ทางการตำรวจสหรัฐอเมริกาประสบอาการมึนงงขนาดหนัก ขณะพยายามสืบค้นถึงเบื้องลึกต่างๆ ของมือปืนผู้ก่อเหตุการณ์ยิงกราดครั้งใหญ่ ที่ลาสเวกัส รัฐเนวาดา นับว่าเป็นการลงมือกระทำโดยมือปืนคนเดียวที่สร้างความเสียหายต่อชีวิตครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของอเมริกาและของโลก
ตำรวจนครลาสเวกัสระบุเบื้องต้นว่า สตีเฟน แพดด็อค (Stephen Paddock) ใช้อาวุธปืนอัตโนมัติรัวยิงจากห้องพักบนชั้น 32 ของ โรงแรมมัณฑะเลย์ เบย์ รีสอร์ต แอนด์ คาสิโน (Mandalay Bay Hotel and Casino) กราดลงสู่ฝูงชนที่กำลังชมคอนเสิร์ตในลานขนาดใหญ่กลางแจ้งที่กำลังมีการจัดงานเทศกาลดนตรีคันทรี Route 91 Harvest
ขณะฝูงชนนับหลายพันแตกฮือวิ่งหนีตายไปทุกทิศทางท่ามกลางห่ากระสุน กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจลาสเวกัสตอบสนองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเจ้าหน้าที่ติดอาวุธคืบหน้าเข้าใกล้ห้องพักในโรงแรม มือปืนใช้อาวุธปลิดชีพตนเองหลังจากคร่าชีวิตผู้ริสุทธิ์ไปอย่างน้อย 59 ราย และบาดเจ็บ 527 คน ตามการแถลงล่าสุดของตำรวจในเวลาต่อมา
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และภรรยา เมลาเนีย ได้ยืนไว้อาลัยแด่ผู้เสียชีวิตที่ทำเนียบไวท์เฮาส์เป็นเวลาหนึ่งนาทีเมื่อวานที่ผ่านมา ผู้นำหลายประเทศส่งสารแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทรัมป์ประกาศว่า เขาจะเดินทางไปเยือนลาสเวกัสในวันพุธนี้
ผู้บัญชาการตำรวจลาสเวกัสแถลงว่าเจ้าหน้าที่ค้นพบอาวุธปืนไรเฟิล ‘รวมกันถึง 17 กระบอก’ ในห้องพักที่ชั้น 32 ของโรงแรมแห่งนั้น ที่มือปืนแพดด็อคเข้าเช็คอินเมื่อ 28 กันยายนที่ผ่านมา
ตำรวจสอบสวนกลางแห่งสหรัฐ (Federal Bureau of Investigation: FBI) ระบุว่า เจ้าหน้าที่ของหน่วยไม่พบว่ามือปืนแพดด็อคมีร่องรอยความเกี่ยวพันอย่างใดกับกลุ่มก่อการร้ายสากลไม่ว่าแห่งไหนในโลก แม้ว่ากลุ่มรัฐอิสลาม (Islamic State: IS) รีบร้อนออกมากล่าวอ้างว่าการยิงกราดเป็นผลงานของสมาชิกกลุ่มตน
ผลการสืบสวนต่อมาระบุว่าแพดด็อค อายุ 64 ปี เป็นอดีตนักบัญชี มีบ้านพักอยู่ที่ย่านเมสกีเต (Mesquite) ชุมชนคนเกษียณอายุ ห่างจากเมืองลาสเวกัสประมาณขับรถหนึ่งชั่วโมง เคยทำงานกับบริษัทย่อยของบริษัทยุทโธปกรณ์ Lockheed Martin ปี 1985-1988 มีใบอนุญาตขับเครื่องบินขนาดเล็ก มีใบอนุญาตล่าสัตว์ของรัฐอลาสกา
เจ้าหน้าที่ค้นพบอาวุธปืนเพิ่มเติมอีก 18 กระบอก กระสุนปืนหลายพันนัด พร้อมกับวัตถุระเบิดอีกจำนวนหนึ่ง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางอย่าง ในบ้านพักของเขา และกำลังวิเคราะห์เหตุผลเบื้องหลังที่ผู้ตายสะสมอาวุธมากมายเหล่านั้น
หัวหน้าตำรวจแห่งคลาร์คเคาน์ตี้ (Clark County) โจเซฟ ลอมบาร์โด (Joseph Lombardo) แจ้งว่า ขณะนี้กำลังตรวจสอบอาวุธปืนทั้งหมดรวมกันถึง 35 กระบอก โดยผู้เชี่ยวชาญระบุว่า มือปืนอาจใช้กลไกบางอย่างเข้าเสริมในอาวุธกึ่งอัตโนมัติเพื่อช่วยให้การระดมยิงทำได้อย่างรวดเร็วกว่าของดั้งเดิม หรืออาจใช้ปืนกลเต็มรูปแบบก็ได้
เพื่อนบ้านแห่งชุมชนทะเลทรายบรรยายถึงชายเกษียณแพดด็อคว่า เขามี “ท่าทีเป็นมิตร” อยู่บ้าง เป็นนักการพนันตัวยง แต่ไม่ค่อยอยู่บ้านเท่าไรนัก เวลาอยู่บ้านก็มักเก็บตัวเงียบเชียบ
ไดแอน แม็คเคย์ (Diane McKay) อายุ 79 แม่บ้านย่านเดียวกันรายหนึ่งระบุกับ Washington Post ว่า เขาเป็นชายโสดที่บางครั้งมีเพื่อนหญิงคนหนึ่งมาอยู่ด้วย เป็นนักพนันอาชีพ มีลักษณะ “แปลกและลึกลับ” ไม่ค่อยยอมเสวนากับใคร แม้แต่ม่านหน้าต่างก็ไม่เปิดเผยให้ใครมองเห็นภายใน “เขาไม่ยุ่งกับใคร…ไม่บ่นว่าอะไรสักอย่าง เงียบสนิท เหมือนไม่มีตัวตน”
เอริค แพดด็อค (Eric Paddock) พี่ชายของมือปืน ผู้อาศัยในเมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา แสดงความงุนงงขนาดหนักต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ผมนึกหาเหตุผลอย่างใดไม่ได้เลย นึกไม่ออกว่าทำไมเขาจึงทำแบบนี้…เขาก็เป็นคนชนิดที่เอาแต่นั่งเล่นเกมโป๊กเกอร์ ออกแล่นเรือบ้างอะไรบ้าง”
มือปืน สตีเฟน เป็นเจ้าของเครื่องบินสองลำและมีใบอนุญาตนักบินสำหรับขับเครื่องบินขนาดเล็ก
เอริคบอกว่าคนในครอบครัว “ราวกับโดนถล่มเสมือนดาวเคราะห์น้อยพุ่งเข้าชน” ระบุต่อนักข่าวว่า มือปืน สตีเฟน “ไม่เคยสนใจเรื่องปืนผาหน้าไม้…แล้วนี่เขาไปได้อาวุธอัตโนมัติมาจากไหน เขาไม่เคยเป็นทหาร” สตีเฟนไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมในบันทึกของตำรวจ ไม่มีแม้กระทั่งใบสั่งเกี่ยวกับการจราจร
รายงานข่าวของ NBC News ระบุว่า สตีเฟน แพดด็อค เมื่อเร็วๆ นี้ลงทุนไปกับการพนันหลายครั้ง “ครั้งละนับหมื่นดอลลาร์” NBC อ้างอิงจากแหล่งข่าวของทางการที่ไม่ได้บรรยายรายละเอียดว่าเขาได้หรือเสียจากผลของการพนันครั้งนั้น
น้องชายอีกคนหนึ่ง บรูซ แพดด็อค (Bruce Paddock) แจ้งกับ NBC ว่า พี่ชายของเขามีรายได้จากการลงทุนในอาคารอพาร์ตเมนต์ซึ่งเป็นการลงทุนร่วมกันกับแม่ของทั้งสองที่พักอาศัยอยู่ในฟลอริดา
พี่ชาย เอริค แพดด็อค เปิดเผยว่า ผู้เป็นพ่อ แพทริค เบนจามิน แพดด็อค (Patrick Benjamin Paddock) มีประวัติร้ายกาจ เคยเป็นโจรปล้นธนาคาร และ FBI เคยขึ้นชื่อเขาไว้ในรายการ ‘ผู้เป็นที่ต้องการตัวมากสุด’ มาแล้ว และครั้งหนึ่งยังได้ก่อวีรกรรมแหกคุกออกมาแล้วถูกจับกลับเข้าไปใหม่ แพทย์เคยระบุว่าเขามีอาการถึงขั้น ‘จิตวิปลาส (diagnosed as psychopathic)
หัวหน้าตำรวจแห่งเมืองเมสกีเต ควินน์ อัฟเรตต์ (Quinn Averett) บอกนักข่าวว่าบ้านของสตีเฟนมือปืนมีลักษณะ “เรียบร้อยดี สะอาดเอี่ยม ไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากปกติ”
ตามบันทึกของทางการ แพดด็อคย้ายจากรัฐเท็กซัสเข้ามาพักอาศัยในชุมชนเกษียณที่นั่นเมื่อปี 2013 โดยอยู่ร่วมกันกับเพื่อนหญิงอายุ 62 ปี มาริลู แดนลีย์ (Marilou Danley) ที่หลังจากเกิดเหตุยิงกราดใหม่ๆ ตำรวจได้ออกประกาศตามหาตัวเธอ แต่ต่อมาก็ยกเลิกการติดตามหลังการพูดคุยทางโทรศัพท์ เพราะปรากฏว่าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ก่อนหน้าเกิดเหตุการณ์ เธอเดินทางไปพักอยู่ที่กรุงโตเกียว ญี่ปุน แพดด็อคเพียงใช้เอกสารเกี่ยวกับตัวเธอบางอย่างเพื่ออ้างอิงในการเข้าพักโรงแรมในชั้น 32 ดังกล่าวเท่านั้น
ตามการบอกเล่าของพี่ชาย เมื่อปี 2012 แพดด็อคยื่นฟ้องโรงแรมคอสโมโพลิตัน (The Cosmopolitan) แห่งลาสเวกัส หลังจากเขาลื่นล้มบนพื้นของโรงแรม อันเนื่องมาจาก ‘สะดุดอุปสรรค’ บางอย่างบนพื้นที่นั้น แต่ต่อมาทั้งสองฝ่ายต่างถอนคดีออกไปในปี 2014
เกี่ยวกับการเสาะหาและครอบครองอาวุธปืน หนังสือพิมพ์ USA Today ระบุว่า รายการอาวุธแบบต่างๆ ที่แพดด็อคใช้กราดยิงกลุ่มผู้ชมคอนเสิร์ตเหล่านั้นอาจเป็นสิ่งที่เพิ่งได้มาไม่นานนักจากในบางแห่งของรัฐเนวาดา ซึ่งเป็นรัฐที่มีกฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืนหย่อนยานมากสุดในสหรัฐอเมริกา
ตามการระบุของสมาคมปืนไรเฟิลแห่งชาติ (National Rifle Association: NRA) ผู้เป็นเจ้าของปืนในเนวาดาไม่จำเป็นต้องมีใบอนุญาตเพื่อซื้อหรือครอบครองปืนไรเฟิล ปืนลูกซอง หรือปืนพก ใดๆ ทั้งสิ้น กฎหมายของรัฐอนุญาตให้ผู้เป็นเจ้าของปืนสามารถพกพาอาวุธปืนได้อย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ สามารถซื้อหาปืนกลมือหรือท่อเก็บเสียงได้ ตราบเท่าที่เป็นการซื้อขายตามกฎหมาย มีการบันทึกทะเบียนถูกต้อง และอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐบาลกลาง ในขณะที่รัฐอื่นๆ ไม่อนุญาตให้ประชาชนครอบครองอาวุธร้ายแรงได้ถึงขนาดนี้
เจ้าหน้าที่ยังคงไม่เปิดเผยว่า อาวุธปืน 17 กระบอก ที่ค้นพบจากห้องพักในโรงแรมของแพดด็อคนั้นมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง และเขาใช้ปืนกระบอกไหนในการลั่นไกสังหารหมู่ตลอดเวลาเกือบสิบนาทีของการฆาตกรรมบันลือโลกครั้งนี้
สำนักข่าว Reuters ระบุว่าเจ้าหน้าที่แจ้งว่า แพดด็อคอาจมีปัญหาทางด้านจิตใจอยู่บ้าง แต่ไม่สามารถระบุรายละเอียดได้ในขณะนี้ มูลเหตุจูงใจที่แท้จริงของมือปืนจึงยังคงเป็นสิ่งท้าทายให้ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาพยายามค้นหาต่อไป