นิวซีแลนด์ ประเทศเล็กๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกค่อนไปทางซีกโลกใต้ ห่างไกลจากประเทศอื่นที่ดูธรรมดา น่าเบื่อ ไร้ความเร้าใจ แต่หากท่านผู้อ่านลองเข้าไปสืบค้นในอินเทอร์เน็ต อาจประหลาดใจกับการจัดอันดับของประเทศนี้
เช่น เว็บไซต์หางานสำหรับคนต่างชาติจะพาดพิงถึงรายงานสำรวจของ ‘Expat Explorer’ ของกลุ่มธนาคาร HSBC ปี 2017 ที่ระบุว่า นิวซีแลนด์ถูกจัดอันดับสูงเป็นที่ 6 ของโลกในเรื่องความสมดุลของการทำงานและการใช้ชีวิต มีความมั่นคงและความก้าวหน้าในอาชีพการงานสูง และเป็นถูกจัดให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุด (The Best Country to Live) ติดต่อกันนานถึง 4 ปี นับตั้งแต่ปี 2017
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2022/09/nashi-dasgupta.jpg)
ในปีเดียวกันนี้เองก็ได้รับการจัดอันดับจาก UN ในรายงาน ‘2017 Human Development Index’ อยู่ในอันดับที่ 13 จากจำนวนทั้งหมด 187 ประเทศ โดยเป็นประเทศที่มีความกดดันในชีวิตน้อย ปราศจากมลภาวะทางอากาศและการจราจรติดขัดที่บั่นทอนชีวิตและสุขภาพ อีกทั้งยังรุ่มรวยด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และจำนวนประชากรที่ไม่แออัด นอกจากนี้ ยังเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยในชีวิตสูง คดีอาชญากรรมต่ำ มีระบบสาธารณสุขและการแพทย์ที่ดี มีสวัสดิการต่างๆ จากรัฐที่ช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี
โดยส่วนตัว ผมชอบประเทศนี้ เคยอาศัยอยู่ที่นั่นหลายปี ทั้งเรียนหนังสือและทำงาน จึงมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ สังคม วิถีชีวิต ขนบ ความคิดความเชื่อ และชีวิตผู้คนพอสมควร และได้เขียนเล่าประสบการณ์ชีวิตของผมเกี่ยวกับนิวซีแลนด์ลงใน waymagazine.org ไปแล้วหลายตอน ท่านผู้อ่านบางคนอาจเคยอ่านและคุ้นเคยกับเรื่องเล่าเหล่านี้บ้าง ตัวผมเองพยายามติดตามข่าวคราว ความเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงในประเทศนี้เสมอมา ด้วยความสนใจและความชอบส่วนตัว
นอกจากนี้ ผมคิดว่าเราอาจเรียนรู้จากประสบการณ์ของนิวซีแลนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพยายามของรัฐบาลและองค์กรต่างๆ ในการส่งเสริมให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พัฒนาไปสู่สังคมที่มีความผาสุกและสงบสุขมากขึ้น
กล้าเปลี่ยนแปลง
ในความเห็นของผม แม้คนคีวีจะดูเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ในสังคมชุมชนเล็กๆ แวดล้อมด้วยครอบครัวและมิตรสหาย ไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องราวในโลกกว้างที่ไกลออกไป แต่ก็มิได้หมายความว่าผู้คนเหล่านี้ (อย่างน้อยเท่าที่ผมรู้จักมักคุ้น) จะเป็นคนใจแคบหรือหัวเก่า ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ตรงกันข้าม กลับเป็นคนใจกว้างทีเดียว
ผมยังหาคำอธิบายที่ชัดเจนไม่ได้ว่า เหตุใดผู้คนในประเทศเล็กๆ แห่งนี้จึงมีจิตใจที่ค่อนข้างเปิดกว้าง ยอมรับและรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นที่บางครั้งอาจเห็นตรงข้ามกับตน แต่อาจสันนิษฐานได้ว่าเป็นเพราะคนคีวีส่วนใหญ่เชื่อในเรื่อง ‘เสรีภาพของปัจเจกบุคคล’ ที่รวมถึงเสรีภาพในการแสดงออก ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงสามารถพูดหรือแสดงความคิดเห็นในลักษณะต่างๆ ได้อย่างเสรีภายใต้ขอบเขตที่กฎหมายกำหนดไว้
เสรีภาพที่ว่านี้มาคู่กับ ‘สิทธิ’ ที่ปัจเจกบุคคลทุกคนมีอย่างเสมอภาคกัน ได้รับการรับรองและปกป้องคุ้มครองด้วยกฎหมายเช่นกัน และสิทธิจำนวนหนึ่ง เช่น สิทธิในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็น ‘สาธารณสมบัติ’ ก็เป็นสิทธิที่ปัจเจกบุคคลมีร่วมกัน สามารถเข้าถึงและใช้ได้อย่างเท่าเทียม (ผมจะกล่าวถึงอีกครั้งข้างหน้า)
ดังนั้น เสรีภาพจึงมิใช่สิ่งว่างเปล่าหรือเป็นเรื่องนามธรรม แต่มีนัยที่พาดพิงถึงสิทธิอันพึงมีพึงได้ของปัจเจกบุคคล เป็นผลประโยชน์ที่ทุกคนต้องแสดงสิทธิของตนและใช้ประโยชน์เมื่อได้มา ในแง่หนึ่ง เสรีภาพในการแสดงออกของแต่ละบุคคลจึงเป็นเสมือนการเรียกร้อง ต่อสู้ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิและผลประโยชน์ของตนที่ปรากฏตามตัวบทกฎหมาย
เปลี่ยนชื่อประเทศ
ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีรายงานข่าวเล็กๆ ชิ้นหนึ่งพาดพิงถึงพรรคการเมืองของคนเมารีในนิวซีแลนด์ที่เรียกตัวเองว่า ‘เต พาติ มาวรี’ (Te Pāti Māori) ได้รวบรวมรายชื่อของประชาชนประมาณ 70,000 คน เพื่อยื่นคำร้องต่อรัฐสภา ขอให้เปลี่ยนชื่อประเทศจากชื่อ ‘นิวซีแลนด์’ ที่ใช้ในอยู่ปัจจุบันไปเป็น ‘อาวเตอารัว’ (Aotearoa) คำในภาษาเมารีที่มีความหมายว่า ‘ดินแดนแห่งเมฆขาวเป็นแนวยาว’ ที่เชื่อกันว่าเป็นคำแรกเริ่ม/ดั้งเดิมที่ชนพื้นเมืองใช้เรียกขานดินแดนแห่งนี้ ในคำร้องชี้แจงว่า การเปลี่ยนไปใช้ชื่อนี้จะเป็นการให้อัตลักษณ์ที่แท้จริงของประเทศ อันเป็นถิ่นฐานของชนพื้นเมืองเมารีมาแต่เดิม และยังระบุให้เปลี่ยนชื่อเมืองและสถานที่ต่างๆ ในประเทศเป็นภาษาเมารีอีกด้วย
อีก 2 เดือนต่อมา ข่าวนี้ก็กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก แม้แต่สื่อใหญ่ๆ อย่าง The Guardian ของอังกฤษ NPR และ The Wall Street Journal ของอเมริกา ยังนำไปรายงานด้วย
ทว่า มีคำถามตามมาคือ คำว่า ‘อาวเตอารัว’ มาจากไหน? นักวิชาการกลุ่มหนึ่งจากมหาวิทยาลัยไวกาโตได้ระบุไว้ว่า ไม่มีความชัดเจนว่าคำนี้ที่มักแปลกันว่า ‘เมฆขาวเป็นแนวยาว’ หรือ ‘โลกอันสว่างไสวเป็นแนวยาว’ มีที่มาจากไหน หรือเริ่มใช้เมื่อไร แต่มีหลักฐานว่า เซอร์จอร์จ เกรย์ (Sir George Grey) อดีตผู้สำเร็จราชการของนิวซีแลนด์ ผู้มีความสำคัญอย่างยิ่งทางการเมืองในช่วงครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้ใช้คำนี้ในงานเขียนของตนในระหว่าง ค.ศ. 1855-1857 เพื่อใช้อ้างอิงในหนังสือพิมพ์ภาษาเมารีในสมัยนั้น นอกจากนี้ ใน ‘The Māori Legal Corpus’ อันเป็นการรวบรวมเอกสารด้วยระบบดิจิทัล ได้ระบุว่าตั้งแต่ ค.ศ. 1829-2009 คำว่า ‘อาวเตอารัว’ ถูกใช้บ่อยถึง 2,748 ครั้ง
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/09/Te-Waipounamu.jpg)
อย่างไรก็ตาม มีคำทักท้วงจากเผ่างายทาฮู (Ngāi Tahu) ชนเมารีกลุ่มใหญ่ที่อาศัยอยู่บนเกาะใต้ ว่ามีชื่อเรียกเกาะใต้ คือคำว่า ‘เต วาอิพูนามู’ (Te Waipounamu) ที่หมายถึงดินแดนในบริเวณตะวันตกเฉียงใต้ (ของประเทศ) ส่วนคำว่า ‘อาวเตอารัว’ นั้นเป็นคำเรียกเกาะเหนือ ดังนั้น หากจะใช้คำเรียกที่ถูกต้องก็ควรเป็น ‘อาวเตอารัว เม เต วาอิพูนามู’ (Aotearoa me Te Waipounamu) อันเป็นการเรียกรวมทั้งเกาะเหนือและเกาะใต้
การเปลี่ยนชื่อประเทศดูมีอุปสรรคอยู่มาก ดังนั้นคงไม่เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้หรืออย่างรวดเร็ว เพราะประชาชนส่วนใหญ่ดูยังไม่พร้อม เช่น โพลหนึ่งที่ทำขึ้นในปี 2021 ระบุผลสำรวจว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่มประชากรตัวอย่าง หรือราว 58 เปอร์เซ็นต์ ยังคงต้องการใช้ชื่อประเทศในปัจจุบัน มีเพียง 9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เห็นด้วยกับการใช้ชื่อใหม่ ในขณะที่ราว 31 เปอร์เซ็นต์ เสนอให้ใช้ทั้งสองชื่อ นั่นคือ ‘Aotearoa New Zealand’ ในขณะที่นักการเมืองฝ่ายรัฐบาล รวมถึงนายกรัฐมนตรี จาซินดา อาร์เดิร์น กล่าวอย่างสงวนท่าทีต่อข้อเสนอนี้
ที่ไม่น่าประหลาดใจคือเสียงคัดค้านจากนักการเมืองฝ่ายอนุรักษนิยม ที่บางคนถึงกับโจมตีว่านี่เป็นความคิดของพวกฝ่ายซ้ายสุดขั้ว หรือสื่อมวลชนฝ่ายขวาอย่าง Sky News ซึ่งเป็นบริษัทสื่อใหญ่ของออสเตรเลียที่มีความคิดแบบอนุรักษนิยมก็ได้แสดงความเห็นต่อต้านในเรื่องนี้ และได้กล่าวเตือนนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของออสเตรเลียอย่าดำเนินรอยตามนายกฯ ของนิวซีแลนด์
แน่นอนว่า การเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนชื่อประเทศคงต้องฝ่าฟันอุปสรรคอีกนานัปการ รวมถึงคำทัดทานจากคนเมารีด้วยกันเอง ในขณะที่มีผู้เสนอความเห็นในแง่ดีว่าการเปลี่ยนชื่อประเทศคงเกิดขึ้นในอนาคต เมื่อคนรุ่นใหม่เห็นความสำคัญของเรื่องนี้ แต่ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนชื่อหรือไม่ก็ตาม ประเทศเล็กๆ อย่างนิวซีแลนด์ก็ได้แสดงให้โลกประจักษ์ถึงความสำคัญของชนพื้นเมือง การให้เกียรติและเคารพต่อวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของคนเหล่านี้ อีกทั้งยังเป็นการชี้ให้เห็นว่า นิวซีแลนด์เป็นสังคมที่เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายเข้าร่วมในการถกเถียง/โต้แย้งด้วยการใช้เหตุผล หากเหตุผลนั้นๆ ฟังขึ้นและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีที่จะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ช่วยให้สังคมโดยรวมมีความผาสุกและสงบสุขมากขึ้น รัฐบาลก็พร้อมที่จะสนับสนุน รวมถึงการเสนอเป็นกฎหมายที่ต้องผ่านรัฐสภา อันเป็นตัวแทนของประชาชนส่วนใหญ่ เพื่อเป็นหลักประกันถึงสิทธิอันเท่าเทียมกันของทุกคน และการให้ความคุ้มครอง/ปกป้องตาม ‘หลักนิติธรรม’ (Rule of Law) ซึ่งในกรณีของชนพื้นเมืองเมารี กฎหมายนิวซีแลนด์ได้ล้ำหน้าไปไกลมาก และไกลกว่าประเทศอื่นๆ
สู่ ‘สาธารณรัฐ’
การเปลี่ยนชื่อประเทศคงไม่ใช่เรื่องสำคัญเพียงเรื่องเดียวที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต แต่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญไม่แพ้กันก็อาจเกิดขึ้นได้ นั่นคือการเปลี่ยนเป็นประเทศสาธารณรัฐ ที่หลายฝ่ายเห็นด้วยและยอมรับว่าเป็นไปได้
นิวซีแลนด์มีระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาทุก 3 ปี แต่เนื่องจากเป็นหนึ่งในประเทศในเครือจักรภพอังกฤษ จึงมีกษัตริย์หรือราชินีของอังกฤษเป็นประมุขแห่งรัฐ (Head of State) โดยมีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการ (Governor General) ขึ้นเป็นตัวแทนของกษัตริย์/ราชินี และปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ แทนพระองค์ในฐานะประมุขแห่งรัฐ อย่างไรก็ตาม ความคิดในการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองไปเป็นสาธารณรัฐเกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 แล้ว
ในปี 1966 มีการก่อตั้ง ‘สมาคมสาธารณรัฐแห่งนิวซีแลนด์’ (Republic Association of New Zealand) ขึ้น ซึ่งต่อมาได้กลายเป็น ‘พรรคการเมืองสาธารณรัฐ’ (Republic Party) ในปี 1967 แต่เนื่องจากไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งจึงต้องยกเลิกพรรคไปใน ค.ศ. 1974 กระทั่ง 20 ปีต่อมา คือในปี 1994 ได้มีการรวมตัวกันขึ้นเป็น ‘พันธมิตรสาธารณรัฐแห่งนิวซีแลนด์’ (Republic Coalition of New Zealand) ทว่าก็ยังมีฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย 1 ปีต่อมาจึงมีการก่อตั้ง ‘สันนิบาตราชาธิปไตยแห่งนิวซีแลนด์’ (Monarchist League of New Zealand ที่ในปัจจุบันรู้จักกันในนาม ‘ราชาธิปไตยแห่งนิวซีแลนด์’ (Monarchy New Zealand) ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์
ที่ดูน่าสนใจอย่างยิ่งคือ แม้แต่จิม บอลเจอร์ (Jim Bolger) อดีตนายกรัฐมนตรีในช่วงปี 1990-1997 เคยเป็นหัวหน้าของ National Party พรรคการเมืองที่มีทัศนะในเชิงอนุรักษนิยม ก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ และเคยกล่าวแถลงต่อรัฐสภาใน ค.ศ. 1994 ถึงอนาคตทางการเมืองของนิวซีแลนด์ที่จะเปลี่ยนเป็น ‘สาธารณรัฐ’ และมีการเลือกตั้ง ‘ประธานาธิบดี’ เป็นประมุขแห่งรัฐ โดยกล่าวยอมรับว่า “กระแสของประวัติศาสตร์มุ่งหน้าไปทางเดียว” นั่นคือการเป็นสาธารณรัฐ
นอกจากนี้ เขาเคยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่าเมื่อครั้งที่ยังเป็นนายกฯ ของประเทศ เขาเคยสนทนากับสมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 มากกว่า 1 ครั้ง เกี่ยวกับเรื่องที่นิวซีแลนด์จะเลือกตั้งประมุขแห่งรัฐด้วยตนเอง สมเด็จพระราชินีนาถฯ ทรงไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ ตรงกันข้าม ทรงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเขาในประเด็นต่างๆ ที่มีความอ่อนไหว และเขายังกล่าวติดตลกอีกว่า “และพระองค์ก็มิได้ทรงตรัสให้ตัดศีรษะของผม”
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/09/จาซินดา-อาร์เดิร์น.jpg)
ในปี 2021 จาซินดา อาร์เดิร์น นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ได้แสดงความเห็นว่า แม้เธอจะไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องรีบด่วน แต่ภายในช่วงชีวิตของเธอคงได้เห็นนิวซีแลนด์กลายเป็นประเทศสาธารณรัฐ
ในความคิดของผม การเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 ของอังกฤษ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา และเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกในขณะนี้ จะมีนัยสำคัญต่อการที่นิวซีแลนด์กลายเป็นสาธารณรัฐ ด้วยเหตุผลที่ว่า ในด้านหนึ่งฝ่ายที่นิยมสถาบันกษัตริย์ในนิวซีแลนด์ส่วนใหญ่เคารพรักและเทิดทูนสมเด็จพระราชินีนาถฯ แต่ยังไม่ปรากฏหลักฐานว่าพวกเขาเคารพรักหรือมีความนิยมในพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 กษัตริย์พระองค์ใหม่ของอังกฤษ หรือไม่ มากน้อยเพียงใด? แต่ในอีกด้านหนึ่ง ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มวัยรุ่น หนุ่มสาว คนเมารีและชนชาติพันธุ์กลุ่มต่างๆ ก็มิได้มีความผูกพันกับราชวงศ์อังกฤษ (ความนิยมชมชอบต่อควีนเอลิซาเบธที่ 2 เป็นของคนรุ่นพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายมากกว่า) ดังนั้น การที่นายกฯ อาร์เดิร์นกล่าวว่า นิวซีแลนด์อาจกลายเป็นสาธารณรัฐในช่วงชีวิตของเธอจึงดูมีความเป็นไปได้สูง
อย่างไรก็ตาม เช่นที่นายกฯ อาร์เดิร์นได้กล่าวไว้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องรีบด่วน ทั้งนี้เพราะนิวซีแลนด์ยังต้องเผชิญหน้ากับปัญหาอีกมากมาย เช่น ค่าครองชีพสูง ช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวย ฯลฯ ซึ่งต้องการการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน เพราะนี่มิใช่เป็นเพียงปัญหาทางเศรษฐกิจ-สังคมเท่านั้น หากยังเป็นปัจจัยสำคัญทางการเมืองที่มีนัยของการอยู่รอดของรัฐบาลและพรรคแรงงานอีกด้วย – จะกล่าวถึงเรื่องนี้ข้างหน้า
(ออสเตรเลียก็เป็นประเทศในเครือจักรภพอังกฤษอีกประเทศหนึ่งที่มีการถกเถียง/โต้แย้งในเรื่องการเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 และดูจริงจังยิ่งกว่านิวซีแลนด์เสียอีก เนื่องจากฝ่ายที่สนับสนุนการเป็นสาธารณรัฐมีเป็นจำนวนมาก)
สิทธิเชิง ‘จิตวิญญาณ’
ท่านผู้อ่านอาจงงกับคำพาดหัวในหัวข้อย่อยนี้ สงสัยว่าอะไรคือสิทธิเชิง ‘จิตวิญญาณ’? และทำไมจึงสำคัญ? เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับ “สิทธิในแง่ ‘จิตวิญญาณ’ ชนพื้นเมืองเมารี” และสะท้อนถึงกฎหมายของนิวซีแลนด์ที่วางอยู่บนหลักนิติธรรม สร้างความชอบธรรมด้วยการให้สิทธิที่เท่าเทียมกันแก่ผู้คนทุกกลุ่ม (ในกรณีนี้คือชนพื้นเมือง) ยอมรับความคิดความเชื่อของทุกฝ่าย กล้าที่จะเสนอเรื่องที่ไม่เคยมีหรือเคยปฏิบัติมาก่อน และกล้าที่จะลองทำในสิ่งใหม่ – ที่ประสบความสำเร็จ กลายเป็นเรื่องที่ผู้อื่นลอกเลียนแบบเพื่อนำไปใช้
ในปี 2017 รัฐสภาของนิวซีแลนด์ได้ออกกฎหมายฉบับใหม่ที่เรียกว่า ‘เต อะวา ตูพูอา’ (Te Awa Tupua) อันหมายถึง ‘ข้อตกลงค่าสินไหมทดแทนแม่น้ำวังกานูอิ’ (Whanganui River Claims Settlement) เพื่อรับรองสถานภาพการเป็นบุคคลทางกฎหมายของแม่น้ำสายนี้ ให้มีสิทธิและความรับผิดชอบเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป อีกทั้งยังมีนัยของการยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างแม่น้ำกับชาวเมารีเผ่าวังกานูอิ ผู้ดำรงชีวิตอยู่ตามลำน้ำ ว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและมีความเฉพาะ เพราะสำหรับชนเผ่าวังกานูอิ ลำน้ำสายนี้มิได้เป็นเพียงเป็นแหล่งอาหารเท่านั้น หากยังเป็น ‘แม่น้ำแห่งอำนาจศักดิ์สิทธิ์’ จึงมีความผูกพันเชิง ‘จิตวิญญาณที่ลึกล้ำ’ ระหว่างผู้คนกับลำน้ำสายนี้
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/09/Whanganui-River.jpeg)
กฎหมายฉบับนี้มุ่งเน้นการรับรองและคุ้มครองการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของชาวเมารีเผ่าวังกานูอิ ไม่เพียงแต่ที่อยู่ในแม่น้ำและตลอดลำน้ำเท่านั้น หากยังครอบคลุมถึงเทือกเขาที่ล้อมรอบไปจนจดชายฝั่งทะเล ตลอดจนองค์ประกอบทางกายภาพและเมตาฟิสิกส์ ซึ่งมีความหมายด้านจิตวิญญาณนั่นเอง สภาวะทั้งหมดนี้ถือรวมว่า ลำน้ำ ธรรมชาติแวดล้อม และผู้คน ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มิอาจแยกออกจากกันได้ โดยมี ‘ผู้พิทักษ์คุ้มครอง’ สองคนปฏิบัติหน้าที่แทนและปกป้องผลประโยชน์ของแม่น้ำสายนี้
‘ข้อตกลงค่าสินไหมทดแทนแม่น้ำวังกานูอิ’ เป็นกฎหมายที่มีลักษณะเฉพาะ อีกทั้งยังมีความแหวกแนวในการเสนอวิธีคิดใหม่ มุมมองใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นหลักที่ระบุว่าแม่น้ำวังกานูอิมีฐานะเทียบเท่าสิ่งมีชีวิต และสถานภาพของการเป็นบุคคลทางกฎหมาย โดยภายหลังได้กลายเป็นต้นแบบของกฎหมายประเภทนี้ และมีประเทศอื่นนำไปประยุกต์ ปรับเปลี่ยนเป็นกฎหมายที่สามารถบังคับใช้ได้ในสังคมของตน
จากกรณีเรื่องการเปลี่ยนชื่อประเทศและกฎหมายฉบับ ‘ข้อตกลงค่าสินไหมทดแทนแม่น้ำวังกานูอิ’ นอกจากจะชี้ให้เห็นว่านิวซีแลนด์เคารพสถานภาพของชนพื้นเมือง ยินยอมและพร้อมที่จะรับรองข้อโต้แย้ง คำทัดทานและความคิดเห็นที่แตกต่างของชนพื้นเมืองเท่านั้น หากยังสะท้อนว่าประเทศนี้มีกลไกและระบบกฎหมาย-การเมืองที่เปิดโอกาสให้ผู้คนกลุ่มต่างๆ ทั้งหลายเรียกร้องสิทธิและอำนาจทางการเมืองได้ ทั้งนี้ เพราะรัฐบาล ‘เอาคนเป็นตัวตั้ง’ เน้นความผาสุกของประชากร ลดความขัดแย้งและความเหลื่อมล้ำทางสังคม เพื่อสร้างสมานฉันท์ในสังคม การให้อำนาจชาวเมารีและชนกลุ่มอื่นๆ ในการเรียกร้อง มีส่วนในการตัดสินใจ และการเข้ามีส่วนร่วมในเรื่องต่างๆ รวมถึงสิทธิในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและจากพื้นที่สาธารณะ ฯลฯ เหล่านี้นอกจากจะเป็นการรับรองสิทธิที่สมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว ยังเป็นการยืนยันว่ารัฐบาลมิได้ใช้อำนาจตามอำเภอใจ หรือใช้อำนาจเพียงฝ่ายเดียว แต่ยอมรับ รับฟัง และรับรองอำนาจของประชาชนกลุ่มต่างๆ อยู่เสมอ
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/09/ชนพื้นเมืองเมารี.jpeg)
ที่สำคัญอย่างยิ่งคือกฎหมายฉบับ ‘ข้อตกลงค่าสินไหมทดแทนแม่น้ำวังกานูอิ’ ไม่เพียงแต่ได้เปลี่ยนวิธีคิด ทัศนคติ และมุมมองของคนนิวซีแลนด์ต่อ ‘คนอื่น’ ที่แตกต่างจากเราเท่านั้น หากยังทำให้เราต้องตรวจสอบตัวเองในประเด็นเรื่องสิทธิและอำนาจของคนอื่น และเรื่องการอยู่ร่วมกันกับชนต่างกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหลายที่อยู่รอบตัวเราอย่างเข้าอกเข้าใจกัน อย่างเท่าเทียมกัน มีการแบ่งปันกัน และมีความสงบสันติ (ผมอภิปรายถึงเรื่องนี้ไว้อย่างละเอียดแล้ว ใน “แม่น้ำคือบุคคล การคืนอำนาจให้ชนพื้นเมือง”)
สิทธิเท่าเทียมกัน
คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่ารัฐบาลนิวซีแลนด์ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ได้คำนึงและตระหนักถึงสิทธิอันเท่าเทียมกันของประชาชน และได้พยายามที่จะสนับสนุนให้สิทธินี้เกิดขึ้นจริงและดำรงไว้ด้วยการออกกฎหมายหลายฉบับ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในเรื่องสิทธิที่เท่าเทียมกัน ได้แก่ สิทธิในการใช้ประโยชน์ในพื้นที่สาธารณะและทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ดังกล่าว เช่น หาดทรายริมทะเล ตลิ่งริมแม่น้ำ ป่าไม้ ทางเดินตามป่าเขาที่เป็นอุทยานธรรมชาติ ฯลฯ ล้วนเป็นบริเวณที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าไปเดินเล่น ปิกนิก ชมวิว หรือแม้แต่เข้าไปตกปลา หาและเก็บพืชพรรณธัญญาหารที่ขึ้นตามฤดูกาลได้ เป็นสิทธิที่พึงมีของทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน (ที่ผมได้เขียนถึงอย่างละเอียดไว้แล้วใน “โต๋เต๋แบบจนๆ: ‘อาวเตอารัว’ สิทธิในธรรมชาติเป็นของทุกผองชน”)
สิทธิในการใช้ประโยชน์ในพื้นที่สาธารณะและทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ เป็นเพียงหนึ่งในสิทธิอีกมากมายที่คนคีวีทั้งหลายมี ด้วยเหตุนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศจึงคำนึงถึงเรื่องสิทธิและผลประโยชน์ต่างๆ ที่ตนพึงมีพึงได้ตามที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมาย
‘ศาล’ ที่ปกป้องเด็กและเยาวชน
ในความเห็นของผม ระบบกฎหมายและหลักความยุติธรรมของประเทศนี้ให้ความสำคัญต่อผู้คนทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กและเยาวชน ดังจะเห็นได้จากกรณีข้างล่างนี้
ช่วงปลายทศวรรษ 1980 มีข่าวใหญ่ชิ้นหนึ่งในนิวซีแลนด์ – และภายหลังในสหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตที่นำไปสู่การออกกฎหมายฉบับใหม่ – เกี่ยวกับเด็กหญิงอายุ 7 ขวบ นาม ฮิลารี ฟอร์ทิช (Hilary Foretich) ที่ตายายของเธอพาตัวหลบหนีออกจากสหรัฐฯ แล้วไปซ่อนตัวอาศัยอยู่ในเมืองไครสต์เชิร์ชนานถึง 2 ปีครึ่ง ก่อนที่ทั้งสามคนจะถูกค้นพบ และตามมาด้วยข่าวใหญ่
ฮิลารีเป็นลูกสาวของอีริค ฟอร์ทิช (Eric Foretich) และเอลิซาเบธ มอร์แกน (Elizabeth Morgan) ทั้งคู่เป็นหมอ แต่ฝ่ายภรรยาได้ฟ้องขอหย่าร้างจากสามี โดยกล่าวหาเขาว่าได้กระทำการล่วงละเมิดทางเพศต่อลูกสาวของทั้งสอง อีริค ฟอร์ทิช ผู้เป็นสามี ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว เอลิซาเบธจึงขอให้พ่อแม่ของตนพาฮิลารีหลบหนีออกจากประเทศ สามคนตายายและหลานสาวหายตัวไปอย่างลึกลับจนกระทั่งถูกค้นพบในปี 1989 และทำให้เอลิซาเบธถูกศาลตัดสินจำคุกด้วยข้อหาละเมิดศาล เพราะเธอปฏิเสธที่จะให้การว่าลูกสาวของตนอยู่ที่ใด เธอถูกคุมขังอยู่ในคุกนานถึง 25 เดือน เมื่อข่าวการค้นพบตัวฮิลารีผู้เป็นลูกสาวปรากฏขึ้น
ผมสนใจข่าวนี้ไม่ใช่เพราะเป็นข่าวใหญ่ที่สื่อต่างๆ ทั้งในนิวซีแลนด์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอเมริกาพากันประโคมข่าว และกลายเป็นคดีความในศาลเยาวชนและครอบครัวของนิวซีแลนด์ แต่เพราะเหตุที่ศาลเยาวชนฯ คำนึงถึงสวัสดิภาพและความปลอดภัยของเด็กและเยาวชนเหนือสิ่งอื่นใด และเพื่อเป็นการปกป้องและคุ้มครองฮิลารี จึงได้ออกคำสั่งห้ามพ่อแม่ของเธอเข้ามาเกี่ยวข้องกับเธอ แม้ว่าอีริค ผู้เป็นพ่อจะพยายามยื่นคำขอพบตัวเธอโดยอ้างถึงคำสั่งของศาลสหรัฐฯ ที่อนุญาตให้เขาพบเธอก็ตาม แต่ศาลนิวซีแลนด์กลับไม่สนใจรับคำร้อง เอลิซาเบธ ผู้เป็นแม่ก็มิได้รับอนุญาตเช่นกัน โดยศาลได้พิจารณาให้ฮิลารีอยู่ภายใต้การดูแลของตายายที่อยู่กับเธอมาโดยตลอดในนิวซีแลนด์
ที่อาจจะน่าสนใจยิ่งกว่า คือศาลฯ มีคำสั่งห้ามสื่อทั้งหลายทำข่าวเกี่ยวกับฮิลารีโดยเด็ดขาด หากสื่อใดหรือผู้ใดไม่ปฏิบัติตามจะถูกจับกุมและคุมขังด้วยข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งศาล
ถ้าความทรงจำไม่ทรยศผม ตอนนั้นมีสื่ออเมริกันจำนวนมากเดินทางเข้าไปในเมืองไครสต์เชิร์ชเพื่อทำข่าว พ่อแม่ของฮิลารีก็บินจากสหรัฐฯ ไปเมืองนี้เช่นกัน – แม่ของเธอเพิ่งถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำ – แต่พอมีคำสั่งศาลห้ามสื่อทำข่าว สื่ออเมริกันบางแห่งก็เริ่มส่งเสียงแสดงความไม่พอใจ อ้างถึงอิสรภาพในการทำข่าว แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับสื่อและตำรวจนิวซีแลนด์ยืนยันถึงคำสั่งศาลที่จะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด และให้เหตุผลว่าสื่อและวิธีการทำข่าวในนิวซีแลนด์แตกต่างจากในอเมริกา จารีตและธรรมเนียมปฏิบัติก็ต่างกัน ทำให้สื่ออเมริกาทั้งหลายต้องถอยหลังเพราะกลัวติดคุก พากันบินกลับประเทศ แม้แต่พ่อและแม่ของฮิลารี ซึ่งพยายามใช้สื่อเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ก็ไม่กล้าให้สัมภาษณ์สื่อ หรือพูด/แสดงความคิดเห็นแก่สาธารณชน เพราะเกรงว่าจะเป็นการละเมิดคำสั่งศาล
ภายหลังฮิลารีบินกลับไปอยู่กับแม่ของเธอในสหรัฐฯ และได้ขอคำสั่งศาลห้ามพ่อของเธอติดต่อกับเธอ ส่วนพ่อของเธอก็ถูกภรรยาอีกคนฟ้องร้องว่าได้กระทำการล่วงละเมิดทางเพศต่อลูกสาวของเธอเช่นกัน แต่อีริคได้ปฏิเสธข้อกล่าวหา และไม่เคยถูกตัดสินว่ามีความผิดในชั้นศาล ปัจจุบันฮิลารีมีอายุราวปลา 30 ถึงต้น 40 ปี มีอาชีพนักร้อง ผู้เป็นที่รู้จักกันในนาม ‘Elena Mitrano’
กล้ายืนข้างกฎหมาย
หนึ่งในประสบการณ์ชีวิตในนิวซีแลนด์ที่ผมไม่เคยลืม เกิดขึ้นในช่วงที่ผมทำงานในกรุงเวลลิงตัน เป็นคืนวันศุกร์ที่ผู้คนพากันเตร็ดเตร่ในเมืองหลังเลิกงาน – คนจำนวนมากเข้าผับดื่มเบียร์ บางคนเข้าร้านอาหาร บ้างก็ช็อปปิง หรือเดินเล่นชมร้านรวง แสงสี – และผมกำลังนั่งรถเมล์กลับที่พัก ซึ่งเป็นบ้านเช่าอยู่ร่วมกับเพื่อนอีก 2 คน
หลังจากดื่มกับเพื่อนร่วมงานในผับอยู่พักใหญ่ก็ถึงเวลากลับที่พัก ตอนนั้นน่าจะราว 3 ทุ่มกว่า หรือ 4 ทุ่ม พอรถเมล์สายที่ผ่านบ้านเช่ามาถึงผมก็ขึ้นรถ บนรถเมล์มีผู้โดยสารมากพอควร แต่ก็ยังพอมีที่ว่างให้รู้สึกว่าไม่แน่น ไม่อึดอัด ผมยืนอยู่ด้านหน้าของรถ ชายคนขับรถน่าจะเป็นชาวโพลินีเซีย ไม่ใช่คนเมารี ข้างหลังคนขับเป็นที่นั่งผู้โดยสาร มีชายโพลินีเซียคนหนึ่งนั่งอยู่ คงเป็นเพื่อนของคนขับรถเพราะชวนกันคุยอย่างสนุกสนาน ที่นั่งด้านซ้ายมือ ตรงข้ามกับชายโพลินีเซีย เป็นผู้โดยสารชายผิวขาว อายุน่าจะราว 50 กว่า ผมยาวเป็นกระเซิง เสื้อผ้าดูเก่ามาก และคงดื่มเบียร์มากพอควรแต่ยังดูมีสติ นั่งเงียบๆ ไม่ยุ่งกับใคร
หนุ่มโพลินีเซียดูท่าจะคุยออกรส – แกพูดมากกว่าคนขับ ผู้ตั้งสมาธิอยู่กับการขับรถ ยวดยานบนถนนและผู้โดยสารในรถเมล์ – แล้วแกก็ล้วงบุหรี่ออกมาจุดสูบ แต่ยังไม่ทันที่คนขับรถจะออกปากทัก ชายผิวขาวผมกระเซิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็มองหน้าแก แล้วพูดขึ้นว่า
“Mate, you can’t smoke here” (ไอ้เกลอ สูบบุหรี่ไม่ได้) แล้วชี้นิ้วไปที่ป้ายห้ามสูบบุหรี่ที่ติดอยู่เหนือหน้าต่างรถด้านหลังของหนุ่มโพลินีเซีย ผู้ซึ่งชะงักไปชั่วขณะ มองหน้าชายผิวขาวผมกระเซิงแล้วยิ้มเขินๆ ให้ด้วยความรู้สึกผิด กล่าวคำขอโทษก่อนที่จะรีบดับบุหรี่
ผมรับรู้เหตุการณ์นี้ด้วยความรู้สึกผสมระหว่างความทึ่งและความแปลกใจในความกล้าของชายผิวขาวผมกระเซิง พร้อมกับคำถามในใจว่า เหตุใดแกจึงกล้าบอกให้หนุ่มโพลินีเซียดับบุหรี่?
เป็นไปได้หรือไม่ว่า แกกำลังปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมาย เป็นกฎหมายที่ตั้งอยู่บน ‘หลักนิติธรรม’ ที่นอกจากจะเน้นถึงสิทธิที่เท่าเทียมกันของประชาชนทุกคนแล้ว ยังย้ำถึงความสำคัญของความยุติธรรม ของการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาคกัน ไร้อคติหรือลำเอียง ไร้การเลือกปฏิบัติต่อผู้หนึ่งผู้ใดเป็นพิเศษ และการลงโทษก็กระทำแบบเดียวกัน คือเป็นไปตามตัวบทกฎหมายด้วยความยุติธรรมและเสมอภาคกัน
หลักนิติธรรมของกฎหมายนิวซีแลนด์จึงทำให้ทุกคนยอมรับบทบัญญัติและข้อห้ามของกฎหมาย เพราะคิดว่า/เชื่อว่าจะได้รับการปกป้อง/คุ้มครองอย่างเต็มที่ ทั้งในด้านร่างกาย ชีวิตและสิทธิ ในแง่นี้กฎหมายจึงเป็นเสมือนแรงผลักที่สนับสนุนให้แต่ละคน ‘กล้า’ ที่จะยืนหยัดและพูดในสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือจะพูดว่ากฎหมายที่ให้สิทธิและเสรีภาพแก่ประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน มีความชอบธรรมที่ผู้คนยอมรับ ไร้ความกลัวในการปกป้องสิทธิของตนเอง และพิทักษ์รักษาอำนาจอันชอบธรรมของกฎหมายไว้
กล้าประท้วง ท้าทาย
อีกหนึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นในเมืองดันนิดิน ต้นเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงเปิดเทอมแรก และเป็นปีแรกที่ผมเริ่มเรียน ป.โท
วันนั้นเป็นฤดูใบไม้ผลิที่ท้องฟ้าสดใส มีลมพัดเบาๆ อากาศเย็นทีเดียว แต่แสงแดดทำให้รู้สึกอบอุ่น ชาวเมืองออกมาเดินรับแดดชมใบไม้สารพัดสี บริเวณสนามหญ้าหน้าพิพิธภัณฑ์โอทาโก ตรงข้ามห้องสมุดกลางของมหาวิทยาลัยโอทาโก มีทหารชายหญิง 4-5 นาย – น่าจะเป็นทหารบกเพราะใส่เครื่องแบบสีเขียว – มาตั้งโต๊ะรับสมัครผู้ที่อยากเป็นทหาร ข้างหน้าโต๊ะติดแผ่นป้ายไวนิลที่มีข้อความว่า ‘เข้าร่วมกับกองทัพ ตระเวนสำรวจโลกกว้าง’ (Join the Army, Explore the World) มีเด็กหนุ่มบางคนแวะเวียนเข้าไปสนทนาด้วย
![](https://waymagazine.org/wp-content/uploads/2018/09/Otago-Museum.jpeg)
ผมกำลังเดินผ่านสนามหญ้าเพื่อไปทำธุระในเมืองจึงมิได้ใส่ใจกับทหารกลุ่มนี้ ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกมาจากอีกด้านหนึ่งของสนามหญ้า หันไปมองว่าเกิดอะไรขึ้นก็เห็นหญิงสาว 2 คน ใส่กางเกงและเสื้อผ้าสีดำแบบที่เด็กมหาวิทยาลัยชอบใส่ กำลังเดินไปเดินมาตามทางเดินของสนามหญ้า มือทั้งสองข้างชูแผ่นกระดาษขึ้นเหนือศีรษะ พร้อมกับตะโกนร้องถ้อยคำที่เขียนบนแผ่นกระดาษว่า ‘เข้าร่วมกับกองทัพ (เพื่อ) ฆ่าผู้คน’ (Join the Army, Kill the People) ทั้งสองทำด้วยท่าทางที่ดูจริงจังมาก มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยให้ความสนใจ บางคนก็ตบมือร้องสนับสนุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผู้หญิง
ด้วยความอยากรู้ ผมจึงหยุดเดิน รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ทั้งสองฝ่ายก็มิได้ปะทะกัน ไม่มีการร้องด่าหรือตะโกนโต้เถียงกัน ไม่มีการวิวาท ไม่เกิดเหตุรุนแรง กลุ่มทหารยังชักชวนผู้ที่สนใจให้สมัครเข้ากองทัพ ฝ่ายสองสาวก็ประท้วง/โจมตีด้วยเสียงร้องตะโกนจากอีกด้านของสนาม ผมจึงเดินต่อ เข้าไปทำธุระในเมือง ขากลับตอนเดินผ่านสนามหญ้า กลุ่มทหารและสองสาวหายไปแล้ว ผู้คนยังเดินเล่นไปมา ชื่นชมกับอากาศดีของฤดูใบไม้ผลิ บรรยากาศที่สนามหญ้าหน้าพิพิธภัณฑ์สงบเงียบ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ค่าครองชีพสูงและช่องว่างความร่ำรวย
เรื่องที่เล่าเหล่านี้เป็นความประทับใจของผมต่อนิวซีแลนด์ แต่ผมไม่อยากให้ท่านผู้อ่านเข้าใจผิดคิดว่าประเทศนี้ไม่มีปัญหา หรืออะไรๆ ก็ดีไปหมด ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริงนัก เพราะทุกวันนี้ผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องเผชิญกับปัญหาหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้น ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นทำให้การอดออมเป็นไปได้ยาก ประชาชนไม่มีเงินเหลือเก็บ ราคาบ้านก็แพงจนไม่อาจเป็นเจ้าของได้ และความยากลำบากอื่นๆ
ข่าวร้ายในรอบปี เริ่มจากข้อมูลที่บ่งว่าอัตราเงินเฟ้อในประเทศเพิ่มขึ้นถึง 7.3 เปอร์เซ็นต์ สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1990 อันมีนัยว่าวิกฤตค่าครองชีพกำลังปรากฏขึ้น เพราะราคาสินค้าทั้งหลายที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันมีราคาแพงจนอาจซื้อไม่ไหว กลายเป็นประเด็นหลักที่ฝ่ายค้านใช้โจมตีรัฐบาลว่าไร้ความสามารถในการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน
ในทางตรงกันข้าม มีรายงานระบุว่าบรรษัทใหญ่ๆ กลับทำกำไรมหาศาลและสูงถึง 39 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหากคิดในแง่มูลค่าเงินตรา ก็มีมูลค่าเกินกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์ ทำให้นักวิเคราะห์บางคนให้ความเห็นว่านี่เป็นกำไรที่สูงที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา สูงกว่ามูลค่าค่าจ้างทั้งหมด (total wage bill) ที่เพิ่มขึ้นเพียง 12,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้นักวิเคราะห์ตั้งคำถามว่า กำไรที่ขึ้นสูงกว่าค่าจ้างนั้น ใครเป็นผู้แบกภาระ บริษัทหรือลูกจ้าง?
รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่พรรคแรงงานมักเลือกใช้ เช่น ปีที่แล้วรัฐบาลเพิ่มสวัสดิการต่างๆ ให้แก่คนงาน ในปีนี้ก็ได้อนุมัติความช่วยเหลือด้านค่าครองชีพให้แก่ผู้ที่มีรายได้ปานกลาง และพยายามเสนอข้อตกลงกับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ตและด้านการรักษาความปลอดภัย ในการเพิ่มค่าจ้างแรงงานเพื่อให้สมดุลกับค่าครองชีพ
แต่ไม่ว่ารัฐบาลจะพยายามมากเพียงใด ปัญหาค่าครองชีพสูงก็ยังเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาน้ำมันเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (นิวซีแลนด์นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง มิได้ผลิตเอง จึงเป็นปัญหาที่อยู่เหนือการควบคุมของรัฐบาล) จนนักวิเคราะห์การเมืองบางคนระบุว่า คนในพรรคแรงงานเคยกล่าวกับเขาว่าหากราคาน้ำมันขึ้นสูงถึง 3 ดอลลาร์ต่อลิตร เราต้องแพ้การเลือกตั้งสมัยหน้าอย่างแน่นอน คำกล่าวนี้ดูสมเหตุสมผลทีเดียว เพราะผลการสำรวจหลายชิ้นระบุว่า National Party ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน มีคะแนนนิยมนำหน้ารัฐบาลอยู่ในขณะนี้
ราคาบ้านที่น่าตกใจ!
หากท่านผู้อ่านลองเข้าไปในอินเทอร์เน็ต ค้นหาสถิติ/ข้อมูลราคาบ้านโดยเฉลี่ยในนิวซีแลนด์ อาจพบว่าบางเว็บไซต์ระบุว่า ราคาบ้านในปี 2022 แยกตามภาค (region) ต่างๆ เช่น ออคแลนด์ เมืองที่ราคาบ้านแพงที่สุด มีราคาเฉลี่ยสูงถึง 1.1 ล้านดอลลาร์ กรุงเวลลิงตัน ราว 895,000 ดอลลาร์ โอทาโก 720,000 ดอลลาร์ เป็นต้น ซึ่งเป็นราคาที่สูงมาก จนอาจพูดได้ว่าแพงจนไม่มีปัญญาจะซื้อ!
เพื่อให้ท่านผู้อ่านเข้าใจในเรื่องนี้ ผมจะยกกรณีตัวผมเองเป็นตัวอย่าง
ระหว่างปี 1987-1989 ผมทำงานในเวลลิงตัน นครหลวงของประเทศ ในตำแหน่งนักวิจัยของหน่วยงานรัฐบาล เป็นครั้งแรกที่ผมได้งานประจำ ไม่รู้ว่าตัวเองมีเงินเดือนดีจนกระทั่งเจ้าหน้าที่ของธนาคารที่ผมมีบัญชีอยู่ถามผมว่าจะกู้เงินซื้อบ้านหรือไม่ แล้วก็คำนวณจำนวนเงินที่ผมต้องผ่อนเป็นรายเดือนให้ธนาคาร ผมจึงรู้ว่าราคาบ้านทั่วไปในตอนนั้น – ชั้นเดียว 3 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น/รับแขก 1 ครัว 1 ห้องน้ำ มีพื้นที่รอบบ้านเล็กน้อย พอปลูกไม้ดอกและพืชผักสวนครัวได้ – คือราว 120,000 ดอลลาร์ ผ่อนแบบสบายๆ ราว 20 ปีก็ใช้หนี้ธนาคารหมด บ้านหลังขนาดนี้ถ้าซื้อสมัยนี้ต้องจ่ายมากถึงเกือบ 900,000 ดอลลาร์ หรือมากกว่า 7 เท่าตัวของราคาสมัยนั้น
หรือหากพิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับราคาบ้าน จะพบว่าระหว่างปี 2011-2021 ราคาบ้านโดยเฉลี่ยได้เพิ่มขึ้นถึง 130 เปอร์เซ็นต์ จึงไม่น่าแปลกใจที่คนคีวีจำนวนมากไม่สามารถซื้อบ้านเป็นของตนเองได้
รัฐบาลนิวซีแลนด์พยายามอย่างหนักในการจัดการกับปัญหานี้ โดยเสนอนโยบายที่จะช่วยให้ประชาชนมีบ้านเป็นของตนเอง เช่น ในปี 2019 ได้อนุมัติเงินจำนวน 400 ล้านดอลลาร์ เพื่อใช้การก่อสร้างบ้านเรือนจำนวน 100,000 หลังคา ให้เสร็จภายในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า
หรือมีโครงการที่องค์การไม่หวังกำไรบางแห่งได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือ เรียกกันเล่นๆ ว่า ‘ธนาคารของพ่อแม่’ (bank of mum and dad) โดยผู้ที่ต้องการมีบ้านเป็นของตนเองขอให้พ่อแม่ของตนซื้อบ้านในนามของพ่อแม่ ซึ่งจะได้รับอนุมัติเงินกู้จากธนาคารได้อย่างรวดเร็ว (เพราะพ่อแม่มีบ้านของตนเองที่ใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน) ผู้เป็นลูกจ่ายเงินก้อนหนึ่งเป็นเงินดาวน์ให้พ่อแม่ในการซื้อบ้าน (เพราะไม่สามารถจ่ายเงินดาวน์ทั้งหมดได้) แล้วย้ายเข้าอยู่ในบ้านหลังนั้น และจ่ายเงินผ่อนรายเดือนให้ธนาคารและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทั้งหมด จนกระทั่งตนเก็บหอมรอมริบได้มากพอที่จะขอกู้เงินจากธนาคารได้ด้วยตนเอง ก็ขอกู้เงินจากธนาคารมาซื้อบ้านที่อยู่ในนามของพ่อแม่ ซึ่งก็คือจ่ายเงินที่ยังติดค้างพ่อแม่อยู่ ว่ากันว่าวิธีนี้ประสบความสำเร็จมากทีเดียว จึงเป็นที่นิยมใช้กัน โดยเฉพาะผู้ที่พ่อแม่มีบ้านเป็นของตนอยู่แล้ว และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือลูกๆ ในการซื้อบ้าน
(ออสเตรเลีย ประเทศที่มีหลายสิ่งหลายอย่างคล้ายกับนิวซีแลนด์ ก็กำลังประสบกับปัญหาราคาสินค้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ราคาบ้านที่แพงขึ้นเรื่อยๆ จนมีการคาดการณ์ว่าชนชั้นกลางออสเตรเลียอาจต้องใช้เวลานานถึง 1 ทศวรรษในการสะสมเงินเพื่อเป็นเงินมัดจำในการซื้อบ้าน ในขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับค่าเช่าบ้านที่แพงมาก ตรงกันข้าม คุณภาพชีวิตกลับลดต่ำลง – ผมเคยเขียนถึงปัญหานี้ และสันนิษฐานว่าอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนออสซี่หันไปเทคะแนนเสียงให้พรรคแรงงานในการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา (ดู “เลือกตั้ง ‘ดาวน์อันเดอร์’ กับความหวังของการเปลี่ยนแปลง”)
ชีวิตไม่เหมือนเดิม แต่มีหลักประกัน
อันที่จริง ผมไม่ค่อยแปลกใจเรื่องค่าครองชีพที่สูงขึ้น เพราะเคยเจอกับตนเองแล้ว ในปี 2003 ผมไปร่วมการประชุมวิชาการที่มหาวิทยาลัยออคแลนด์ ประชุมเสร็จผมก็เตร็ดเตร่เที่ยวเล่นตามประสา แล้วเจอว่าฟิชแอนด์ชิปส์ ในร้านเทคคะเวย์แบบที่เคยกินในราคา 2 ดอลลาร์ที่ดันนิดิน ต้องจ่ายถึง 6 ดอลลาร์ สั่งชาร้อนก็ไม่มีนมสดมาให้ (ธรรมเนียมดื่มชาแบบคนคีวีก็เหมือนคนอังกฤษ คือใส่นมสด) พอถามหานมสด หนุ่มหน้าตี๋ที่ขายชาบอกว่าต้องจ่ายอีก 50 เซ็นต์สำหรับนมสด – เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับผมมาก่อน!
แน่นอน ราคาสินค้าต่างๆ รวมถึงราคาบ้านที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ย่อมส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะครอบครัวที่มีรายได้น้อย ทำให้การดำเนินชีวิตยากลำบากยิ่งขึ้น และแน่นอน ย่อมกลายเป็นปัจจัยสำคัญทางการเมืองที่สะท้อนถึงความอยู่รอดของรัฐบาลในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ทว่า นี่คือประเด็นสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน ที่ประชาชนเป็นผู้ตัดสินและเลือกรัฐบาล หากรัฐบาลที่ผ่านการเลือกตั้งมาไร้ประสิทธิภาพ ล้มเหลวในการทำงาน แก้ไขปัญหาไม่สำเร็จ ก็จะถูกเขี่ยออกจากตำแหน่งด้วยอำนาจของประชาชนผ่านการเลือกตั้งครั้งหน้าเช่นกัน นี่คือสิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้จากการใช้ชีวิตกว่า 6 ปีในนิวซีแลนด์ แต่มีเรื่องสำคัญอื่นๆ ที่ผมเรียนรู้ด้วย เช่น การให้โอกาสแก่ประชาชนทุกคน ด้วยการให้การสนับสนุนในด้านต่างๆ บนพื้นฐานความคิดความเชื่อในเรื่องความเสมอภาคและความยุติธรรม ด้วยการใช้กฎหมายที่มีความชอบธรรมในการปกป้อง/คุ้มครองปัจเจกบุคคลและสิทธิที่มีเท่าเทียมกัน ด้วยเหตุนี้ บุคคลแต่ละคนจึงมีความมั่นใจและความกล้าในการพูดและการแสดงออก เพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง และเพื่อรักษากฎหมายที่ตนเห็นว่ามีความถูกต้องและชอบธรรม เป็นกฎหมายที่ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อสร้างความผาสุก สงบสุข ความปลอดภัย และความเท่าเทียมให้แก่ทุกคน