุดซึ่งได้รับการบันทึกไว้คืออาชญากรรมต่อต้านอิสลาม โดยมีการทำผิดเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งในสี่ อาชญากรรมต่อคนรักร่วมเพศเพิ่มขึ้น 6 เปอร์เซ็นต์ และความผิดต่อต้านยิวเพิ่มขึ้น 4.5 เปอร์เซ็นต์

ในขณะที่พรรคแนวร่วมแห่งชาติร่วงหล่นสู่สภาพแตกแยกเป็นฝักฝ่ายมานาน และสลายตัวเป็นกลุ่มเล็กน้อย ส่วนพรรคชาตินิยมอังกฤษซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1982 นั้นยังคงมีบทบาทอยู่จนปัจจุบัน แต่ก็ประสบความวุ่นวายภายในตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยไม่เคยรุ่งเรืองสู่ระดับชาติ หรือได้รับความสำเร็จอย่างใดในการเลือกตั้งเลยสักครั้ง


อ้างอืงข้อมูลจาก:
standard.co.uk
channel4.com
independent.co.uk

Author

ไพรัช แสนสวัสดิ์
ทำงานหนังสือพิมพ์รายวันฉบับภาษาอังกฤษมาทั้งชีวิต มีความสนใจในระดับหมกมุ่นหลายเรื่อง อาทิ ประวัติศาสตร์ วรรณคดี การเมือง สังคม วัฒนธรรม ศิลปะ จักรยาน ฯลฯ ช่วงทศวรรษ 2520 มีงานแปลทะลักออกมาหลายเล่ม หนึ่งในนั้นคือ Bury my heart at Wounded Knee หรือ ฝังหัวใจข้าไว้ที่วูนเด็ดนี
ปัจจุบันเกษียณตัวเองออกมาทำงานแปลอย่างเต็มตัว แต่ไม่รังเกียจที่จะแปลและเขียนบทวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศ หากเป็นประเด็นที่คิดว่ามีประโยชน์ต่อชาวโลก

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ โดยการเข้าใช้งานเว็บไซต์นี้ถือว่าท่านได้อนุญาตให้เราใช้คุกกี้ตาม นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า